Friday 31 October 2008

2 degees LAEW

มันจะรีบหนาวกันไปไหนเนี่ยะ เพราะนี่ยังไม่เข้าหน้าหนาว แต่มันดัวลงไปเรื่อยๆ แตะเลขสองแล้ว


เหนื่อยใจ ตืนมาขี้เกี่ยจไปเรียน ขี้เกี่ยจลุก ขี้เกียจลืมตา


โอ้ย..........

Grass

ตอนที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องกีฬาฟุตบอล แต่หากได้ผ่านไปตอนนี้ซึ่งไม่แตกต่างจากสมัยก่อนก็คือ สนามฟุตบอลที่ไร้หญ้านั่นเอง



สมัยก่อนนักเรียนทุกคนต้องร่วมกันบริจากซื้อหญ้ามาปูเลยทีเดียว ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าตารางเมตรละเท่าไหร่ละ รู้แต่ว่าเรียนมาหกปี เสียค่าหญ้าไปหลายบาท แต่ในที่สุดแล้วมันก็ไม่เคยเหลือเลย



ก็มันจะเหลือได้ไง พี่แกเล่นเอาน้ำเนาจากคลองผดุงกรุงเกษมมารดนี่นา เหม็นเน่าซะขนาดนั้น

Tuesday 28 October 2008

Short day-Long night i Sverige

เมื่อวันก่อนนี้ ก็วันอาทิตย์แหละ เป็นวันที่มีการปรับเวลาในยุโรปให้ช้าลงไปอีกหนึ่งชั่วโมง เพราะว่าจะเข้าหน้าหนาวแล้ว ด้วยเหตุนี้เวลาที่นี่กับเมืองไทยเลยต่างกัน 6 ชั่วโมงพอดีเด๊ะ


ส่วนที่นี่เวลาเมื่อวันอาทิตย์ก็จะยาวขึ้นเป็น 25 ชั่วโมง ดูยาวดีและมันก็ดีสำหรับผม เพราะว่าเมื่อวันอาทิตย์อ่านเอกสารทำเวิร์คชอปไม่ทัน มีเพิ่มมาหนึ่งชั่วโมงก็ช่วยได้อย่างน่าตกใจ


จำได้ว่าเมื่อตอนมาที่สวีเดนวันแรกนะ เวลากลางวันมันช่างยาวนานจริงๆ สองทุ่มก็แล้วยังสว่างจ้าเลย สามทุ่มก็เริ่มโพล้เพล้ สามทุมครึ่งค่อยมืด ตอนเช้าตีห้าครึ่งก็รีบสว่าง นับดูเวลากลางวันตกไปตั้ง 15-16 ชั่วโมงได้ แต่มาตอนนี้ซิ หกโมงก็สว่างแล้ว แต่พอสี่โมงเย็นก็เริ่มโพล้เพล้ ห้าโมงเย็นเริ่มครึ้ม ห้าโมงขึ้นมองไม่เห็นอะไรแระ สรุปเวลาหากินยามกลางวันช่วงนี้น้อยลงเร็วอย่างน่าใจหาย เหลือวันนึงไม่ถึง 11 ชั่วโมง


เวลาหากินยามค่ำคืนก็ถูกขยายขึ้นไปเรื่อยๆ


บวกกับอากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ คุยกับเพื่อนสวีดิช เขาว่าทุกปีหน้าใบไม้ร่วงมันก็ประมาณ 9-13 องศานะ แต่ปีนี้ไม่รู้อีท่าไหน กลาวเป็น 5-8 ไปซะงั้น สงสัยจะเป็น Global warming แน่เลย


ช่วงนี้ผมก็ใกล้สอบปลายภาควิชาแรกแล้ว ก็อาจไม่ค่อยใวลา หรือมีเรื่องราวมาอัพเดทเท่าไหร่ เพราะชีวิตแต่ละวันก็มีแค่เรียน อ่านหนังสือ เล่นเน็ต คุยโทรศัพท์กะที่บ้าน หรือเพื่อนๆ ดูโทรทัศน์ประเทศไทยบ้าง ไม่ได้ไปเที่ยวอะไรที่ไหนเลย


เอาเป็นว่าจะหาโอกาสไปที่ต่างๆ แล้วจะเอาประสบการณ์มาเล่าให้ฟังกันเน้อออออ



เคเจ

Sunday 26 October 2008

Under weather

และแล้วเวลาผ่านมาเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว เริ่มเข้าใจแล้ว มันก็คือการที่เราตกอยู่ภายใต้อาณัติ (แอบล้อว่าคล้ายชื่อพ่อเพื่อน...ขอโต๊ด /ll\) ของอากาศนั่นเอง อย่างช่วงนี้อากาศหม่นหมองมาก ทำให้คนเราคิดมาก เศร้า เหงาน่ะ แถมสถิติการฆ่าตัวตายช่วงนี้ก็จะสูงตามไปด้วย




เมื่อวันก่อนเจอคนไทยที่นี่ เขาบอกให้พวกเราระวังไว้สองอย่างในฤดูนี้ คือ อย่างแรก ผิวหนังคนไทย เม็ดสีมันเข้มมันจะไม่สามารถรับวิตามินดีจากแสงแดดที่สแกนดิเนเวียได้ ทำให้ร่างกายเราจะไม่มีแรง ม่กระปรี้กระเปร่า ขี้เกียจว่างั้น ให้เราหาซื้อวิตามินดีกิน จะช่วยได้มาก กับอีกอย่างช่วงนี้ร่างกายกำลังปรับตัวเรื่องอากาศ ดังนั้นต้องใส่เสื้อผ้าให้อุ่นแบบไม่ต้องแคร์ฝรั่งเลย เพราะหากเน็นแล้วอาจเกิดอาการกล้อมเนื้อหดเกร็งได้ จะทำให้ปวดกล้ามเนื้อ


ตอนนี้ผมนะ ใส่มันซะสี่ห้าชั้นไปเลย เอาให้เหงื่อออกมันไปเลย......เหอเหอเหอ


เคเจ

Saturday 25 October 2008

62 days in Sweden: Love Theory

เพียงเวลาไม่นาน ชีวิตของผมที่ประเทศสวีเดน ก็เดินทางเข้ามาจนครบสองเดือนเต็มแล้ว


ถ้าอยากจะให้ผมบอกว่าสองเดือนที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ผมคงจะบอกว่าก็ไปอ่านเรื่องราวต่างๆ ที่ผมเขียน อธิบาย บรรยาย และระบายให้ฟังตลอดสองเดือนที่ผ่านมานี้เอาก็แล้วกัน เพราะถ้าจะให้มานั่งเล่าตอนนี้ อารมณ์มันไม่ได้แล้วอ่ะ บางครั้งผมก็พิมพ์ไปพร้อมกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปด้วย


แต่ที่วันนี้ผมจะเขียน มันคงจะเป็นการบอกถึงสิ่งที่อยู่ข้างในมากกว่า.........


ช่วงนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงที่อารมณ์อ่อนไหว... อิอิ เลยพาลอยากเขียนเรื่องความรัก :D ไม่ใช่อะไรนะ เพียงแค่อยากเขียนมุมมองด้านความรักของผมเอาไว้อ่านน่ะ


พอดีช่วงเลาที่ผ่านมาได้มีโอกาสดี มีเวลาว่างนิดหน่อยน่ะ ก็เลยคิดว่า เออ ความคิดและมุมมองความรักของเราบางครั้ง มันก็มีประโยชน์เหมือนกันเนอะ บางทีมันก็ดู positive thinking ดี



สำหรับคนที่มีความรักแล้ว ผมอยากบอกแค่ว่ารักษามันเอาไว้นะครับ บางครั้งมันอาจทำให้เราทุกข์ เสียน้ำตา หรือปวดร้าว แต่คุณเชื่อไหมว่าทุกครั้งที่เรามองย้อนกลับไป มันอาจทำให้เรายิ้มได้ทั้งน้ำตา.......



