Thursday 28 May 2009

GO VIKING!

ขึ้นชื่อว่ามาเรียนถึงประเทศแถบชาวไวกิ้งทั้งที เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็เลยสบโอกาสไปทำตัวเป็นชาวไวกิ้งกับเขาเสียหน่อยครับ


ที่พิพิธภัณฑ์ไวกิ้ง หรือ Koggmuseet ที่มาลเมอเนี่ยะ แต่ละปีในช่วงสปริงถึงฤดูร้อนของทุกปี เขาจะจัดกิกรรมโดยการเอาเรือไวกิ้งโราณออกล่องในทะเลครับ ซึ่งปีๆ นึงก็จะมีการล่องประมาณ สิบกว่าวันเท่านั้น แถมล่องวันละเที่ยวเดียว เท่ากับปีละสิบกว่าเที่ยวเอง วันนี้ก็เลยเป็นเป้าหมายในการเดินทางมาทำตัวไวกิ้งสไตล์ของเด็กไทยในเมืองลุนด์ครับ


ออกเดินทางจากลุนด์ซีแต่เช้า เป้าหมายอยู่ที่มาลเมอซีครับ แต่วันนี้ตื่มมาท่าฟ้าฝนคงไม่ค่อยเป็นใจให้เด็กไทยไปนั่งเรือไวกิ้ง ด้วยเหตุว่าเป็นการนำเงินตราออกนอกประเทศโดยไม่จำเป็น เพราะที่เมืองไทยดรีมเวิล์ดก็มีไวกิ้ง





มาถึงที่ค็อกมิวเซียมได้สักพัก ก็เดินเล่นเราจึงเห็นเรือไว้กิ้งโบราณเทียบอยู่ที่ท่า ดังนั้นตอนนี้เราจึงมาสันนิษฐานกันว่า ไอ้ที่จอดอยู่มีสามอย่าง คือลำใหญ่ ลำเล็ก และแพ ตกลงวันนี้มันจะเอาเราลอยอันไหนอ่ะ


รอสักพักฟ้าเริ่มเปิดมากขึ้น ฝนเริ่มซาไป อากาศเริ่มเย็นและชื้น ไม่นานเจ้าหน้าที่ที่สวมชุดไวกิ้งก็มาเรียก และพาพวกเราไปขึ้นเรือลำใหญ่ครับ


จากด้านข้างพิพิธภัณฑ์ เรื่อไวกิ้งก็มุ่งหน้าออกจากฝั่ง เป้าหมายคือกลางทะเลครับ ไอ้ตอนเริ่ม ก็สนุกสนาร่าเริงเลยครับ โอ้วได้มาขึ้นไวกิ้งของจริงก็วันนี้ สักพักอากาศรอบข้างกลางทะเลเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ หน้าที่ทาครีมอย่างหนามาจากบ้านเริ่มประทะลมกลางทะเลจนตึงเหมือนเพิ่งเสร็จจากการศัลยกรรมดึงหนังหน้าไปเก็บหลังหู







อากาศเริ่มหนาวอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเลิก สักครู่ทุกคนเริ่มพ่นควันออกจากปาก หนาวจนเจ้าหน้าที่ต้องเริ่มเอาเสื้อหนาวมาแจกให้ผูโดยสาร เพราะมันหนาวจริงจัง อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว


จากอาการลั้นลาไม่มีที่สิ้นสุดของเด็กไทย สักพักนางแรกเริ่มนิ่ง เพราะวิงเวียน นางที่สองเริ่มนิ่งตาม และนาวที่สามตามมาติดๆ อาการเมาไวกิ้งเริ่มแสดงอาการ เพราะเหตุว่ามันโยกตลอดเวลา เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา โต้คลื่นหน้าหลัง ดุจดังวินเซิร์ฟวิ่งอยู่






ไอ้ตอนแรกก็กะว่ามันคงพาไปนั่งเรือชิวๆ กว่าชั่วโมงผ่านไปมันยังไม่มีทีม่าว่าจะหันหัวเรือกลับ กระทั่งเรือได้มาอยู่ใต้สะพาน Öresund ที่เชื่อมระหว่างเดนมาร์กกับสวีเดน งามมากครับ ถ้าไม่ได้นั่งเรือมา เราคงไม่มีโอกาสเห็นสะพานในระยะใกล้ และมุมมองอย่างนี้











ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เรือถึงจะเบนหัวกลับฝั่ง เอาเป็นว่ากว่าจะถึงฝั่ง เล่นเอาปวดน่อง เพราะต้องจิกเท้าตลอดเวลาเลยทีเดียว

Wednesday 20 May 2009

Cathedral in Spring season

วันนี้สบโอกาสดี เพราะเรียนเสร็จเร็ว เลยตัดสินใจเข้าไปเดินเล่นในเมือง










ลุนด์ตอนนี้อากาศสบายมาก ไม่หนาวมาก แต่ก็ไม่ได้ร้อน กังนั้นจึงเหมาะมากในการเดินชิวๆ เก็บบรรยากาศและภาพมาฝากครับ พอดีวันนี้เดินผ่านไปบริเวณโบลถ์ประจำเมืองน่ะครับ เห็นบรรยากาศแล้วอดใจไม่ได้ต้องถ่ายรูปมาฝากกัน








Tuesday 12 May 2009

Italy trip VI: Venezia

จากเวโรนา ผมนั่งรถไฟมาประมาณชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงเมืองเวนิซ หรือเวนิเซียครับ

