Friday 26 September 2008

Meet an ambassador

พอดีว่าวันนี้ผมอารมณ์ดีเป็นพิเศษน่ะ เนื่องจากวันนี้ท่านทูตไทยประจำประเทศสวีเดน เดินทางจากกรุงสต็อกโฮล์มมาที่ลุนด์ แล้วท่านประสงค์ที่จะพบบรรดาเด็กนักศึกษาไทยที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยลุนด์ บรรดาเด็กไทยก็เลยนัดรวมตัวกันวันนี้


ตอนแรกก็กะว่าจะไม่มาดีมั๊ย แต่เจอว่านัดพบที่ตึก Raoul Wallenberg Institute ผมก็ต้องรีบตกลงทันที เพราะเป็นผู้ให้ทุนผมเรียน ถ้าไม่มาเกิด Director ของสถาบัน refer ถึงผมละก้อ ตายๆๆๆ


วันนี้ท่านทูตอภิชาติ ชินวรรโณ นัดพวกเราตอนเวลา สี่โมงครึ่ง คุยสารทุกข์สุกดิบของการมาใช้ชีวิตที่นี่ ให้ความเป็นกันเองมาก แถมยังพานักศึกษาไทยทั้งโขยงเกือบยี่สิบชีวิต ไปกินข้าว (อาหารไทย) อีก อิ่มจนจุกอก


จากนั้นท่านทูตต้องไปร่วมงาน The International Puppet Theatre Festival in Lund พวกเราก็เลยตามกันไปกะว่าอย่างน้อยเข้าราคานักศึกษาก็ได้ ไปดูการเชิดหนังใหญ่ซะหน่อย แต่ที่ไหนได้ท่านทูตกลับพาพวกเราเข้าฟรี แถมไปนั่งกับท่านที่นั่งวีไอพี หน้าสุดเลย







เป็นการดูการเชิดหนังใหญ่จากเมืองไทย อลังการมาก ชอบๆๆ ตามไปดูรูปกันได้นะที่ http://kitmarc.multiply.com/



วันนี้ก็เลยได้เป็นแขกวีไอพีไป สบายเลย

Kaw Jee i Folkuniversitetet: Swedish Course

วันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้มีโอกาสเข้าเรียนคอร์สภาษาสวีดิชครับ


หลักสูตรที่ผมเรียนนี้อเป็นภาษาสวีดิช Beginner สำหรับคนต่างชาติ ที่ FolkUniversity ใกล้ๆ กะคณะแหละ ที่เรียนที่นี่ก็เพราะว่าได้ทุนเรียนฟรีไง


ภาษาสวีดิชเนี่ยะมันออกเสียงยากจริงๆ แต่หลังจากการเข้าเรียนแล้วผมพยายามรวบรวมจากที่ฟังมาในห้อง ผมว่าเสียงมันจะเป็น loop ดังค่อยๆๆ ต่อกันไป เป็นจังหวะ คือเป็นบัพกะปฏิบัพ ไปเรื่อยๆ (แอบงงมั๊ย)


ผมจะยกตัวอย่างการอ่านแบบสวีดิช ให้ฟัง เช่นประโยคว่า "วันนี้ไปเรียนภาษาสวีดิชมา" อ่านเป็น หวั่น นี๊ ไป่ เรี๊ยน ผ่า ซ้า สะ วี๊ ดิด ม๊า อย่างนี้อ่ะ


เอาทฤษฎีภาษาไทยที่พอจำได้มาจับ เป็นว่าออกเสียงพยัญชนะเอก กับตรี สลับกันไปมา (อันนี้แน่นอนประมาณ 80% ได้)


แต่ที่จะย้อนมานิดนึง คือเรื่องชื่อผม K-JAY อ่ะ ตกลงแล้วมันยิ่งกว่าที่เคยเล่าว่า เคเย อีก เพราะ K อ่านว่า คอ Jay อ่านว่า เย ดังนั้นเวลาอ่านอ่านว่า คอเย แต่พอใส่เสียงพยัญชนะเข้าไป ผมมีชื่อสวีเดนว่า ข่อ-เย๊


สรุปวันนี้เรียนอะไรไม่รู้หละ รู้แต่ว่าอาจารย์เรียกผมแต่ว่า


ข่อเย๊ ข่อเย๊ ข่อเย๊ๆๆๆๆๆๆๆ

Tuesday 23 September 2008

1 month in Lund

เผลอแป๊บเดียวเวลาที่ลุนด์เดินผ่านมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว


ผมมาอยู่ที่ลุนด์เดือนหนึ่งแล้วหรือนี่ ใจหนึ่งก็ว่ามันเร็วจัง แต่อีกใจหนึ่งก็ว่าเวลามันเดินช้าจริงๆ เลยนะ


เมื่อเดือนที่แล้วจำได้ว่าผมออกเดินทางจากประเทศไทยคืนวันที่ 23 แล้วไปอยู่ที่โคเปนเฮเกนมาคืนหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางต่อมาที่ลุนด์ในวันที่ 25 สิงหาคม


ถ้าถามผมว่าผ่านไปแล้วหนึ่งเดือนในการอยู่นอกประเทศไทย มีอะไรเกิดขึ้นกับผมบ้าง ผมเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง ผมคงตอบได้ว่าเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับผมในช่วงการใช้ชีวิตลำพังในต่างแดนของผม ทุกเรื่องราวที่ผ่านมาน่าจดจำ เพียงแต่บางเรื่องราวมันน่าจดจำไว้เป็นบทเรียนสิไม่ว่า เอาเป็นว่าผมจะบอกให้เป็นเรื่องๆ เท่าที่เวลาจะอำนวย และเท่าที่จำได้แล้วกันนะ

ผมเรียนรู้ว่า
  • การเดินทางในโลกนี้เพียงลำพังนั้น มันไม่ได้ยาก หากแต่เราต้องไม่ทำตัวแปลกแยกกับที่ที่เรามาเยือน
  • การเดินทางที่ดูเหมือนยาวนาน กลับสั้นเพียงเพราะการมีเพื่อนร่วมเดินทางที่ดี
  • การใช้ชีวิตต่างแดน ก็เป็นเหมือนปกติชีวิตเราแหละ ไม่ต่างกันเลย หากแต่เปลี่ยนที่กินที่นอนเท่านั้นเอง
  • การอยู่ต่างประเทศที่ว่าทำให้เราโตขึ้นนั้น คงจะหมายถึงการโตในแง่ที่เราสามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวเองกระมัง
  • เด็กนอก แล้วไง ก็ไม่ได้ดีเด่จากคนทั่วไปนี่นา
  • ข้าวสารเท่านั้นที่ผมต้องการ อย่าเอาขนมปังกะนมมาแลกกับข้าวสาร ผมไม่ให้ แล้วก็ดีใจที่ตัดสินใจเอาหม้อหุงข้าวมาด้วย
  • ทำไมข้าวญี่ปุ่นมันถูกกว่าข้าวไทย
  • อยู่เมืองไทยแสนสบาย อยากกินอะไรก็ได้ ผมเข้าใจแล้วว่าคนพูดรู้สึกยังไง
  • ฝรั่งหัวทอง มันไม่ได้ฉลาด หรือดีเด่อะไรกว่าคนหัวดำหรอกครับ ผมยืนยันได้
  • ภาษาอังกฤษนี่สำคัญแฮะ
  • ยังไง๊ยังไง ผมก็ชอบนอนแอร์มากกว่าฮีตเตอร์หรือเรดิเอเตอร์
  • ผมเดินมากจนขาแข็งแล้วอ่ะ แค่เดือนเดียวเอง
  • ระยะทางทำให้ผมเข้าใจความหมายของคำว่าคิดถึงได้ดีขึ้น
  • ไม่รู้เป็นไร อยู่เมืองนอกท้องผมร้องบ๊อยบ่อย เหมือนกินเข้าไปมันไม่อยู่ท้องเลย
  • เพื่อนต่างแดนมันมีทั้งดีและไม่ดีแหละ บางทีคนผิวสีกลับมีจิตใจดีกว่าผิวขาวเสียหลายโขนะ
  • ของมือสองเมืองนอกมันถูกดีเน๊อะ ว่ามั๊ย

ว่าไปมาก็ได้มาเยอะเหมือนกันแฮะ เอาแค่นี้ก่อน ไว้วันหลังจะสาธยายในรายละเอียดให้ฟังอีกทีแล้วกันเน้อ

Monday 22 September 2008

Second hand shop

มาอยู่ที่นี่ได้สักพักใหญ่ เทศกาลการหาของตบแต่งห้องก็เกิดขึ้น




ด้วยความที่ห้องผมมันเป็นห้องที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยสักชิ้นอย่างที่ปราบๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่หลอดไฟ