สำหรับคนที่ยังไม่มี หรือกำลังวิ่งหาความรัก คำถามที่เกิดขึ้นในใจคือ เมื่อไหร่ล่ะ ที่ความรักจะผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะต้องนั่งรอความรัก หรือต้องวิ่งหา และไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก


............Don't find love, let love fiind you.............................................


คนบนโลกนี้มีมากมาย การที่คนสองคนจะมาพบกัน รักกันได้นั้น บางคนกว่าว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ แต่สำหรับผมแล้วสิ่งนี้มันยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ ที่ความรักจะหาเราพบ......


แต่ขอให้เชื่อว่า ปาฏิหาริย์แห่งความรักมันมีจริงเสมอ มันเกิดขึ้นทุกวัน ทุกนาที เพียงแต่ว่าปาฏิหาริย์แห่งความรักของเรามันยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอกครับ


เป็นกำลังใจให้ทุกคน


หวังว่า พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาปาฏิหาริย์แห่งความรักของทุกคนจะบังเกิด

Thursday 23 October 2008

Nummer

Nummer หรือ Number ในภาษาอังกฤษนั่นเองครับ เพียงแต่สวีดิชใช้ว่า "หนุ่มเม๊อ" แปลว่าตัวเลข





ที่วันนี้อยากเขียนเรื่องตัวเลขนี่ก็เพราะมันมีแนวคิดนึงที่คนสวีเดนคิดแล้วผมว่าดีทีเดียวเกี่ยวกับตัวเลข แต่ก่อนอื่น เราลองมาทำความรู้จักกับตัวเลขพื้นฐานของสวีเดนกันก่อนนะครับ



0 = noll (โน๊น); 1=en (เอ๊น)/ett(เอ็ท); 2=två (ทว๊อ); 3=tre (เตร๊); 4=fyra (ฝี่ร๊า); 5=fem (เฟ๊ม); 6=sex (เซ็ก); 7=sjo (ชู๊); 8=åtta (อ่อตต๊า); 9=nio (หนี่โอ๊ว); 10=tio (ถี่โอ๊ว)



แต่ที่อยากเล่ากลับไม่ใช่เรื่องว่าเลขแต่ละตัวของสวีเดนอ่านว่าอย่างไรหรอก แต่เป็นเรื่องความจำได้ของคน คนสวีเดน เชื่อว่าคนเรานั้น สามาถจดจำตัวเลขได้อย่างแม่นยำเนี่ยะไม่เกินสี่ตัวเลขในเวลาเดียวกัน เช่น คนจำ 4892 ได้ดีกว่า 79302



ดังนั้นเวลาเราไปไหนมาไหนที่สวีเดน เรามักจะพบว่าถ้ามีตัวเลขเรียงต่อกันเกินสี่ตัว ที่ประเทศนี้จะเว้นวรรคหมด เช่น เบอร์โทรศัพท์ บางทีที่นี่เล่นบอกเป็นเลขคู่ๆ เลย เช่น 07 56 98 45 หรือไม่ก็แบ่งเป็นวรรคๆ ไม่เกิน สามหรือสี่ตัวเลข อย่างรหัสไปรษณีย์ที่นี่ 5 ตัว ยังต้องแยกกัน อย่างที่พักผม รหัสไปรษณีย์ 27344 เวลาเขียน ต้องเขียน 27 344 อย่างนี้เป็นต้น



อีกอย่างที่นี่มักไม่ใช้จุดทศนิยมนะ เช่น ของราคา 55.60 โครน เขาจะใช้การเว้นวรรคว่า 55 60 หรือที่เห็นบ่อย จะใช้คอมม่าว่า 55, 60 แทนน่ะ

แนวคิดนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ


Wednesday 22 October 2008

Me & Myself

ตั้งแต่มาผมไม่ค่อยมีเวลาที่จะนั่งอยู่เฉยๆ อยู่นิ่งๆ กับตัวเองเท่าไหร่นัก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมมักจะหาเวลาที่จะอยู่กับตัวเองให้เท่าที่โอกาสอำนวย


วันนี้ผมมีโอกาสที่จะได้นังคิดอะไรเพลินๆ อยู่คนเดียวโดยไม่มีเรื่องการเรียนต้องคิดอะไรมาก เพราะอาทิตย์นี้ผมไม่มีเรียนแล้ว มีอีกทีก็อาทิตย์หน้าเลย


วันนี้ทั้งวันผมจึงไม่ได้ทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่นัก นอกจากการนั่งคิดและจัดระเบียบชีวิตให้กับตัวเอง ตลอดถึงวางแผนการดำเนินชีวิตที่ประเทศสวีเดนนับจากนี้เป็นต้นไปจนกว่าการเรียนในปีแรกนี้จะสิ้นสุดลงราวๆ เดือนมิถุนายน ปีหน้า


บางครั้งผมคิดว่าผมเริ่มชินกับการใช้ชีวิตที่นี่ เพราะก็อยู่มาเกือบสองเดือนแล้ว อีกสองวันเองก็ครบสองเดือนแล้ว แต่การเคยชินกับที่นี่ มันก็เป็นดาบสองคมสำหรับกับผม


ในด้านหนึ่ง การที่เคยชินกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่นี่ ให้ผมสามารถดำเนินชีวิตอย่างไม่รู้สึกแปลกแยกกับสิ่งต่างๆ รอบตัวผมขณะนั้ ทั้งการกิน การนอน การเรียน และการใช้ชีวิตในทุกวัน


แต่ในทางกลับกัน ความเคยชินเหล่านี้กลับสร้างให้ผมประมาทในการดำเนินชีวิต เริ่มไม่ค่อยกระตือรือล้นในการใช้ชีวิต หรือเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่อื่นๆ ซึ่งผมถือว่ามันป็นโอกาสที่ผ่านเข้ามาที่ผมควรไขว่คว้าไว้ แต่หลายครั้งผมกลับปล่อยผ่านไปเพียงเพราะว่า ไม่อยากทำอะไรใหม่ๆ เอาเสียดื้อๆ


ความเคยชินที่ตอนนี้เกิดขึ้นกับผม มันเป็นทั้งข้อดี และเสียในเวลาเดียวกัน 60:40


หลังจากนั่งเงียบๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไปคนเดียวสักพัก ผมก็เห็นว่า นับแต่พรุ่งนี้ ผมคงต้องทำอะไรใหม่ๆ ให้เกิดความท้าทายในการดำรงชีวิตอยู่ที่ประเทศสวีเดนของผมเสียให้ได้ เพื่ออย่างน้อยก็ได้ลด 40% ของด้านมืดของความเคยชินให้น้อยลงกว่านี้


ทุกคนก็คอยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยแล้วกันนะครับ


เคเจ

Monday 20 October 2008

The End of Buddhist Lent Day

ที่เมืองไทย วันออกพรรษาผ่านไปตั้งแต่เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว แต่สำหรับที่ประเทศสวีเดนนั้น วันออกพรรษาเพิ่งผ่านไปเมื่อวันเสารที่ผ่านมานี้เอง

เมื่อวันเสาร์ผมได้ทีโอกาสไปร่วมงานวันออกพรรษาที่วัดสังฆบารมี ที่เอสเหลิฟมาครับ ไปร่วมแล้วก็คิดถึงบรรยากาศที่ประเทศไทย เพราะที่นี่เหมือนเป็นชุมชนที่คนไทยในประเทศสวีเดนตอนล่างมาร่วมกันทำบุญ









งานออกพรรษานี้ก็มีกิจกรรมหลายอย่างทั้งทำบัญตักบาตร ถวายภัตตาหารเพล แห่ปราสาทผึ้ง การกวนข้าวทิพย์ ซึ่งต้องอาศัยบรรดาน้องหนูสาวพรมจรรย์มาประเดิมไม้พายกันเป็นขบวน