เขาว่ากันว่ามีคลองเยอะ ถ้ามาต้องไปที่สะพานริอัลโต้ ไปนั่งกอนโดล่า พอมาถึงปั๊บการเดินทางก็เริ่มครับ


ที่สถานีรถไฟทีเวนิซนี่คนเยอะมาก มาออรอซื้อตั๋วรถไฟกันแน่นขนัด จนคิดภาพไม่ออกว่าวันรุ่งขึ้นสงสัยต้องรีบมาซื้อตั๋วรถไฟแต่เช้า เพื่อจะได้ไม่ตกรถไฟอีก เพราะวันรุ่งขึ้นนอกจากต้องกลับมิลานแล้ว ผมยังต้องกลับสวีเดนด้วย


จากสถานีรถไฟผมเดินตามทางเพื่อไปยังจุดหมายคือที่บ้านไทย ห้องที่ผมจะอาศัยพักในคืนนี้ หลังจากเข้าล้างหน้าล้างตา ก็เริ่มตระเวนเดินอย่างเดียวครับ แผนที่ก็ไม่มีเดินตามๆ กันไป เป้าหมายคือ Sant Marko ครับ

แต่ระหว่างทางก็แวะถ่ายภาพโน้นนี่ไปเรื่อยทั้งสะพาน Rialto, Grand Canal, Gondolas and Sant Marko












เดินมากว่าครึ่งชั่วโมงก็มาถึงซามมาโคร แต่กว่าจะมาถึงก็ปิดซะแล้วผมก็เลยไม่ได้เข้าไปดูข้างใน ก็เลยได้แต่เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ






วันแรกเดินอยู่จนค่ำ มีคนบอกว่ามาถึงเวนิซควรจะออกมาชมบรรยากาศยามค่ำคืนที่นี่ด้วย ดังนั้นหลังอาหารค่ำก็เลยมาเดินเล่นที่ลานหน้าซานมาร์โค่ ซึ่งเปลี่ยนสภาพเป็นร้ายนั่งดืมกิน และฟังดนตรีแสดงสดของหลายร้าน


บรรดาแขกของร้านต่างๆ ต่างพากันลุกขึ้นจูงมือคู่รักออกมาเต้นรำท่ามกลางแสงจันทร์มากมาย อยากบอกว่าโมแรนติก มั่กๆๆๆ


จนกระทั่งเที่ยงคืน ระฆังที่หอดังขึ้นบอกเวลาว่าค่ำคืนนี้จบลงแล้ว ผมถ่อสังขารกว่าจะกลับถึงห้องเกือบสี่สิบนาที มาถึงพอหัวถึงหมอนก็สลบลงยันเช้าเลย


เช้ารุ่งขึ้นผมรีบไปจองตั๋วรถไฟกลับแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัด จากนั้นก็นั่งเรือด่วนเวเนเซีย น้องชายของเรือด่วนเจ้้าพระยา เพื่อถ่ายภาพ ก่อนจะเดินหาซื้อของเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็เตรียมเก็บของ

รถไฟออกจากเวนิซตอนเที่ยงกว่าๆ กว่าสามชั่วโมงผมก็เดินทางมาถึงมิลาน แล้วก็ต่อรถจากสถานีรถไฟสนามบินมาลเปนซ่า นั่งเครื่องจากมาลเปนซ่า เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี มาลงที่โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก แล้วนั่งรถไฟต่อมาลุนด์ ประเทศสวีเดน แล้วเดินต่อเพื่อกลับห้อง สรุปผมถึงห้องตอนเวลา ห้าทุ่มครึ่ง สะระตะแล้วเดินทางทั้งสิ้น เกือบสิบเอ็ดชั่วโมง !!!!!!

...............................................................


ทริปอิตาลี่ ก็จบไปแล้ว ตอนนี้ผมก็กลับสู่ความเป็นจริงแล้ว รอเพียงว่าอีกไม่นานคงจะได้เดินทางอีกเป็นแน่ อย่างน้อยก็คือการเดินทางกลับประเทศไทยในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้

Italy trip V: Verona

"ไม่มีโลกหล้าใดที่ปราศจากป้อมปราการแห่งเวโรนา, แม้แต่ความทรมาน และขุมนรก.... ดังนั้น การถูกเนรเทศก็เสมือนดั่งการถูกขับออกจากโลกแห่งนี้ี้ และการถูกขับออกไปเพื่อพรากจากโลกแห่งนี้เพียงทางเดียวก็คือ ความตาย...."

(Shakespeare, "Romeo and Juliet", Atto III, Scena III)




หากจะกล่าวถึงวิลเลี่ยม เช็กสเปียร์ แล้ว หลายคนคงนึกถึงวรรณกรรมอันเลื่องชื่อของเขาก็คือ โรมิโอแอนด์จูเลี่ยต และเรื่องราวความรักของโรมิโอและจูเลี่ยตนี้ก็จบลง ณ เมืองแห่งนี้ เมืองแห่งความรัก......เวโรนา


.........................................................................