ตอนนี้การจับจ่ายซื้อของก็เกินขึ้น วันนี้เลยเอามาแนะนำกันหลายชิ้นหน่อย แต่ร้านที่โปรดปรานของผมก็คือร้าน ERIKSHJÄLPEN ซึ่งเป็นร้านขายของมือสองที่กลางเมืองลุนด์ ราคาถูกดี



อย่างในรูปนี้มีของที่ซื้อจากร้านขายของมือสองมาหลายชิ้น

โซฟาหนังฝั่งซ้ายราคา 385 โครน ก็ประมาณ 1,600 บาท โซฟาตัวซ้าย ราคา 90 โครน ก็ประมาณ 400 กว่าบาท โต๊ะไม้ตัวกลาง ราคา 145 โครน ก็ประมาณ 500 บาท (แอบแพง) โคมไฟ 20 โครน ก็ประมาณ 90 บาท (อันนี้คุ้ม เพราะไปซื้อหลอดไปอย่างเดียวราคาก็เกือบ 30-40 โครนแล้ว) ดูดีๆ จะเห็นถาดผลไม้เงินบนโต๊ะ ราคา 25 โครน ตกราคา 110 บาท ถังขยะใต้โต๊ะ ราคา 5 โครน ประมาณ 25 บาท และ สุดท้ายก็พรมปูพื้น ราคา 25 โครน ก็ประมาณ 110 บาท


ต่อมาก็อันนี้เลยโคมไฟเพดานนี้ราคา 85 โครน ประมาณ 450 บาทครับ ชอบเพราะว่าดูไฮโซดี

Study aboard

การเรียนหนังสือในต่างประเทศนั้น เป็นความใฝ่ฝันของผมตั้งแต่เด็ก ถ้าบอกอย่างนี้จะเชื่อไหม?

ตั้งแต่เด็กผมอยากไปเรียนต่างประเทศ ตามความคิดในสมัยนั้นว่ามันคงจะหรูดีนะ หากได้ไปเรียนจบจากต่างประเทศมา จากจุดนี้เองก็เป็นการจุดประกายให้ผมพยายามที่จะศึกษาภาษาอังกฤษให้มากขึ้น เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งในอนาคต สิ่งนี้แหละจะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการจะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศของผม

ผมลืมความคิดเรื่องการเรียนต่อต่างประเทศไปยาวนานพอควรเกือบ 5-6 ปี กระทั่งเกือบจบปริญญาตรี ผมก็เริ่มมีความคิดเรื่องการเรียนต่อต่างประเทศมากขึ้น ผมพยายามหาข้อมูลการเรียนต่อต่างประเทศจำนวนมาก และที่สำคัญคือหาข้อมูลทุนการศึกษาด้วย เพราะครอบครัวผมก็คงไม่มีเงินมากพอที่จะทำให้ผมคิดอยากทำโน่นนี่ได้ตามใจ

ผมบุกไปสถานทูตของหลายประเทศ เพื่อติดต่อเกี่ยวกับทุนการศึกษา โดยเฉพาะประเทศที่คนมักไม่ค่อยสนใจ เช่น แม็กซิโก เปรู กรีซ รัสเซีย เนเธอร์แลนด์ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหาข้อมูลในประเทศที่คนสนใจ ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ หรืออเมริกา เยอรมนี และฝรั่งเศส ผมเอาหมดแหละ แล้วก็ไม่ลืมประเทศไทยด้วย เอาเข้าจริงผมว่าการหาและทำความเข้าใจข้อมูลเรื่องทุนนี่แหละที่ทำให้ผมมีพัฒนาการด้านภาษามากขึ้นมาโดยไมรู้ตัว

กระทั่งปัจจุบัน ผมกำลังศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นประเทศที่ผมกลับไม่เคยหาข้อมูลเลย ผมมาศึกษาที่ประเทศนี้ในหลักสูตรปริญญาโทกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในมหาวิทยาลัยลุนด์ ทั้งๆ ที่ผมกลับไม่ค่อยมีข้อมูลของหลักสูตรและมหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ในหัวเลย