ซึ่งต้องสังเกตุเตาให้ดี เพราะเป็นการอาศัยภูมิปัญญาพื้นบ้านในการขุดดินทำเป็นเตานั่นเอง แถมอีกนิดผมก็ยังได้ซื้อเครื่องปรุงจากประเทศไทยกลับมาทำกับข้าวประทังไปได้อีกหลายเดือน

Friday 17 October 2008

Swedish Internet

การมาอยู่ที่ประเทศสวีเดนนี้น่ะ internet กลายเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิตแทนที่โทรศัพท์ หรือรถ ไปได้อย่างสบายๆ เพราะเราทุกคนต้องใช้ internet ทำทุกอย่างเลย ทั้งซื้อของ จ่ายเงิน โอนเงิน จ่ายค่าเช่า ทำธุรกรรมทางธนาคาร สมัครบริการทุกอย่าง ซื้อตั๋วทั้งหลาย ผ่านหน้าจอทั้งหมด


ทุกคนต้องใช้ internet เป็นไม่งั้นตายกันเลยทีเดียว


ว่าไปค่า internet ที่นี่ก็ไม่แพงนะครับ ผมสมัคร 100 M ราคาตกเดือนละ 300 บาท โปรโมชั่นลดครึ่งราคา เหลือแค่เดือนละ 150 บาทเอง แต่ปัญหาอยู่ที่การแจ้งให้ชำระเงิน ถ้าให้ตัดบัญชีก็ไม่เสียอะไร เพียงแค่มีบัญชีธนาคารที่สวีเดน ถ้าส่งยอดทาง eMail ค่าบริการตกฉบับละ 100 บาท ถ้าส่งเป็นจดหมายตกฉบับละ 350 บาท แอบตกใจอย่างแรง


เมื่อใบแจ้งหนี้มา เราก็ต้องจ่ายเงิน ถ้ามี บัญชีธนาคารที่นี่ เราก็ทำ eBanking จ่ายทาง internet ฟรี ถ้าเดินเอาไปจ่ายที่ธนาคารก็เยค่าบริการอีกนะสิ ถ้าเป็นเมืองไทยรายการละตก 20-25 บาท แต่ที่สวีเดน รายการละ 60-70 ไม่ใช่บาทนะครับ โครน ดังนั้นจ่ายเงินที่ธนาคารครั้งนึง ต้องเสียค่าบริการรายการละ 300-350 บาทครับ


แต่ที่เล่ามาทั้งนี้ทั้งนั้น เพียงแค่ต้องการบอกว่า ที่นี่ internet เป็น Infrastructure หรือสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานแล้ว แต่เมื่อสักครู่ internet สวีเดนก็เจ๊งได้นะ เสียไปประมาณชั่วโมงนึง เล่นเอาผมงงเลย เพราะที่เมืองไทยผมยังไม่เคยเจอเลย


แต่ตอนนี้ใช้ได้แล้ว มันเลยทำให้ผมเข้าใจความหมายที่ว่า internet มันได้กลายเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่สวีเดน ประการหนึ่งของผมไปแล้ว

Become familiar

ผมเคยเขียนไปแล้วหลายครั้งว่ามนุษย์ทุกคนจริงๆ แล้วน่ะไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง บางทีถึงขั้นไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ


ถามว่าทำไมผมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ? คนเรายอมรับความเปลี่ยนแปลงได้เสมอจริงไหม? ผมจะขออธิบายความคิดของผมดังนี้นะครับ

  • คนเราน่ะ ไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง หมายถึงว่า จริงๆแล้วคนเราทุกคนน่ะจะยึดติดว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่กับบางสิ่งบางอย่างจนคุ้นเคย พอไม่มีมันก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป แล้วจะทำอย่างไรถ้าขาดมันไป คิดรกสมองไปกันใหญ่ ตัวอย่าง เมื่อสักครู่ internet ของผมเสียใช้ไม่ได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ผมก็คิดอยู่นั่นแหละว่าถ้าไม่มี internet แล้วผมจะเป็นอย่างไร แล้วที่ใช้ไม่ได้เป็นเพราะ provider ของผม หรือเปล่า เฝ้าโทรศัพท์หาเพื่อนที่ใช้ provider เดียวกับผมว่าของเขามีปัญหาหรือเปล่า สรุปเป็นที่ provider แหละ นี่กระมังที่ผมไปกังวลใจกับความเปลี่ยนแปลง

  • คนเรามีโมเดลในทุกเรื่องอยู่เสมอถ้าไม่มีก็จะพยายามสร้างขึ้นมาเสมอ และก็พยายามคิดว่ามันต้องเป็นไปตามโมเดลนั้นอยู่เสมอด้วย งงมั๊ยเรื่องนี้ ผมจะอธิบายให้ฟัง เวลาเราพบกับสิ่งใหม่ เรามักคาดหวังไงว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แน่ๆ พอไม่เป็นก็จิตตก แล้วการคาดหวังของเรานั้นว่าโมเดลนั้นๆ ของเราเป็นอย่างไร มันก็จะขึ้นอยู่กับว่าเราคุ้นเคยกับอะไร ร้อยทั้งร้อยมันจะเป็นไปตามความคุ้นเคยของเรา เรื่องนี้ใครงงผมจำได้ว่ามีหลายคนที่คิดอย่านี้นะ ลองไปอ่านปรัชญาของตั้งแต่ เพลโต โสเครติส อริสโตเติล ซิ เขาก็คิดอย่างนี้ (แนวคิดเรื่อง Form กับ Idea นั่นแหละ) แต่ผมไม่ได้เอาไปเปรียบกับเขาเหล่านั้นนะ แค่นึกได้ขึ้นมาเท่านั้นเอง ก็เลยเอามาคิดดู เขาคิดว่าเม็ดมะม่วงคือ form มันจะโตไปเป็นต้นมะม่วง (นึกภาพต้นมะม่วงซิ) อันนี้เป็น Idea แต่สมัยนั้นอาจจะจริงเพราะมะม่วงไม่มี หรือไม่ก็มีแต่มะม่วงไงคงไม่มีหลายพันธุ์เช่นปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนะ เม็ดมะม่วงมันยังโตเป็นมะม่วงเปรี้ยวได้เลย

  • คนเราน่ะ ไม่ค่อยยอมรับความเปลี่ยนแปลง แค่ชื่อก็เห็นได้แล้วว่าความเปลี่ยนแปลงน่ะ มันต้องอาศัยการยอมรับ มันเป็นความแปลกแยกที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หากยึดติดมากเราก็ต้องทำใจยอมรับให้มาก ใครยอมรับได้ดีกว่าก็จะได้เปรียบ ตัวอย่างที่ผมเคยยกมาแล้วคือ พอมีการจากลา เราต้องยอมรับให้ได้ว่าเป็นเรื่องปกติในการจาก และต้องไม่แปลกแยกไปจากความเป็นจริงข้อนี้ เราต้องมีชีวิตอยู่กับความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลานะครับ เพราะเมื่อเราสามารถอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงแล้ว ความเปลี่ยนแปลงจะกลายเป็นความคุ้นเคยที่เราไม่จำเป็นต้องยอมรับ แต่เราจะสามารถดำเนินชีวิตของเราบนพื้นฐานแห่งความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่รู้สึกแปลกแยกเลย

ดังนั้นเอาเข้าจริง ในเรื่องนี้ทางพุทธศาสนาก็สอนไว้แล้ว ไม่ใช้เรื่องอะไรที่แปลกใหม่เลย มันก็อเรื่องของไตรลักษณ์นั่นเอง ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อไรก็ตามที่เราปล่อยวางได้ว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง และที่สุดทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เราก็ไม่จำเป็นต้องทำใชยอมรับการดับไป หากแต่เพียงรับรู้ถึงการดับไปนั้นก็พอแล้วครับ



ป.ล. ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับผม แค่รับรู้ว่าผมคิดยังไงก็พอ

Thursday 16 October 2008

Final examination

ช่วงนี้ก็เข้าใกล้เทศกาลสอบปลายภาคของผมแล้ว อีกประมาณครึ่งเดือนก็จะสอบแล้วครับ ช่วงนี้ก็เลยมีหน้าที่หลายอย่างทั้งการอ่านหนังสือ แกะคำบรรยายที่อัดมา แล้วไหนยังมี workshop รออยู่อีก 3 workshpos แต่ละอันเอกสารอ่านตรึม เท่ากับว่าช่วงนี้แทบไม่ต้องกระดิกตัวไปไหนเลย


การสอบปลายภาคของผมเนี่ยะ มันไม่มีการเข้าไปนั่งเขียนสอบ 3-4 ชั่วโมงนะครับ แต่มันเป็น takehome examination คือการสอบเขาจะแจกข้อสอบแล้วให้เวลาทำทั้งสิ้น 48 ชั่วโมง ต้องส่ง


ยังไงไม่รู้ล่ะ อีกครึ่งเดือนก็จะรู้ว่าหมู่หรือจ่ากันแน่


มาช่วยเป็นกำไลจัง กำลังใจให้ผมด้วยแล้วกันนะครับ....