ดังนั้นเมื่อมาถึงอิตาลีแล้ว ผมจึงไม่พลาดที่จะเดินทางไปยังเมืองเวโรนา เพื่อซึมซับบรรยากาศของเมืองแห่งโรมิโอและจูเลียต ที่เมืองเวโรนานี้อาคารและสถาปัตยกรรมของเมือง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมจาก UNESCO ตั้งแต่ปี 2000




หลังจากเมื่อคืนนี้ผมใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมงในการเดินทางกลับมายังมิลาน เลยทำให้หลับเป็นตาย แต่อย่างไรก็ดี วันนี้ผมก็ต้องตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อที่จะเดินทางไปยังเวโรนา ซึ่งต้องนั่งรถไฟออกจากมิลานไปประมาณ 2 ชั่วโมง


หลังจากนั่งรถไฟจากมิลานมาสองชั่วโมง ผมก็มาถึงสถานีรถไฟที่เมืองเวโรนาครับ จากสถานีรถไฟหลังจากได้แผนที่เมืองมาก็รีบเร่งเดินเท้าเข้าเมืองอย่างเร็วรี่


เดินตามสายถนนหลักสักพักก็เข้ามาถึงเมืองครับ จะเจอกับซุ้มประตูเมืองโบราณและ ถัดมาก็จะพบกับรูปหล่อของวิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ พร้อมคำจารึกซึ่งเป็นบทประพันธ์จากเรื่องโรมิโอแอนด์จูเลียต







สถานที่แรกที่ผมได้เข้าไปเยี่ยมก็คือ Verona Arena ซึ่งมีลักษณะเหมือน โคเลเซี่ยมในกรุงโรม ที่มีไว้สหรับการต่อสู้แบบ Gradiators ซึ่งที่เวโรนานี้ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ครับ







หลังจากชมอารีนาแล้ว อาหารมื้กลางวันก็มาถึง เนื่องจากวันนี้ที่เวโรนามีเทศกาลอาหารพอดี เลยไม่พลาดที่จะชิมอาหารของอิตาลี่ มื้อกลางวันนี้เลยฝากท้องไว้กับ Risotto ครับผัดกับหน่อไม้้ฝรั่ง กินแล้วรสชาติมันอิตาเลี้ยน อิตาเลี่ยนๆๆๆ






พอท้องอิ่ม ก็เป็นการเดินทางไปยังเป้าหมายหลักของทุกคนที่เดินทางมาที่เมืองเวโรนาแห่งนี้ นั่นก็คือการเดินทางไปยังบ้านในตำนานรักของโรมิโอและจูเลี่ยต คือที่บ้านของจูเลียต วิธีเดินทางไปยังบ้านของจูเลียตที่ง่ายที่สุดคือการปิดแผนที่ แล้วเดินไปตามฝูงชน เขาจะนำคุณไปยังบ้านของจูเลียตอย่างแน่นอน

เดินตามมาสักพักก็จะพบป้ายหน้าบ้านว่า Casa di Glulietta พร้อมกับมือรอยปากกาที่เขียนตลอดทางเพื่อขอให้สมหวังในความรัก (เอ....แต่ตามบทประพันธ์ ความรักนี้มันไม่สมหวังนี่นา ????)







ภายในด้านใน บ้านยังมีรูปหล่อทองเหลืองของจูเลียต ที่ทุกคนที่มาต้องไปถ่ายภาพและเอามือสัมผัสหน้าอกจูเลียต เพื่อให้สมหวังในความรัก ซึ่งผมก็ไม่พลาด อิอิ

จากภาพเราจะเห็นระเบียง หรือ Balcony ที่ตามบทประพันธ์คือสถานที่ที่โรมิโอบอกรักจูเลียตในคืนนั้น




ภายในบ้านปัจจุบันจัดเป็นพิพธภัณฑ์ เพื่อให้สอดคล้องไปตามบทประพันธ์ บางคนอาจคิดว่าสถานที่นี้เป็นเพียงการสร้างหรือจำลองขึ้นมาตามบทประพันธ์ แต่อย่างไรก็ดี ผมกลับเห็นว่าที่แห่งนี้มันมีมนต์ขลังแห่งความรัก ลอยตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ผมสามารถสัมผัสได้จากนักท่องเที่ยว ณ ที่แห่งนี้ ทุกคนยิ้มแย้ม สดใส


และที่สำคัญคู่รักจำนวนมากต่างเดินทางมาที่นี่ เพียงเพื่อวัตถุประสงค์เดียว คือการสัมผัสอานุภาพแห่งความรักของทั้งคู่ นั่นเอง

Italy trip IV: Pisa

จากฟิเรนเซ่ มายังปิซ่าเนี่ยะต้องอาศัยรถไฟหวานเย็น Trenitalia ครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม ถึง 1 ชม 20 นาที แล้วแต่ขบวน ค่าโดยสารก็ประมาณ 5.6 euro ครับ


ด้วยเหตุที่ผมไปติดอยู่บนยอดโดมของดูโอโม่ ดังนั้นจึงตกรถไฟไปซะ ทีนี้เที่ยวต่อไปก็มีเววลาอีกประมาณเกือบชั่วโมงครับ หลังจากไปดูเดวิด แลพเดวิดน้อยแล้ว ก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟครับ ไม่ไปไหนแระ เหนื่อยมากแล้ว เพราะการขึ้นดูโอโม่ที่นี่มันทั้งสูงทั้งชัน


รถไฟออกจากฟิเรนเซ่ ประมาณ 4.40 น. แล่นอย่างหวานเย็นสุดๆ กว่าจะถึงปิซ่าก็เกือบหกโมงเย็น!!!!!!