การศึกษาที่ประเทศสวีเดนนั้น ผมไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่ากินค่าอยู่ต้องจ่ายเองทั้งหมด แต่จนที่สุด ผมมาศึกษาที่นี่โดยได้รับทุนการศึกษาค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทางโดยเครื่องบิน ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ จาก Swedish International Development Cooperation Agency และ Raoul Wallenberg Institute, Faculty of Law, Lund University โดยที่ผมกลับไม่เคยมีข้อมูลของทุนการศึกษานี้มาก่อน แต่ทุนกลับเป็นฝ่ายเลือกผมขึ้นมาเองจากบรรดาผู้ที่เข้าศึกษาที่นี่กว่า 40 คน

ทีนี้ ทุกคนคิดเหมือนผมบ้างไหมครับว่า ชีวิตคนเราโอกาสมันไม่ได้ผ่านเข้ามาบ่อยนะ ถ้ามันผ่านมาก็หยิบฉวยมันไว้เลย แต่ถ้ามันยังไม่ผ่านมา เราก็จงอย่านิ่งนอนใจ เร่งสร้างโอกาสที่จะให้โอกาสดีๆ เหล่านั้นผ่านเข้ามาในชีวิตของเราอยู่เสมอ การเตรียมตัวอยู่เสมอ เพื่อที่ว่าเมื่อสักวันมันผ่านมา เราก็พร้อมที่จะรับโอกาสนั้นได้โดยไม่มีเงื่อนไข นั่นเอง

ดังนั้นผมจึงขอสรุปว่า "การรอให้โอกาสดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้น ไม่ใช่การนั่งรอ นอนรอ หากแต่เป็นเฝ้าการรออย่างมีหวัง และการสร้างพลังที่จะไขว่คว้าโอกาสเหล่านั้น เมื่อมันผ่านเข้ามาในชีวิตเราต่างหาก"


Saturday 20 September 2008

Københavns

วันนี้ได้มีโอกาสเดินทางข้ามมาที่กรุงโคเปนเฮเกน อีกครั้ง เพื่อมาเอาของที่ที่บ้านฝากมาให้

การมาโคเปนครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้วโดยสิ้นเชิง เพราะครั้งที่แล้วโคเปนเฮเกนเป็นสถานที่แห่งแรกในยุโรปที่ผมมาเหยียบ ความตื่นตาตื่นใจยังมีอยู่มาก เมื่อจะเทียบกับครั้งนี้ซึ่งค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของประเทศในแถบนี้อยู่บ้าง

แต่การมาครั้งนี้ของผมก็ได้เดินทางไปดูตลาดขายของมือสอง ร้านเยอะก็จริง แต่ไม่ยักกะอยากซื้ออะไรเลย เพราะที่จริงที่ลุนด์แอบถูกกว่าที่นี่อีกอ่ะ

สรุปแล้วก็เลยได้แต่การเดินถ่ายรูปสภาพบ้านเมืองของที่นี่มาฝากทุกคนเท่านั้นแหละครับ


หรือไม่ก็ตามไปดูกันได้ที่นี่ครับ http://www.flickr.com/photos/kitmarc/sets/72157607393864026/

http://kitmarc.multiply.com/photos/album/15

Thursday 18 September 2008

Korridor rum

อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่าห้องที่ผมอยู่ต้องอาศัยใช้ครัวร่วมกับ เพื่อนร่วม korridor rum อีก 7 คน

บางคนเลยนึกภาพคอร์ริดอร์ ไม่ออก มันก็คือห้องครัว แล้วก็ห้องนั่งเล่นน่ะ ผมก็เลยมาลงรูปคอร์ริดอร์ผมให้ดูครับ

พอเข้าคอร์ริดอร์มาด้านซ้ายทือก็จะเป็นตู้เย็นเรียงกันซะสามตู้ จากนั้นก็เป็นไมโครเวฟแล้วก็เตาทำอาหารครับ







ต่อจากเตาจะเป็นที่ล้างจาน และต่อด้วยบรรดาตู้ใส่ของแยกตามห้อง ตามเบอร์ที่แปะไว้ที่ตู้ แล้วก็จะมีโกนข้างอยู่กลางห้อง

















หมุนมาอีกด้านก็จะเข้าสู้ห้องนั่งเล่นแระ โซฟาหลายตัวและ โทรทัศน์ ซึ่งมีแต่รายการภาษาสวีดิชนะสิ ผมเลยไม่ค่อยได้ใช้บริการเลย