เคเจ@Lunds Universitate

Tuesday 14 October 2008

Bread and Bekery

ตอนอยู่เมืองไทย ผมก็เป็คนหนึ่งที่ชอบกินขนมบังและเบเกอร์รี่ สรรหาของกินเลยว่างั้น ที่ไหนใครว่าอร่อย ไปมันหมดแหละ


มาที่สวีเดน ตอนแรกก็คากว่าคงจะมีเบเกอร์รี่อร่อยๆ ให้กินไม่หวาดไม่ไหว แต่กลับไม่ค่อยเจอเท่าไหร่


ครั้งแรกที่กินเบเกอร์รี่ที่นี่ เขาว่าเป็นขนมประจำชาตินะก็คือเดนิชไส้ชินนาม่อน อ่ะ น่ากินสุดๆ แต่ที่สำคัญผมเกลี่ยดชินนาม่อนอะดิ ก็เลยไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ว่ามันอร่อยหรือเปล่า


ต่อมาก็ขนมปังแถวธรรมดา กินมาจนปัจจุบันสามแถวแล้ว หากินได้ตลอดแต่ แต่ความอร่อยยังหาไม่เจอจริงๆ สงสัยรสนิยมสูงเกิ๊น


ต่อมาก็มาที่ขนมปังบัตเทอร์ธรรมดา ทั้งวนิลา กล้วยหอม และขิง โดยเฉพาะอันหลังนี่ ไม่ไหวจริงๆ


ตอนนี้กำลังลองแยมโรลอยู่ ไปหามาจาก Mor Mors Bekeri แถวละ 30 โครน ก็ตก 150 เชียวนะ กินครีมไปแล้ว โดยรวมกินได้ แต่ผมก็ว่าเบเกอร์รี่เมืองไทยอร่อยกว่า ตอนนี้กำลังลองแยมบลูเบอร์รี่โรลอยู่ ก็โอครับเปรี้ยวนิดๆ ดับความเลี่ยน


คาดกว่ากว่าจะจบคงหาเบเกอร์รี่อร่อยๆ ได้สักที่ละน่า

Life style

ตอนอยู่เมืองไทย การดำเนินชีวิตของผมก็ไม่มีอะไรยุ่งยากอยู่แล้ว วันๆนึงก็ตื่น ไปทำงาน เสร็จงานก็กลับบ้าน หรือไม่ก็ไปออกกำลังกาย เสาร์อาทิตย์ก็ซักผ้า รีดผ้า ทำความสะอาดบ้าน ห้อง ห้องน้ำแล้วแต่สภาพ


ส่วนกิจกรรมยามว่างก็คงมีเพียงการเดินเล่นตามตลาดนัด (เจเจ สวนลุม ตะวันนา เมืองทอง) ห้างสรรพสินค้าทั้งใกล้และไกลบ้าน ดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว ขับรถเล่น นั่งรถเล่น ร้องคาราโอเกะ สลับๆ กันไปตามโอกาสจะอำนวย


แต่สองเดือนที่ผ่านมา กิจวัตรของผมต้องเปลี่ยนแปลงไปหมด วันๆ ก็ต้องเช็คตารางเรียนที่เปลี่ยนกันทุกวัน เดินไปเรียนทุกวัน เท่ากับ การออกกำลังกาย ถ้าไม่มีเรียนส่วนมากก็จะอยู่เล่นในห้อง อัพเดทบล็อก หรือไม่ก็ออกไปเดินเล่นในเมืองบ้าง ไปเดินตลาดขายของเก่า ร้านขายของมือสอง (ร้านประจำของผม เพราะสนับสยุยมาไม่ต่ำกว่าสิบชิ้น ทั้งโซฟา เก้าอี้ โคมไฟ ถาดเงิน ถามทอง ผ้าคลุมโต๊ะ ผ้าคลุมเตียง โต๊ะ ผ้าม่าน ถังขยะ จาน ชาม แก้วน้ำ หมดแระ เสียเงินให้ไปไม่น้อยกว่าห้าพันบาทแล้ว)


นอกจากนั้นก็คือการเดินสำรวจเส้นทาง เอาเป็นว่าผมเดินจนพรุน เดี๋ยวนี้ไม่ต้องอาศัยแผนที่เลย เดาทางได้แล้ว อ้อลืมไปนอกจากนั้นก็คือการช็อปปิ้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ โนว่าลุนด์ (Nova Lund) เป็นห้างอ่ะ อีเกีย (IKEA) ขายของตกแต่งบ้าน H&M ขายเสื้อผ้า ซิตี้กรอส (City Gross) อีก้า (IKA) เน็ตโตะ (Netto) คูพ (Coop) (แต่เพื่อนผมว่าเขาเรียกว่าโคออพนะ ไม่รู้อ่ะ ไมมันเรียกกันหลายอย่างจัง) ก็ประมาณเทสโก้โลตัสบ้านเราอ่ะครับ แต่เน็ตโตะ ถูก แต่ตาดีได้ตาร้ายเสีย บางทีใกล้หมดอายุ แล้วของก็จัดเรื่อยราดสุดฤทธิ์ แต่มันอยู่ใกล้ผมที่สุด แล้วที่ลืมไม่ได้ ก็คือร้านขายของกลางแจ้งทั้งหลายโดยเฉพาะพวกผักผลไม้


การทำกับข้าวกินก็น่ารื่นรมไม่น้อง สรรหาทำสิ่งที่อยู่เมืองไทยไม่อยากทำเลย เพราะยุ่งยาก แต่มานี่ทำแต่ละอย่าง แกงเขียวหวาน แกงพะแนง แกงส้มปลาซอลมอน ต้มข่าไก่ ต้มยำไก่ ข้าวมันไก่ ไก่ผัดขิง ผักพริกหยวกหมู น้ำแกงสาหร่ายหมูสับ ไก่กระเทียมพริกไทย ผัดผักรวมมิตร ผักมักกะโรนีไก่ ไก่ผัดพริกแกงถั่วแขก ไข่ตุ๋น ไข่เจียว ข้าวผัดหมู ข้าวผัดอเมริกัน ยำวุ้นเส้น ว่าไปมาอยู่เกือบสองเดือนทำไปหลายอย่างแล้วนะเนี่ยะ

วันๆ ผมก็หมดเวลาไปกับกิจกรรมเหล่านี้แหละครับ ไม่นับรวมการได้เดินทางออกไปนอกลุนด์บ้างเช่น ไปวัดที่เอสเหลิฟ หรือไปที่มาลเม่อบ้างอ่ะ


เอาเป็นว่าหลังสอบเดือนหน้าก็จะหาที่เที่ยวแระ......จะได้เอารูปมาลงบ้างน่ะ

Monday 13 October 2008

Autumn again

อย่างที่เคยบอกไปว่า ตอนนี้อากาศที่ลุนด์เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเหลือง แล้วเริ่มผลัดใบแล้ว