ความวิบัติมาเยือนอีกแล้วครับ
  1. ปิซ่าปิดทุ่มนึง
  2. จะไปอย่างไร ยังไม่มีข้อมูล
  3. รถไฟกลับมิลานออกจากปิซ่าทุ่ม หกนาที

การทำงานท่องเที่ยวเชิงกายภาพจึงเริ่มขึ้น ไม่ใช้ทัวร์ชะโงก ไม่ใช่ทัวร์ฉี่ แต่มันคือทัวร์หายใจ แบบว่าไปถึงแค่หายใจฝากลมไว้หน่อยก็กลับแระ


หาข้อมูลจากผู้คนแถวนั้นสักพัก ก็ทราบว่าจะไปดูหอเอนเนี่ยะ ต้องขึ้นรถเมล์ที่เขียนว่า Lam Rossa จากหน้าสถานีรถไฟไปซักสี่ห้าป้ายครับ ค่ารถคนละ 1.5 euro


นั่งรถมาสักพัก ผมก็มาถึงที่หมายแล้วครับ หอเอนเมืองปิซ่า........ก็เป็นกลุ่มอาคารสี่หลังครับ หอเอนอยู่หลังสุดท้าย








จากข้อมูลที่หามาทราบว่าก่อนนี้หอเอนถูกระงับไม่ให้ขึ้น เพราะว่ามันเอนไปเรื่อยๆ จนเขากลัวมันจะถล่มสักวัน ได้มีการค้นหาวิธีที่จะทำให้หอเอนมันเอนกลับ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งราวๆ ปี 2001 ก็ได้มีการค้นพบวิธีใหม่คือการขุดดินฝั่งตรงข้าม แล้วก็สามารถกู้หอเอนให้เอนกลับมาได้ราว 16 นิ้ว และเป็นเครื่องยืนยันว่าหอเอนจะตั้งอย่างนี้ไปอีกอย่างน้อย 300 ปีครับ ตอนนี้จึงอนุญาตให้คนขึนหอเอนได้แล้ว แต่ผมไม่มีเวลา และขาก็ยังยืนสั่นอยู่เลย เป็นผลมาจากดูโอโม่ที่ฟิเรนเซ่ ก็เลยขอบายครับ ขอชักภาพเป็นหลัก







และจากที่ทราบผมต้องทำงานแข่งกับเวลา ดังนั้นมาถึงแล้วก็ถ่ายๆๆๆๆๆๆ และไม่ลืมท่าโพสบังคับของหอเอนแห่งเมืองปิซ่าครับ






สักพัก ก็กลับออกมา และนั่งรถกลับมาสถานีรถไฟ เพื่อมารอขึ้นรถหวานเย็นอ้อมกลับไปยังมิลาน ซึ่งประมาณ 23.20 น. ผมก็กลับถึงมิลานด้วยสภาพที่ง่อยเปลี้ยเสียขาเลย ต้องรีบกลับไปนอนเอาแรงก่อนที่รุ่งขึ้นจะต้องไป เมืองเวโรนา และเวเนเซีย (เวนิซ) ในเช้าวันรุ่งขึ้น


แวะชมภาพปิซ่าได้ ที่นี่ครับ

Italy trip III: Firenze

วันที่สองของการเดินทาง วันนี้น่าจะเป็นวันที่โปรแกรมมันแน่นเอี้ยดเลย เพราะว่าผมวางแผนว่าจะไปที่เมืองฟลอเรนซ์ และปิซ่า ในวันเดียวเลย ซึ่งการเดินทางก็ต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกัน


วันนี้ตั้งใจว่าจะออกตั้งแต่เช้า แต่ด้วยความที่ไม่ได้จองตั๋วรถไฟจากมิลานไปฟลอเรนซ์ ไว้ก่อน ก็เลยพลาด เพราะตั๋วรถไปชั้นสองขบวนที่ผมจะนั่งไปมันเต็ม ดังนั้นมันเหลือแต่ชั้นหนึ่งซึ่งราคาสูงลิบลิ่ว ดังนั้นเลยขอบายครับ ยอมที่จะออกช้ากว่าเดิมไปชั่วโมงนึง แล้วไปขยับๆ ตารางที่แสนแน่นเอาเอง แถมจองตั๋วรถไฟหวานเย็นจากปิซ่ากลับมามิลานไว้ตอนทุ่มสิบนาที ไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาอีกตอนกลับเพื่อเข้าคิวซื้อตั๋ว


ผมนั่งรถไฟยูโรสตาร์ออกจากมิลาโน ไปยังฟิเลนเซ่ ใช้เวลานานพอสมควรเกือบสามชั่วโมง ไปถึงก็รีบเดินไปจองตั๋วรถไฟทันทีเพื่อไปยังปิซ่า เพราะกลัวมันเต็มอีกน่ะ แล้วที่สำคัญคิวซื้อตั๋วมันยาวมากกกกก


หลังจากจองตั๋วรถไฟกะว่าจะออกจากฟิเรนเซ่ ไปปิซ่าตอนเกือบสี่โมงเย็น เพราะฤดูนี้กว่าปิซ่าจะปิดก็ทุ่มนึง ดังนั้นมีเวลามากมาย