แต่พอดีวันนี้อารมณ์ดีอยู่บ้านเลยมาใช้ห้องครัวปรุงอาหารซะหน่อย ก็คือ หมูผัดพริก พอดีไปได้พริกชี้ฟ้ามาจากตลาด ด้วยความอยากกินอาหารที่มีรสเผ็ดหน่อย ก็เลยมาจบด้วยเมนูนี้ แถมด้วยน้ำแกงกะหล่ำปลีอีกนิด โอ้ยอิ่มเลย

Sunday 14 September 2008

Eslöv

อุอุ แวะมาโปรโมทรูปใหม่ที่ถ่ายที่ Eslöv

ว่างๆ ไปดูกันนะที่นี่ : http://kitmarc.multiply.com/photos/album/23


เอามาเป็นน้ำจิ้มก่อนสองรูปอ่ะ

อะไรเอ่ย: Toalett

กลับมาอย่างรวมเร็วกับ ลุนด์อยากถามว่า ปัญหาอะไรเอ่ย????


ไอ้ตู้นี้อ่ะ มันคืออะไร สงสัยอยู่นาน



มาที่นี่เห็นมันตั้งอยู่ทุกที่ไป บ้างกลมบ้างเหลี่ยม
แต่คำถามนี้มันง่ายอ่ะ มองรูปก็รู้เลย WC อ่ะ Toalett หรือ Toilet นั่นเอง
เดี๋ยวครั้งหน้าจะเอาให้ยากกว่านี้แล้วกัน

อะไรเอ่ย: A Box


มาครั้งแรกแล้วกับ ลุนด์อยากถามว่าปัญหาอะไรเอ่ย????


ไอ้กล่องรูปร่างหน้าตาแบบนี้อ่ะ มันคืออะไร




ไอ้ตอนที่มาที่สวีเดนแรกๆ เราก็เห็นว่าทุกบ้านมักมีกล่องอย่างนี้ไว้ที่หน้าบ้าน บางบ้านขนาดใหญ่เชียว สงสัยขยะในบ้านเยอะน่ะ ไม่แปลก






แต่ทำไมบางบ้านเล็กอ่ะ สงสัยคงไม่ค่อยมีขยะ


ครั้งหนึ่งน้องที่มาสวีเดนพร้อมกันเอาขยะไปทิ้ง เราค่อยถึงบางอ้อว่า มันมีจอมออยู่ข้างใน


อ้าว "ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ...ก็ใครมันจะไปเข้าใจ"

K-JAY

ไอ้ตอนมาจากเมืองไทยก็ว่า เดี๋ยวพอมาแล้วก็เปลี่ยนชื่อเรียกเป็นเคเจ จะได้มีชื่อที่ฝรั่งเรียกกันง่ายๆ ซะหน่อย


ไอ้ตอนที่ขอหอที่พัก เนี่ยะ มันก็ไม่เคยมีการบอกนะว่าเราอยู่หอ Swedish Student หรือ International student


แต่ก็นะ นาทีสุดท้ายจะได้หออะไรก็เอาแล้ว พอเข้ามาได้เอาถึงกับ ผงะ เพราะเพื่อนร่วมคอริดอร์ทั้ง 7 คน เป็นสวีดิชหมดเลย พอพ่อเจ้าพระคุณคุยกัน เล่นเอาเราใบ้รับประทาน เพราะฟังไม่รู้เรื่อง อิ๊ๆอ๊ะๆ ไรก็ไม่รู้


พอถึงตอนแนะนำตัว เราก็แนะนำว่าชื่อ เคเจ มันก็เรียกงงๆ ว่า เคเย เคเย

ไอ้เราก็ว่าเคเจจจจจจจจจจจจ เจจจจจจจจ เจจจจจจจจจ อ่ะ

มันก็เจก็เจ


มาวันนี้จึงเข้าใจซะที

อ๋อที่จริงได้ตัว J เจเนี่ยะ คนสวีดิช เขาอ่านว่า J "เย"


มิน่าล่ะ กรูละนึกว่าคนสวีดิช ลิ้นไก่สั้นกันซะทั้งคอริดอร์

มันหนาวววว

ปีที่แล้วได้ข่าวมาว่าอากาศที่ลุนด์ ไม่สู้จะหนาวมากนัก Winter ที่แล้วอุณหภูมิก็ลงไปประมาณ -2 ถึง -1 องศา แถมหิมะก็ตกเล็กน้อย


แต่นี่เพิ่งเข้า Autumn เอง สองวันก่อนอากาศกำลังสบาย กลางวัน 15 กลางคืน 10 โอ๊ย สบายสุดๆ