วันนี้ได้มีโอกาสเดินเล่น เลนเอารูปมาฝากน่ะคร้าฟฟ


Swedish Polis

ตั้งแต่มาอยู่ที่สวีเดน วันแรกที่มารายงานตัวทางมหาวิทยาลัยก็จัดให้ฟังการบรรยายเกี่ยวกับการกระทำความผิดในประเทศสวีเดนเสียแล้ว โดยนำบรรดาโรโบค็อปมาบรรยาย ที่เรียกวาโรโบค็อป ก็เพราะตำรวจที่นี่กล้ามโตเป็นอาโนลด์เลยอ่ะ เจอข้างนอกนอกเวลางานเอาเดาไว้ว่าต้องมีอาชีพเป็นนักเพาะกายทีมชาติสวีเดนแหงๆ


แต่ที่พูดมายังไม่เกี่ยวอะไรกับที่จะเล่าหรอก


ที่จะเล่าก็คือว่าที่ประเทศนี้น่ะ อะไรนิดๆ หน่อยๆ ตำรวจมาแระ เดี๋ยวมีเรื่องนิดนึงก็มาอีกแระ


เรื่องแรก ที่หอข้างๆ มีปาร์ตี้กัน ลั้นลาวันศุกร์ (ลืมบอกไป เย็นวันศุกร์ที่นี่ก็เป็นวันปล่อยผีฮาโลวัน เหมือนเมืองไทยแหละ เมากันยันเช้า) แต่ทีนี่มันดันกินกันในหอไง ซึ่งปกติในหอก็ห้ามส่งเสียงหลังสี่ทุ่มแล้ว พอเจ้าประคุณเล่นเมาไม่เลิก ว่าแล้วม๋าต๋าสวีดิชก็ได้มทำงานแถวหอผมซะ มาบอกให้เลิก......ไม่งั้นมีจับ


ครั้งต่อมา...น้องเด็กไทยที่มาเรียน ไปปาร์ตี้ที่เนชั่น หรือง่ายๆ ก็ชมรมของนักศึกษาน่ะ สำหรับปาร์ตี้กันอย่างเป็นกิจจะลักษณะกันเลย

ทีนี่น้องเด็กเขาดั๊นไปกินอีท่าไหนไม่รู้ เมาเสียเกือบสิ้นสติสมประดี ครองตัวไม่อยู่ ก็เลยต้องอาศัยเพื่อนพากลับบ้านโดยรถเมล์อย่างทุลักทุเล แต่เรื่องมันไม่จบซิ นั่งรอรถเมล์อยู่ ม๋าต๋ามาซะงั้นจับพาตัวน้องเด็กที่กรึ่มๆๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ส่งโรงพยาบาลเลยซะงั้น

คุณหมอแทบจะหมดบอร์ด เฮละโลมาช่วยกันรักษาคุณน้องเด็กกันจ้าละหวั่น ในห้องฉุกเฉิน (แหม...อยากบอกว่า ถ้าเป็นประเทศไทย ปล่อยหลับไปสักแป๊บ แม่พาลจะลุกมากินได้อีกรอบด้วยซ้ำนะ...) ประหนึ่งว่ามีความเป็นตายอยู่ตรงหน้า แต่ก็เอาน่า เพื่อสวัสดิภาพของคนคนนึง เชียวนะ ที่นี่เขาเต็มที่อยู่แล้ว

สายน้ำเกลือระโยงระยาง ถูกจัดวางอย่างเร่งรีบ วัดความดัน อุณหภูมิกันมือระวิง แถมต้องค้างคืนที่โรงพยาบาลอีกคืนนึง

สรุปแล้วแค่เมาเหล้า หมดไปกว่า 2 500 โครน (หมื่นกว่าบาทเชียวนะ) ตายๆๆๆ กินเหล้าได้ 5-6 ขวดเลยนะนั่น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่ต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับโรโบค็อป ชาวสวีเดน


เจอครั้งหน้า ต้องหนีให้ห่าง กลัวเสียตังค์......

Saturday 11 October 2008

Be published

วันนี้เพิ่งได้มีโอกาสที่จะเข้าไปเยี่ยมเยียนดูข่าวคราวของสถานทูตไทยในประเทศสวีเดน


ก็เลยไปเจอว่าตอนนี้ข่าวการมาเยือนลุนด์ของท่ายทูตอภิชาติ และร่วมพูดคุยกับพวกเรา เด็กไทยในมหาวิทยาลัยลุนด์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551 ได้ลงเป็นข่าวอยู่ในเว็บไซต์แล้ว ตามไปดูได้ครับ


ป.ล. ภาพที่ถ่ายนี้ถ่ายที่หน้า Juridicum ก็คือคณะนิติศาสตร์ นั่นเองครับ

Thursday 9 October 2008

It's over

และแล้ววันนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี.......


กว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาผม และเพื่อร่วมกลุ่มขลุกอยู่กับการที่ต้องพรีเซนต์เรื่องแนวคิดของคานส์ เฮลเซน กับการใช้กำลังตามกฎหมายระหว่างประเทศ


การพรีเซนต์วันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี การนำเสนอของผมที่สองสาวยูโรเปี้ยนที่คุณก็รู้ว่าเธอเป็นใคร ไม่เห็นด้วย แต่ผมก็ทู่ซี้ว่าผมจะเอา แล้วผมก็พูดไป กลับได้รับการยอมรับจากอาจารย์อย่างออกหน้าออกตา ตอนนั้นอยากถ่ายรูปสองสาวมาแปะประจานในบล็อกเสียซะให้รู้แล้วรู้รอด


แต่จนจบคลาสวันนี้ ผมกลับพบกับพัฒนาการด้านภาษาอย่างก้าวกระโดดของผมจริงๆ เริ่มไม่อายที่จะอ้าปากพูด และพูดเยอะมากจริงๆๆๆ

Wednesday 8 October 2008

European Culture of DOING Groupwork

การทำงานกลุ่มนี่ทำให้เราเรียนรู้อะไรมากมายเลยนะครับ


เพียงแตค่ทำงานกลุ่มไม่กี่ชิ้น ผมได้รับรู้วัฒนธรรมการทำงานหลายอย่าง บางอย่างทำให้เราตกใจกันเลยทีเดียว บางอย่างทำให้เราโกรธ อึ้งทีเดียว


อย่างวันนี้ทำงาน เตรียมการพรีเซนต์วันพรุ่งนี้ แต่สองสมาชิกชาวเบรารุส กับฝรั่งเศส กลับมานั่งเขียนรายงานว่า การทำงานใครทำอะไรบ้าง ประเด็นไหนใครยก ใครเป็นคนพัฒนาความคิดนั้นๆ ใครจะเป็นคนพรีเซนต์ มันบอกว่านี่เป็นวัฒนธรรมของมัน ผมกะเพื่อเกาหลี มองหน้ากับสวีเดนอีกประเทศ แล้วทำตาปริบๆ ก่อนที่จะตอบกลับไปว่าอยากทำไรก็เชิญ เพราะที่ประเทศเราไม่ซีเรียส และไม่มีวัฒนธรรมอย่างนี้


อีกอย่างพวกยุโรปเนี่ยะ อะไรๆ มันก็เอาแต่ว่ามีลอจิค ไม่มีลอจิค รำคาญมาก เพราะว่ากรูว่าไอ้คนพูดน่ะ ไม่มีโลจิค รู้สึกโลจิคต่ำมาก ไม่รู้ว่าเรียนตรรกศาสตร์ในวิชาคณิตศาสตร์มาบ้างป่าว...............