การเดินเที่ยวในฟิเรนเซ่ มีหลายที่ที่ตั้งใจว่าจะไป แต่ด้วยเวลาที่จำกัดผมต้องลดเหลือเพียงสองที่หลักๆ นั่นก็คือการไปดูดูโอโม่ ของเมืองฟิเราเซ่ และการไปดูเดวิด ที่เขาว่าเป็นชายหนุ่มที่หล่อที่สุดในโลก


จากสถานีรถไฟเดินปุเรงๆๆ มาสักพักก็มาถึงหน้าดูโอโม่กลางเมืองฟิเรนเซ่ ดูโอโม่ที่นี่เป็นดูโอโม่ที่สร้างโดยการก่ออิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผู้คนนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าคิวรอกันเพื่อเข้าชมความงามของดูโอโม่แห่งนี้







การเข้าชมภายในไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ สามารถเข้าชมได้จนถึงห้าโมงเย็น ภายในโบสถ์ต้องไปชมภาพเขียนที่ด้านในโดมของโบสถ์ครับ เป็นภาพเขียนที่สวยแถมยังเป็นสามมิติอีกด้วย อลังการดีครับ







จากนั้นเมื่อเดินชมความงานภายในตัวโสถ์แล้ว ผมก็ตัดสินใจที่จะปีนยอดดูโอโม่อีกครั้งครับ แ่ต่คราวนี้ไม่ใช่หลังคา แต่เป็นยอดโดมครับ ค่าเข้าเพื่อปีนขึ้นไปคนละ 8 ยูโร แถมไม่มีลิฟท์ ทางเดินก็แคบ เป็นบันไดวน บางช่วงต้องรอหลีกทางกันเพื่อให้สามารถเดินทางสวนกันได้ เพราะบางช่วงน่ะทางขึ้นลงใช้ทางเดียวกัน



ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงทั้งต่อแถวเข้าคิวเพื่อขึ้นดูโอโม่ การเดินขึ้นแล้สวนกันเพื่อขึ้นด้านบน ผมก็โผล่ออกมาที่ยอดดูโอโม่ ที่ยอดโดมครับ ที่จุดนี้เราสามารถเห็นทัศนียภาพของเมืองฟิเรนเซ่ได้าุดลูกหูลูกตาครับ ก็ถือว่าคุ่มค่าที่ถ่อสังขารขึ้นมา






แต่ปัญหายังไม่จบ เพราะเมื่อดูเสร็จต้องลงอีก ทีนี้รอแล้วรอเล่าไม่สามารถลงได้เสียทีเพราะคนเดินเป็นสายขึ้นมาตลอด เวลาก็ใกล้กไหนดเวลารถไฟออกแล้ว ผมยังอยู่บนโดมอยู่เลย แถมยังไม่เจอหน้าเดวิดอีก



สรุปแล้วกว่าจะลงมาถึงพื้นได้รถไฟไปปิซ่าของผมก็ออกจากชานชลาไปแล้ว...... ต้องรออีกเกือบชั่วโมงสำหรับขบวนต่อไป



จากนั้นผมจึงรีบเร่งไปยัง Galleria dell' Accademia เพื่อเข้าชมเดวิดครับ รูปแกะสลักหินอ่อนอันเลื่องชื่อของศิลปินคนสำคัญของโลก ไมเคิล แองเจโล เสียค่าเข้าไปชมซะ 6.5 ยูโร เพื่อชมหลักๆ เพียงเดวิดอ่ะ แต่เมื่อมาถึงแล้วก็เอาซะหน่อย แถมไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปอีก ไอ้เราก็เลยต้องเก็บเดวิดด้วยสายตาอย่างเดียว ฮาๆๆๆ แถมทางเดินไปก็ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าที่นี่มีเดวิดอยู่ เป็นอาคารทางเข้าเล็กๆ เท่านั้นน่ะ






ไอ้ก่อนมาเราก็ก็เคยเห็นผ่านตามาบ้านน่ะ เรื่องราวอีตาเดวิดเนี่ยะ แต่พอมาเห็นของจริง เออมันก็สวยจริงแหละ ดูอลังการจริง ตัวใหญ่อ่ะ 555




แวะไปดูรูปฟิเรนเซ่กันได้ ที่นี่




Italy trip II: Milano

วันแรกของการเดินทางเริ่มขึ้นด้วยการแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพื่อออกเดินทางจากที่พัีกในลุนด์ ไปยังสนามบินโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งก็เป็นปกติแล้วในการเดินทางมาอยู่ที่นี่ การเดินทางไปยังเดนมาร์กเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดวิสัยอะไรมาก แต่ต้องออกแต่เช้านี่แหละปัญหา เพราะรถบัสก็ยังไม่มี ต้องอาศัยสองเท้าเดินไปยังสถานีรถไป พร้อมสัมภาระคือ กระเป๋าใบใหญ่อีกสองใบ

เช้านี้ผมต้องขึ้นรถไปขบวน ออกจากที่ลุนด์ประมาณ ตีห้าสี่สิบ ดังนั้นต้องออกจากที่พักตั้งแต่ตีห้าสิบห้า ดีนะที่ตอนนี้เข้าใบไม่ร่วงแล้ว ตีห้านิดๆ พระอาทิตย์ก็อยากจะแยงเเสงแล้ว การเดินออกจากบ้านตอนตีห้า เลยไม่ลำบากมากเท่ากับการเดินไปเรียนตอนแปดโมงเช้าในฤดูหนาว