จากนั้นวันต่อมา อากาศกลางวันเหลือ 13 กลางคืนก็ซัก 9 ได้


เมื่อวันนี้สดๆ อยู่ๆ กลางวันก็ลงมาเหลือ 11 กลางคืนเล่นเอา ประมาณ 8


แต่เช้านี้ตื่นขึ้นมา เพราะต้องออกไปข้างนอก เดินออกไปเจอลมถึงกับ ผงะ เพราะเช้านี้เล่นเอาซะ 4-5 องศา เดินไปสถานีรถไฟเจอลมตีจนหน้าตึงเลย


ถามว่าตอนนี้ต้องการอะไรมากที่สุด ขอตอบว่า เอาเสื้อโค้ทหนาๆ สักตัว กะที่ปิดหูซักอันก็พอ เพราะตอนนี้หนาวหูหลุดเลยทีเดียว

Wat's 2nd anniversary

วันนี้ได้มีโอกาสเดินทางไปงานฉลองครบรองสองปี ของวัดสังฆบารมี ที่ Eslöv


การออกเดินทางไปวัดในวันนี้เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เพราะว่าต้องออกเดินทางไปขึ้นรถไฟตั้งแต่เช้า ปัญหามันอยู่ที่การเดินฝ่าอากาศหนาวประมาณ 4 องศายามเช้านะสิ ขอบอกว่า หูแทบหลุด












งานที่วัดวันนี้มีญาติโยมมาทำบุญกันมากมาย และแปรผันตามปริมาณอาหารที่มีมากมายเช่นกัน เอากันจนอิ่มแปล้เลยทีเดียว แต่ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเอาการ ทำให้บรรดาญาติโยมต่างพากันออกมานั่งตากแดดกันซะกระจายเต็มทุ่งด้านข้างวัด



โดยเฉพาะยามเพล มีการแบ่งออกเป็น line Buffet ถึง 3 สายกันเลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอกับจำนวนญาติโยมที่หลั่งไหลกันมาทำบุญในวันนี้

















ตกบ่ายเป็นการเทศมหาชาติ ซึ่งญาติโยมก็พากันเอาเงินโครนมาติดกัณฑ์เทศน์กันมากมาย ซึ่งผมเองก็ไปติดกัณฑ์เทศน์ กัณฑ์ชูชก เพราะเขาว่ากันว่าขออะไรก็จะได้ ก็เลยขอไปซะคุ้มเลย อิอิ......


ว่าแต่ก่อนเริ่มก็มีพิธีการรื่นเริงกันก่อนซึ่งก็สนุกสนานรื่นเริงกันตามสบายอย่างไทยแท้ โดยเฉพาะช่วงแห่พระเวสฯ มีการตั้งขบวนร้องรำกันเย้วๆ บรรดาสาวไทยที่เซิ้งสวิงสวายกันอย่างไม่ยอมแพ้กันเลย เล่นเอาสามีทั้งชาวไทยและชาวสวีดิชบางคนถึงกับมองตาค้างไปเลยว่า "ดู่ ดู๊ ดู ดู เธอทำ..... ทำไมถึงทำกับฉันได้..... "


ผมเดาเอาว่า นี่ถ้า new comers เข้ามาร่วมงานนี้เป็นครั้งแรกละก้อ มีงงเป็นไก่ตาแตกอ่ะ

Wednesday 10 September 2008

lecture rooms

วันนี้แค่อยากลงรูปห้องเรียนทั้งแบบบรรยาย และสัมมนากลุ่มย่อย ให้ดูความอลังการน่ะ

Laundry room

เมื่อวันอาทิตย์เป็นวันซักผ้าน่ะครับ ไม่ได้ออกไปไหนเพราะตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะต้องซักผ้าได้แล้ว