แต่ที่ทำให้โกรธ ควันออกก็คือ วันก่อนก็คุยกันอยู่ แสดงความคิดเห็น พอเหลือผมกะเพื่อเกาหลีสองคน ฝรั่งเศสมันกลับพูดว่า แล้วเอเชี่ยนละว่าไง เห็นว่าไงบ้าง


ผมไม่ได้คิดมากนะ แต่สีหน้า ท่าทางเนี่ยะมัน discriminate กับมากๆ เคยแต่เขาเล่ากัน เจอเข้ากะตัว.... แค่รู้สึกอยากดูหนังเรื่อง Slap Her, She's French! (น่าตบจัง... นังฝรั่งเศส) ขึ้นมาตะหงิด ตะหงิด



ยิ้มไว้.............................. เคเจ

Hans Kelsen Week

สัปดาห์ที่แล้วต่อเนื่องมาจนสัปดาห์นี้ เป็นเวลากว่าสิบวันเป็นการเรียนเรื่องของ Hans Kelsen นักปรัชญากฎหมายที่ได้รับการยอมรับอย่างวงกว้างในทศวรรศที่ 90


ไหนเราจะต้องเตรียมตัวอ่านเอกสารก่อนการเข้าฟังเลคเชอร์ เรื่อง Hans Kelsen and International Law ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แถมยังต้องทำงานกลุ่มเกี่ยวกับประเด็นกฎหมายกับแนวคิดของเขาไปพรีเซนต์อีก


รายงานของผมเป็นเรื่องฮานส์ เคลเซน กับการใช้กำลังตามกฎหมายระหว่างประเทศ


กว่าอาทิตย์จริงๆ ที่ผมจมปลักกับทฤษฎีของเคลเซน หายใจเข้า-ออก เป็นเคลเซน เอาเป็นว่าอ่านจนเข้าใจเลย แถมภาษาอังกฤษพัฒนาเร็วมากในเวลาอาทิตย์กว่าๆ ทั้งอ่าน พูด ฟัง เขียน เพราะกลุ่มต้องมาประชุมวิพากษ์วิจารณ์กันทั้งอาทิตย์


จนวันนี้แล้ว ใกล้แล้วอีกนิดเดียว แค่พรุ่งนี้ผ่านไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ผมหวังไว้เช่นนั้น

Week of weakness

ไม่ได้เข้ามาโพสเรื่องราวเสียหลายวัน วันนี้ก็ยังไม่มีอะไรมาเล่า จนกว่าวันพรุ่งนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี

แต่ที่อยากบอกวันนี้คือ "เหนื่อยมาก" ทั้งร่างกายและจิตใจ

แต่ตอนนี้ดีขึ้นแยะแล้ว..... มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในช่วงกว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา เอาเป็นผมไม่ลืมที่จะมาเล่าให้ฟังแน่นอน

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ขอพักสมอง และสายตาสักนิด เพื่อให้พรุ่งนี้ความคิดมันแล่นสักหน่อย

เพราะผมคิดไว้เสมอว่า.............และแล้วเราก็จะผ่านมันไปได้..........

พรุ่งนี้หลังตื่นขึ้นมาเราก็จะบอกตัวเองได้ว่า เห็นมั๊ยว่าและแล้วมันก็ผ่านไปได้จริงๆ............

เคเจ

Monday 6 October 2008

Kaw Jee i Folkuniversitetet: FRÅGA MIG!!!!

วันนี้ตาแอ่นเล่นข่อเย๊อีกแระ ท่านผู้ชม

เริ่มคลาสมาแกก็สอนเรื่องบทสนทนาตามปกติ แกก็แจกชีทที่แกเตรียมมาสอนอย่างดี ดูเป็นอาจารย์ที่เตรียมตัวมากๆ บทสนทนาวันนี้เป็น pattern ดังนี้

Q: Vad gör han? หวาด หย่อ ฮั๊น (What does he do?)

A: Han tvättar sig. หั่น ทะหว่าต่าน เซ๊ (He wash himself)

Q: Tvättar han sig ทะหว่านต่าน หั่น เซ๊ (Does he wash himself?)

A: Ja, det gör han หยา เด่ ย๊อ หั่น (Yes, he does )

Q: Röker han เหร่อ เข่อ ฮั้น (Does he smoke?)

A: Nej, det gär han inte เน เด่ หย่อ ฮั๊น อิ่น เต่ (No, he does not)


ไอ้เราก็สบาย แค่เปลี่ยนคำศัพท์ ไปเรื่อยๆ แถวบ้านเรียกว่า GRIS GRIS หรือ PIG PIG นั่นเอง


พอตาแอ่นเรียกเรา ข่อเย๊ เราก็เตรียมตัวแล้วนี่ สบายมั่ก แกก็เลยถามมาว่า ฝร่อ หย่า เม๊ Fråga mig!! ตายแล้ว กรูจะไปรู้เร๊อ ตาแอ่นเซิ๊ล


แกยังคงถามไปมา ข่อเย๊ ก็กรอกตาไปมา งงน่ะ ว่าอะไร สักพักแกก็บอกว่า Ask me please? ปั๊ดโธ่ สรุปแล้วมันให้ข่อเย๊เป็นคนถามน่ะ ก็ไม่ยอมสอนก่อนว่ามันแปลว่าอย่างนี้


หวยเลยมาออกที่ข่อเย๊อีกแระ

Sunday 5 October 2008

Kaw Jee i Folkuniversitetet: Swedish name

บทเรียนสำคัญอีกบทเรียนหนึ่งที่ตาแอ่นสอนผมก็คือเรื่องเกี่ยวกับชื่อเสียงเรียงนามของคนสวีดิชแท้ๆ


ว่าไปคนสวีดิชก็มีการตั้งชื่อแบบง่ายๆ สบายๆ สลับกันไปมา บ้างก็ชื่อ เอี่ยก แบ่ หรี่ ลิ๊น (Ekberglind) หลิ่นแบ่ รี๊ (Lindberg) เอ่นเอ๊อะสะแตร๊น (Enöstrand) หลิ่น ข่ะ วิ๊ส (Lindkvist) อ่านออกเสียงแต่ละตัวเล่นเอากระทุ้งเสลดน่าดู


ตาแอ่นแกก็เลยอธิบายโดยการวาดรูปภูเขาขึ้นมา บนภูเขามีต้นโอ๊คอยู่ บ้างก็มีต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขามากมาย ด้านหนึ่งของภูเขาเป็นเหวด้านล่างเป็นกระแสน้ำพัดมากระทบกับฟยอร์ด อีกด้านหนึ่งของภูเขาเป็นหาดทราย มีน้ำทะเลและเกาะแก่งอยู่ แกก็บอกว่าเนี่ยะหมดแระ ชื่อคนสวีดิชดั้งเดิม


ได้เราก็งงเต็ก????? ตาแอ่นมาไม่ไหนอีกเนี่ยะ


สักพักแกก็เลยอธิบายต่อว่า Berg(แบ่ รี๊) = Moutain Ek (เอี๊ยก) = Oak Lind (ลิ๊น) = Tree Kvist (ขะ วิ๊ส) = Branch Ström (สะ เตริ๊ม)= Current Strand (สะ ตร๊าน) = Beach Sjö (เช๊อ) = Sea Enö (เอ่น เอ๊อะ) = Island


ก็ก็ว่าเอาชื่อพวกนี้มาต่อกันไปมา ไม่กินสามคำ นั่นแหละ ถูกต้องแล้วครับ ชื่อสวีดิชแบบดั้งเดิม แต่ต้องไม่ลืมใส่เมโลดี้ด้วยนะ


เช่น ชื่อ EKBERGSTRÖM (เอียกแบ่หรี่สะเติ๊ม) EKSTRÖMBERG (เอี่ยกสะเติ่มแบ่รี๊) BERGEKSTÖRM (แบ่หรี่เอี่ยกสะเติ๊ม) BERGSTRÖMEK (แบ่หรี่สะเติ่มเอี๊ยก) STRÖMEKBERG (สะเติ่มเอี่ยกแบ่หรี๊) STRÖMBERGEK (สะเติ่มแบ่หรี่เอี๊ยก)


โอ๊ย!!!!!!! ปวดตับ

Kaw Jee i Folkuniversitetet: Varifrån kommer du?