ถึงสนามบินแล้วก็จัดแจงเช็คอินเองกับเครื่อง และค่อยนำเอากระเป๋าไปโหลด แต่อย่างที่บอกที่แถบนี้เขาเชื่อมั่นในระบบ ดังนั้นเราต้องเช็คอินเอง แล้วถึงเอาสัมภาระไปโหลดกับพนักงานเท่านั้น (เฉพาะสายการบินสแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ SAS)

ด้วย ความที่ต้องรอเกือบชั่วโมงครึ่ง ความหิวเริ่มมาเยือน แต่ไม่สามารถครับ เพราะเงินเดนก็ไม่ได้พกมา ต้องยอมกินน้ำประทังไปเพื่อให้ถึงมิลานแล้วค่อยว่ากัน


เครื่อง บินออกจากโคเปน ใช้เวลาประมาณ 2.15 ชม ก็เดินทางมาถึงสนามบินมาลเปนซา เมื่องมิลาน ประเทศอิตาลี่ ซึ่งสนามบินวันนี้คนโล่งมาก แต่เพิ่งรู้ว่าการถือพาสปอร์ตเชงเก้น มันสบายอย่างนี้ เข้าออกประเทศในยุโรปง่ายและสบายมากๆ


จากสนามบินให้เวลาประมาณชั่วโมงนึงกับการนั่งบัสเข้ามายัง Milano Centrale หรือบ้านเราก็คือห้วลำโพงนั่นเอง เพื่อเดินทางไปยังที่พักต่อครับ มาถึงตอนนี้ก็เริ่มหอบแล้ว เพราะอากาศมันร้อนมาก ร้อนที่สุดในรอบสิบเดือนที่ผ่านมา สิบเดือน ก็เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่เหงื่อออกประหนึ่งไปเต้นแอโรบิค


ต่อมาก็แผนที่เท่านั้นที่เราต้องการ เดินจากสถานีรถไฟไปยังที่พักไม่ไกลเท่าไหร่ เพราะเลือกเอาไว้ใกล้ๆ น่ะขี้เกียจเดิน แล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องมานั่งรถไฟอีก ดังนั้นวิธีนี้คงเซฟเวลาได้เยอะทีเดียว


ห้องพักคืนแรกนี้ขอแบบหรูนิดนึง ก็เลยไปพักโรงแรมครับ ชื่อว่า Hotel Delle Nazioni Milano เลือกแล้วก็ก็ยังดันเราหรูแพงระยิบซะ 46 ยูโร 555+++


จากโรงแรมเป้าหมายแรกครับคือการไปดูโบสถ์ของเมืองมิลาน หรือที่เขาเรียกว่า Milano Duomo จาก Centrale นั่งรถไฟใต้ดินสายสีเหลือง เบอร์ 3 ไปประมาณ 4 ป้ายก็ถึง


เกือบบ่ายโมงก็โผล่จากใต้ดินขึ้นมาเจอ ดูโอโม่หินอ่อน ครับ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดูโอโม่ที่นี่ใหญ่เป็นอันดับสามของยุโรป ครับใหญ่มาก เพราะสองอันดับแรกยังไม่เคยไป ดังนั้นตอนนี้ที่มิลานใหญ่สุด









จากนั้นเมื่อเราเดินออกมาด้านเปียซ่า หรือลานหน้าดูโอโม่ เราก็จะกลายเป็นคนที่ป็อบปูล่าทันใด เพราะจะมีบรรดาชาวผิวสีเข้ามาตีสนิท เพื่อขายเชือกผูกข้อมมือให้ คาดว่าคงหลายบาทอยู่ ดังนั้นวิธีเดียวคือทำหน้าบึ้ง มือถุมกระเป๋าตังค์ ตั้งหน้าตั้งตาเดิน ไม่ต้องสนใจครับ (เชอะเชือกแบบนี้แถวสำเพ็งเยอะแยะ ไม่ต้องถ่อสังขารมาสรรหาถึงมิลานหรอก)


ภายในโบสถ์ก็สวยมากครับ กระจกสีเต็มผนัง โอ่โถงมาก แต่ไฮไลท์ของการมาที่โบสถ์ ไม่ได้อยู่ที่ในโบสถ์ครับ แต่มันอยู่ที่หลังคาโบสถ์ ที่เราต้องไม่พลาดที่จะขึ้นไป


ผมตัดสินใจเดินขึ้นหลังคาโบสถ์แทนการขึ้นลิฟท์ เพราะเสียเงินค่าขึ้นเพียง 5 ยูโร ถูกว่าลิฟท์ ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มอีก 3 ยูโร


การ ไต่บันไดขึ้นหลังคาดูโอโม่ ก็ดูไม่ค่อยยากลำบากมากนัก แต่การต้องมาไต่ภายใต้อากาศที่ร้อนอบอ้าวเนี่ยะ ทำเอาหน้ามืดได้เลย ใช้เวลากว่าสิบนาที ผมก็ขึ้นมาอยู่ที่ชั้นแรกของหลังคา อลังการงานสร้างมาก เพราะยอดของดูโอโม มียอกหลายยอด แต่ละยอดสลักอย่างสวยงาม จากนั้นก็ไต่ขึ้นไปเพื่อให้ถึงบนยอดหลังคา แล้วก็ชักภาพครับ ในภาพดูดีมาก แต่จริงๆ ร้อนตับแลบ












คนอื่นมันคงเห็นว่าประสาทดี ร้อนจะตายตั้งกล้องถ่ายรูปตัวเองแอ็คท่าอยู่นั่น มากมายจริงๆ


แต่เอาจริงๆ ดูไปดูมา เหมือนไปถ่ายรูปที่วัดร่องขุ่น เชียงรายเลย



รอบ่ายสักนิดก็ลงมาเพื่อกลับที่พัก เพราะร้อนมากอยากอาบน้ำ เหนียวตัวไปหมด เฮ้อออ....



แต่ขากลับก็ไม่ลืมที่จะเดินที่ถนนแฟชั่นแบรนด์เนม เอ็มมานูเอลสักนิด แต่ซื้อของไม่ลงเพราะแพงมาก แต่ขึ้นชื่อมาว่าทั้งทีก็เลยใช้เงินนิดเกียวกับการกินไอศกรีมครับ อร่อยม๊ากกก


ปล ตามไปดูรูปมิลานกันได้ ที่นี่

Italy trip I: from Milano to Venezia

กลับมาแล้วครับจากทริปอิตาลี่

บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยมั่กๆ แถบกลับมาเป็นไข้ได้อีก ไม่รู้ว่าไข้หวัดหมูหรือเปล่า

จะว่าไปทริปนี้เป็นทริปแรกในยุโรปของผมที่ต้องเดินทางไกลคนเดียวก็ว่าได้ ถ้าไม่นับการเดินทางมาเรียนที่สวีเดนนะ เพราะนี่ก็ปาเข้าไปจะปีอยู่แล้วยังไม่สบโอกาสเดินทางไปไหนเลย ครั้งนี้ก็เลยต้องเอาเสียหน่อย แม้ว่าเวลาจะไม่มาก แต่ก็เบียดโปรแกรมเต็มที่ประหนึ่งมีเวลาเป็นอาทิตย์









การเดินทางครั้งนี้ประหนึ่งเดินทางไปเก็บมรดกโลกของอิตาลี่เลย ทั้งเมืองฟลอเรนซ์ เวโรนา ปิซ่า และเวนิซ สี่มรดกโลกในสี่วัน

ทริปนี้วางแผนการไว้ด้วยการนั่งเครื่องบินจากโคเปนเฮเกน ประเทศเดินมาร์ก ไปยังสนามบิน Malpensa, Milano, Italy จากนั้นก็นั้งบัสเข้าสู่ Milan แวะไปชม Milano Duomo และปีไปบนหลังคา วันต่อมานั่งรถไฟไปยังฟลอเรนซ์ เพื่อไปดู Duomoและปีนโดมของดูโอโม่่ที่นี่ ก่อนจะไปชม David บุรษที่เขาว่ากันว่าหล่อที่สุดในโลก แล้วก็นั่งรถไฟต่อไปเมือง Pisa เพื่อชมหอเอน สิ่งมหัศจรรย์ของโลก วันต่อมาก็ไปยังเมือง Verona เมืองแห่งโรมิโอจูเลียต ไปเยี่ยมบ้านจูเลียต ก่อนที่จะนั่งรถไปต่อไปยัง Venice และค้างคืนที่เวนิซ ก่อนกลับมามิลานและเดินทางกลับมายังสวีเดน ดูโปรแกรมแล้วเป็นไปได้ยากมากสำหรับเวลา สี่วัน แต่มันก็สำเร็จ













...............................................

Thursday 7 May 2009

Academy Fantasia

การมาอยู่ที่ประเทศสวีเดนนี้ ผมยังความฝันอีกหนึ่งอย่างคือ "การมีจักรยาน" เป็นของตัวเอง ดังนั้นปฏิบัติการล่าฝันจึงเริ่มขึ้น..................... (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและรับรู้)


การครอบครองจักรยานที่ลุนด์มีกันได้หลายวิธีครับ

วิธีแรก ง่ายที่สุด คือการซื้อไง ไม่ว่าจะซื้อใหม่ถอดด้ามประกอบเองกับมือ หรือจะซื้อต่อมือสอง มือสาม สี่ ห้า ก็แล้วแต่ ซึ่งราคาหลากหลายไปตามรุ่นและสภาพ


วิธีที่สอง รับมรดกมา จากรุ่นก่อนๆ ที่มีให้ตกทอดเป็นมรดกจากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มาเรียนที่นี่แล้วจรลีกลับบ้านไปก่อน อาจจะเป็นมรดกที่ได้มาเปล่า ๆ หรือ ไม่อาจต้องอาศัยเงินตราแลกมาสักนิด


วิธีที่สาม ขโมยเอา ฮ่าๆๆๆ เอาจริงๆ นะ เพราะที่นี่ตามหอพักนักศึกษาจะมีจักรยานเก่าที่คนทิ้งไว้เยอะ แล้วทุกภาคการศึกษาเขาจะมีการโละทิ้ง ดังนั้นเมื่อถึงช่วงเวลานี้ ทางหอพักจะนำสติ๊กเกอร์มาแปะไว้ที่จักรยานทุกคัน คันไหนมีเจ้าของก็เอาสติกเกอร์ออก คันไหนไม่มีเจ้าของ รอจนถึงกำหนดยังมีสติ๊กเกอร์ เขาก็จะโละทิ้ง


ว่าแล้วเวลานี้คือช่วงเวลาไพรม์ไทม์ ในการปฏิบัติการล่าฝัน TRUE Academy Fantasia.......