บทเรียนสู้ชีวิต สวีดิชของข่อเย๊ บทที่สอง เริ่มขึ้น

ตาแอ่นคนเดิมถามข่อเย๊แบบเดิมเลยว่า หว่า หริ ฟร๊อง ข่อม เหม่อ ดู๊? (Varifrån kommer du?) แปลว่ายูมาจากไหนกันเนี่ยะ หน้าตากระเรี๊ยง กระเหรี่ยง

ไอ้เราก็ตอบไม่ได้อยู่ดี แต่คราวนี้รู้แกวแระ ทำหน้าตาเว้าวอนเวิ่นเว้อนิดนึง แกก็คายออกมาว่า Where are you come from?

ไอ้เราก็เลยต้องตอบตามภาษารู้แกว ก็คือย้อนคำถามแบบตรงตัวไป ว่า หยาก ข่อมเหม่อ ฟร๊อง ประเทศไทย?????

ตายละหว่า แล้วไอ้ประเทศไทยเนี่ยะมันเรียกว่าอะไรในภาษาสวีดิชล่ะ จุดนั้นเลยฉุกคิด จำขึ้นได้ทันใด อ่อเห็นบ่อยๆ ว่าแถบสแกนมันชอบใช้ชื่อประเทศแบบอังกฤษแล้วแปลงสัญชาติให้เป็นญี่ปุ่นด้วยการใส่สะก๊า (ska) เช่น Polska Svenska Engleska ดังนั้น จึงตอบด้วยความภาคภูมิว่า หยาก คอมเม่อ ฟร๊อง ไถ่แหล่นสะก๊า (Thailandska) เสร็จทำหน้าอมภูมินิดนึง

ตาแอ่นร้อง โอ้วววว ดู คอมเหม่อ ฟร้อง ไถ่ลั๊น?

แป่วววววว สรุปว่ามันว่าบอกให้ใช้แค่ไถ่ลั๊น เท่านั้นแหละ หน้าแตกดังเพล้งเลย ข่อเย๊

สรุปบทเรียนวันนี้
Q: Varifrån kommer du? [Varifrån (where from) kommer (come) du (you)?]
A: Jag kommer från Thailand [Jag (I) kommer (come) från (from) Thailand]

Kaw Jee i Folkuniversitetet: Va heter du?

บทเรียนแรกของวันนี้ที่คงเป็นบทสนทนาพื้นฐ๊าน พื้นฐานก็คือการถามชื่อเสียงเรียงนามกันนั่นเอง

เริ่มคราสวันนี้แรกนี้ ด้วยตาแอ่นเซ๊ลกล่าวเป็นสวีดิชว่า แหว่วข่อมน๊า Välkomna หรือ Welcome นั่นเอง

ดวงก็ถูกโฉลกกะข่อเย๊อีกแระ

เพราะอีตามแอ่นเซ๊ล Anxel ครูชาวสวีดิชหันรีขันขวางไปมาแล้วก็มองหน้าข่อเย๊ แล้วพูดว่า หว่า เฮ เต่อ ดู๊? ๆๆ แล้วกรูจะรู้มั๊ย พูดอะไรเนี่ยะ ถ้ากรูเข้าใจแล้ว กรูจะมาเรียนเร๊อะ

จุ๊กกรู้ ตอนนี้ในหูของข่อเย๊กลับไม่ได้ยินว่า หว่า เฮเต่อ ดู๊ แต่กลับได้ยินว่า “ตึ่ง ตึง ตึ๊ง หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาฝากเสียงของท่านไว้ ภายหลังได้ยินเสียงสัญญาณค่ะ ตู๊ด…………”

อีตาแอ่นเซ๊ล ไม่เลิก Va heter du? Va heter du? ข่อเย๊ก็งงสิครับเจ้านาย

จนแกเห็นว่าเริ่มไม่เข้าท่า เพราะกินเวลามากเกินไป แกจึงค่อยแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า What is your name?

Oh !! I see, มาย แหนม อีส เคเจ. ข่อเย๊ ตอบแทบจะสวนคำถามของตาแอ่นเซ๊ล (เฮ้อ ถามงี๊แต่แรกก็สิ้นเรื่อง ทำข่อเย๊รมณ์เสีย)

แต่ไม่จบ แกถามต่อ เคเจ แล้วทำท่างง แล้วเขียนบนกระดาน KJ? ก็ใช่ซิถามวกวนอีกแระ

แล้วแกก็ว่า K ก็คือ คอ J ก็คือเย ดังนั้นผมจึงชื่อคอเย อ่านอีกทีว่าข่อเย๊….. โอ้ยปวดกระโหลก

จากนั้นก็ยังไม่จบ ตาแอ่น บอกให้ข่อเย๊ ตอบเป็นสวีดิชมายแหนมชื่อเคเจ ว่า Jag heter K-Jay (หยาก เฮเต่อ ข่อเย๊)

ดังนั้นบทเรียนแรกในคลาสของข่อเย๊ ก็คือ
Q: Va heter du? [What is your name? หรือ ตรงตัวว่า what(va) name(heter) you(du)?]
A: Jag heter K-Jay. [My name is K-Jay หรือตรงตัวว่า I(jag) heter(name) K-JAY(ข่อเย๊)]

สรุปแล้วปรากฏว่าผมก็ได้ชื่อสวีดิชอีกชื่อนึงว่าข่อเย๊ แต่ว่าไปว่ามา คือข่อเย๊ มันฟังดูจั๊กกระเดียมพิกล สองแง่สามง่าม แอร๊ยยยยย ไม่คิดฟุ้งซ่าน

ไอ้เราก็ว่าชื่อนี้เท่ห์แล้วเชียว เจอสวีดิช เข้าไปจอดเลย

Saturday 4 October 2008

The Butterfly Lovers

เพลงที่ตอนนี้ผมเอามาประกอบสไลด์ของผมตอนนี้ก็คือ เพลงประกอบบทละครตำนานรักพื้นบ้านอมตะอันยิ่งใหญ่หนึ่งในสี่เรื่องของจีนคือเรื่องตำนานรักผีเสื้อ (The Butterfly Lovers) หรือที่เป็นที่รู้จักกันในเรื่องม่านประเพณี (วรรณกรรมสี่เรื่อง ได้แก่ ตำนานรักผีเสื้อ นางพญางูขาว เมิ่งเจียงหนี่ และชายเลี้ยงวัวกับหญิงทอผ้า)


คืนนี้ผมนั่งฟังเพลงม่านประเพณีนี้แล้วผมก็นั่งนึกถึงวันเก่าๆ


เพลงนี้ผมฟังครั้งแรกตอนที่ผมมีโอกาศดูภาพยนต์เรื่องม่านประเพณีที่หยางไฉ่หนี รับบทฉั่วอิงไถ และอู๋ฉีหลง รับบทเหลียงซันปว๋อ แค่ครั้งนั้น ผมก็ต้องเสียน้ำตาให้กับโศกนาฏกรรมแห่งความรักเรื่องนี้ไม่รู้กี่รอบ









วันนี้พอนั่งคิดขึ้นมาแล้วผมก็อยากที่จะเขียนเอาไว้ว่า ผมรักบทประพันธ์เรื่องนี้มากจริงๆ นะ








The Butterfly Lovers

เพลงที่ตอนนี้ผมเอามาประกอบสไลด์ของผมตอนนี้ก็คือ เพลงประกอบบทละครตำนานรักพื้นบ้านอมตะอันยิ่งใหญ่หนึ่งในสี่เรื่องของจีนคือเรื่องตำนานรักผีเสื้อ (The Butterfly Lovers) หรือที่เป็นที่รู้จักกันในเรื่องม่านประเพณี (วรรณกรรมสี่เรื่อง ได้แก่ ตำนานรักผีเสื้อ นางพญางูขาว เมิ่งเจียงหนี่ และชายเลี้ยงวัวกับหญิงทอผ้า)