เมื่อวานนี้สมัครพรรคพวกได้ทั้งสิ้น 5 คน พร้อมเครื่องมือครบถ้วยทั้งเลื่อย ประแจเลื่อน ไขควง ฯลฯ ปฏิบัติการเริ่มขึ้นด้วยการเดินสำรวจจักรยานที่มีสติ๊กเกอร์สีเหลืองแปะอยู่ (ที่เป็นเมื่อวานเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้จักรยานที่ไม่มีเจ้าของจะถูกโละแล้ว เราเลยต้องรีบเริ่ม)

จากสภาพจักรยานแล้ว เรารวบรวมจักรยานได้ทั้งสิ้น 12 คัน แต่สภาพแตกต่างกันออกไป จากนั้นก็ต้องค่อยๆ ลำเลียงจักรยานลงไปใช้ใต้ดินในห้องเก็บของเพื่อดำเนินปฏิบัติการต่อ คือการเลื่อยที่ล็อคออก








แต่สำหรับบางคันนั้นที่ล็อคมันยากเกินกว่าจะเลื่อยออกได้โดยเฉพาะที่ล็อคในภาพ









เมื่อเอาล็อคออกไม่ได้ การปฏิบัติการแยกธาตุจึงเกิดขึ้น ทั้งซ่อมและการแยกชิ้นส่วน เบาะไหนดี แฮนด์ไหนดี ล้อไหนดี ตะกร้า เบรค ฯลฯ ถอดๆๆๆๆๆๆ ประกอบๆๆๆๆๆ







เสร็จสิ้นภารกิน พวกเราสามารถรวบรวมและประกอบธาตุจักรยานออกมาได้จำนวน 4 คัน พร้อมกับสภาพชิ้นส่วนจักรยานที่เหลืออีกหนึ่งกอง ที่ดูจากสภาพแล้วยากที่จะใช้การได้จริงๆๆ








จากนั้นรอฟ้ามืด จักรยานที่ประกอบเสร็จก็ถูกลำเลียงออกมาภายนอก พร้อมทั้งซากจักรยานที่เหลือเพื่อเอาไปทิ้ง

ทั้งหมดนี้คือปฏิบัติการล่าฝันของผมเมื่อวานนี้

Sunday 3 May 2009

D-Day

เผลอแป๊บๆ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ก็ใกล้จบปีการศึกษาแรกของผม ในการมาเรียนที่ประเทศสวีเดนแล้วครับ จากเดินที่มีความรู้สึกว่าเวลาที่นี่เดินไปช้ามากมาย อีกนานกว่าจะได้มีโอกาสกลับไปประเทศไทย

พอผ่านมาถึงวันนี้อีกเดือนกว่าผมก็จะได้กลับประเทศไทยแล้ว

มาจนถึงเวลานี้ผมก็ยังคิดว่าประเทศไทยสบายสุดแล้ว แม้ว่าอากาศจะร้อน ทำให้เราหงุกหงิดพาลไปได้เรื่อยๆ แต่ไม่มีที่ไหนที่จะให้ความสุขใจ อุ่นใจเท่าที่บ้านเราหรอกครับ

การจากมาก็เพื่อการแสวงหาความรู้เท่านั้น

.................................


ส่วนเรื่องการเดินทางหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในต่างแดน กลับไม่เป็นไปตามหวังเลย อยู่มาจะจบปีแล้วก็ยังไม่ได้ไปไหนไกลเลย ทั้งนั้คงด้วยเพราะตาราวเรียนที่เรียนไม่มีวันหยุด แถมยังมีงานกลุ่มให้ทำกันทุกอาทิตย์ ไม่เว้นแต่วันหยุดยาวๆ อย่างปีใหม่ หรืออีสเตอร์

ผมจึงได้แต่เที่ยวใกล้ๆ ไปวันๆ เท่านั้น

แต่โอกาสเริ่มอำนวยแล้วครับ เพราะถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงวันศุกร์นี้ผมคงได้บินไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในประเทศอิตาลี วางแผนไว้ว่าจะไปมิลาน ฟลอเรนซ์ ปิซ่า เวโรนา และเวนิซ

เอาเป็นว่าหากกลับมาแล้วคงมีเรื่องราวดีๆ มาเล่าให้ฟังกันอีกหน่ะครับ

.............................


แต่ตอนนี้ไปแล้ว พรุ่งนี้สอบ ยังไม่พร้อมเลย เฮ้อ!!!

9/11 Disaster

กว่า 7 ปีแล้วที่เหตุการณ์วินาศกรรมอาคารแฝด World Trade ของอเมริกาเกิดขึ้น (since 11th September 2001) หลายครั้งอาจเคยมีข้อสงสัยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันนี้ผมเอายูทูปเกี่ยวกับผลการวิจัย สัมมนาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะสาเหตุของสหรัฐอเมริกา ที่รวบรวมเอานักวิชาการในหลายสาขาอาชีพ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในทุกด้านที่เกี่ยวข้องมาร่วมวิเคราะห์กันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ


ลองมาดูกันในมุมมองใหม่ๆ บ้างเหตุการณที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นอย่างที่เราคิดจริงหรือ?


ก็อย่าลืมใช้วิจารณญาณในการรับชม และรับฟังด้วยนะครับ ทั้งหมดมีอยู่ 4 ตอนนะครับ