คืนนี้ผมนั่งฟังเพลงม่านประเพณีนี้แล้วผมก็นั่งนึกถึงวันเก่าๆ


เพลงนี้ผมฟังครั้งแรกตอนที่ผมมีโอกาศดูภาพยนต์เรื่องม่านประเพณีที่หยางไฉ่หนี รับบทฉั่วอิงไถ และอู๋ฉีหลง รับบทเหลียงซันปว๋อ แค่ครั้งนั้น ผมก็ต้องเสียน้ำตาให้กับโศกนาฏกรรมแห่งความรักเรื่องนี้ไม่รู้กี่รอบ









วันนี้พอนั่งคิดขึ้นมาแล้วผมก็อยากที่จะเขียนเอาไว้ว่า ผมรักบทประพันธ์เรื่องนี้มากจริงๆ นะ








Autumn in Lund

ผ่านจากฤดูร้อนที่ดูยังไง๊ยังไงมันก็หนาว ตอนนี้ก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว


อากาศโดยทั่วไปในลุนด์ก็เย็นลงเรื่อยๆ แต่โดยทั่วไปก็ยังรับมือไหว นอกจากบางวันจริงๆ ที่ลมมันแรงจนสั่นเลยทีเดียว


ตอนนี้เดินไปไหนมาไหนในเมือง ต้นไม้ก็เริ่มเปลี่ยนสีบ้างเป็นสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง ไปทั้งเมือง ว่าไปก็สวยไปอีกแบบ แต่ถ้าเป็นบ้านเราตอนนี้ผมคงกำลังกุมขมับ เพราะว่าเทศกาลกวาดใบไม้กำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้าแล้ว




ตอนนี้ถามว่าผมปรับตัวได้หรือยัง ยังคิดถึงบ้านอยู่หรือเปล่า


แหมตอบไม่ยาก อยู่ที่ไหนก็ไม่สลายเท่าบ้านเรา แต่ทำไงได้ เราอุตส่าห์บินลัดฟ้ามากว่าหมื่นไมล์ หาใช่เพียงเพื่อรู้จักคำว่าคิดถึงบ้านเสียเมื่อไหร่ เอาเป็นว่าผมเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้เกือบดีแล้ว


ดีที่ธรรมดาตอนอยู่เมืองไทยผมชอบที่จะอยู่เงียบๆ คนเดียวตามเนื้อหาเพลงของพี่เบิร์ด มาที่นี่ผมกลับไม่เคยรู้สึกถึงความหมายของคำว่าเหงาเลยนะ จริงๆ


แต่ก็อย่างที่บอก เรามาที่นี่ เพื่อจุดมุ่งหมายสำคัญของเรา เรื่องอื่นมันก็แค่องค์ประกอบ อย่าคิดมาก เดี๋ยวเสียงานใหญ่


ว่าแต่เริ่มด้วยอากาศ ทำไมมันจบอย่างนี้อ่ะ...........




Chinese opera

When I was young I loved to watch plays and other kind of cultural dramas. Today I want to write my memories about “The Chinese opera”, so-called in Thai “NGIW”.


First of all, I want to tell you that I can not speak Chinese and I do not understand Chinese any more but why I love to see the Chinese opera and how can I understand the stories of those operas?


I was born in the Chinese family, which has moved from China for almost 90 years. When I was young, my house was located near the joss house (so-called Saan Jao in Thai).


Every year there was at least two festivals were set up at the joss house. At the festival, there was provided many kinds of activity, namely, pay respect to the gods, auction, and Chinese opera.


In my memory, I always go to watch the Chinese opera with my aunt, who was also my mother-in-law. Every evening she always comes to my house and takes me to the opera house. She and I always go there with some joss sticks for paying respect to the gods and we never forgot to take some fans with us because the weather was very hot.


At the opera house, she always translates every conversation in the story to me. Moreover, she always gives me other additional details about the story.



Until now, every time that I watch the Chinese opera, she always comes to my memory. And this is one of my memories that always clear when I close my eyes.



Finally, I want to say that..........it's almost 8 years of living without you. “I MISS YOU”…….. my aunt.
ตอนนี้ผมมีความรู้สึกอยากเขียนอะไรบางอย่างถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ เพื่อบอกถึงความรู้สึกที่มันอยู่ข้างในใจผมว่าผมรู้สึกอะไรตอนนี้กันแน่






ผมเคยคิดครับเสมอเลยว่า ชีวิตคนเรานั้นสักวันมันก็ต้องเดินทางไปถึงวันวันหนึ่งที่ผมมีความเชื่อว่ามันมีจุดหมายอยู่แล้วของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป หลายคนอาจเริ่มงงว่าผมคิดอะไรกันแน่






เอาอย่างนี้ครับ ผมจะอธิบายให้ฟัง






เคยไหมครับที่เราเฝ้าถามตัวเองว่าเราเป็นอะไร เรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วพรุ่งนี้มันจะเป็นอย่างไร

Friday 3 October 2008

Kofi Annan










เมื่อวานนี้เป็นวัน The Anna Lindh Lecture 2008 ซึ่งปีนี้ Dr. Kofi Annan จะมาปาฐกถาเรื่อง "Establishing a Culture of Prevention" ที่ Main Hall ของมหาวิทยาลัย ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่ผมจะมีโอกาสที่จะพบตัวนายโคฟี่ อันนัน เป็นๆ สักครั้ง และยังเป็นโอกาสที่จะได้เข้าไปนั่งใน Main Hall ที่เป็นที่ร่ำลือถึงความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง

การปาฐกถาจะมีขึ้นเวลา 18.30 แต่ด้วยความอยาก ผมมาต่อคิวตั้งแต่สี่โมงเย็น เพราะทางคณะแจ้งว่าไม่มีการสำรองที่ ใครมาก่อนก็ได้ไป แต่ตอนที่ผมไปถึงก็มีผู้คนมาเข้าคิวเป็นจำนวนมากแล้ว ผมยืนต่อคิวกระทั่งประตูเปิดราวๆ ห้าโมงครึ่งได้





คลื่นนักศึกษาและผู้ที่สนใจทั่วไปก็หลังไหลเข้าสู้อาคาร ผมต่อคิวเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งอีกแค่สามสี่คิว เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่าที่นั่งและที่ยืนเต็มแล้วให้ไปดูโปรเจคเตอร์ที่อาคารข้างๆ แทน ฮึ่มๆๆๆๆๆๆ


แต่ตอนนั้นกว่าผมจะฝ่าฝูงชนออกมาถึงอาคารข้างเคียง มันก็เต็มหมดแล้ว คาดว่าเข้าไปแล้วอาจเป็นเหน็บชาได้ทีเดียว เพราะคนเยอะมาก


ผมก็เลยตัดสินใจ ว่าโอเคไม่ฟังก็ได้เลยเดินออกมาด้านนอก ที่ไหนได้กลับป๊ะหน้ากะนายโคฟี่ อันนัน โดยบังเอิญ กำลังเดินมาบรรยายก็ไม่เห็นมีใครตาม หรือมาตั้งแถวรอต้อนรับ แหมมันช่างไม่เหมือนเมืองไทย แค่นายก อ.บ.ต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) มา ยังต้องเอานักเรียนในตำบลตั้งแถวต้อนรับเลย มาแต่ Professor Göran BexellVice-Chancellor of Lund University มายืนรอเท่านั้น แหมมาอยู่ตรงหน้าซักที ผมก็เลยอาศัยช่วงชุลมุนของช่างภาพ ควักกล้องมาจับได้นิดหน่อย เป็นช่างกล้องมือสมัครเล่น แต่แอบกันท่ามืออาชีพโดยยืนซะหน้าสุดเลยครับท่าน






เอาเป็นว่าอดเข้าร่วม อดฟัง แต่เจอตัวกันจะๆ ก็โอเค เดี๋ยวค่อยไปตามรางงาน Speech เอาทีหลังก็ได้




แต่กลับมาถึงเล่นเอาเมื่อยหลัง เมื่อยขาเอาการ