การซักผ้าที่นี่มีเครื่องซักผ้ากับเครื่องอบผ้าไว้บริการครับ ฟรีๆๆๆๆ
การที่เราจะซักผ้าก็คือ เราต้องเข้าไปจองห้องซักผ้าออนไลน์ก่อน ผมก็เข้าไปจองห้องได้เวลา 12.00-14.30 น. ที่ห้องเบอร์ 4
ภายในห้องซักผ้าจะมีเครื่องทั้งหมด 4 เครื่อง 2 เครื่องแรกจะเป็นเครื่องซักผ้าระบบเปิดฝาด้านหน้า เมือนที่คุ้นเคย ต่างตรงที่คู่มือทั้งหมดเป็นภาษาสวีดิชทั้งผม งานเข้าอีกแล้วครับ งงอย่างแรง อ่านไม่รู้เรื่อง งงมาก เลยต้องอาศัยคนที่คิวก่อนผมอธิบายให้ฟัง การซักผ้าก็หมดเวลาไป ตก 80 นาทีได้อ่ะ
เครื่องต่อมาเป็นเครื่องอบผ้า เพราะที่นี่มันไม่สามารถตากแดดจนแห่งได้เหมือนบ้านเรา ดังนั้นเมื่อซักเสร็จก็ต้องเอามาอบ แต่เวลาอบผ้านานพอกัน อบไปอีก 70 นาที
เมื่ออบเสร็จเราก็ต้องเอามาเข้าตู้เป่าอีกเหรอ งง ไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยใช้ ผมก็เลยเอามาเข้าตู้สุดท้าย เป็นการเป่าลมร้อนอ่ะ
เอาเป็นว่าสะระตะแล้ว 2.30 ชั่วโมงอ่ะ ไม่พอ

Saturday Market

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเดินเล่นตลาดขายของมือสองและตลาดนัดที่กลางเมืองลุนด์มาครับ เลยเอาภาพมาฝาก


ตลาดขายของมือสองที่นี่มีของมากมายหลายอย่าง แต่ผมไม่ได้อะไรเลย
เมื่อวันเสาร์ ยังได้ไปที่ตลาดนัดเพื่อหาซื้อของมาทำอะไรกินกัน
อย่างในภาพก็รอซื้อปลาซอลมอน เพื่อเอามากินกันอ่ะ แพงพอดูตก ขีดละ 26 โครนแน่ะ

Saturday 6 September 2008

Furnitures

อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าห้องของผมมันเปลือยเปล่ามาก ไม่มีอะไรเลย วันนี้เลยสบโอกาส ไม่มีเรียนก็เลยช็อบปิ้งครับ

เริ่มจากการหาเตียงนุ่มๆ มักเตียง ได้ข่าวว่ามีคนจะขายก็เลยติดต่อไปได้มาเป็นเตียงหกฟุตอ่ะ สภาพดีเชียว ราคาก็น่าสนใน เพราะว่าแค่ 500 โครน เพราะเตียงใหม่ราคาหลายพันโครนน่ะ แต่ต้องยกย้ายข้ามตึกมาเองน่ะ





ต่อมาก็โต๊ะคอมมือสองตัวนึง ราคาก็ตก 400 โครน











โคมไฟสุดไฮโซที่มีแค่ขั้วกะหลอดราคา 100 โครน








ถังน้ำสำหรับถูบ้านกะแช่เท้า ผลิตจากเดนมาร์ก ราคา 20 โครน























สุดท้ายก็เก้าอี้ตัวนึงราคา 300 โครน แต่ต้องมาประกอบเอง


เล่นเอาเหนื่อยอ่อน หลับสบายเลย

Thursday 4 September 2008

my room

ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในห้องได้แค่สามวันเอง ด้วยเหตุที่ห้องนี้เป็นห้องที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ดังนั้นทุกสิง่ทุกอย่างผมก็ต้องหามาใส่ไว้เอง ไม่ว่าจะเป็นที่นอน หมอน ผ้าห่ม โต๊ะทำงาน อ่านหนังสือ รวมทั้งโคมไฟ










ส่วนโต๊ะทำงานตอนนี้ก็อาศัยกระเป๋าเดินทางไปพลางๆ ก่อน
















ซึ่งจนแล้วจนรอด กระทั่งบัดนี้ก็ได้มาเพียงผ้าห่มกับหมอนเท่านั้นแหละ นอกนั้นยังไม่ได้ซื้ออะไรเลย








กะว่ารอไปอีกสักพัก ลองดูซิว่าตัวเราจะชินกับห้องได้สักแค่ไหน และต้องการอะไรจริงๆ ค่อยหาซื้อเข้ามา เพราะว่าเมื่อครบสองปี ผมก็ต้องย้ายออก แล้วของพวกนี้ก็เอากลับไทยไม่ได้เสียด้วยนี่นา








Tuesday 2 September 2008

Wat Sanghabaramee








เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสแวะไปที่วัดสังฆบารมี ที่ Eslöv มา พร้อมกับเพื่อนๆ น้องๆ รวมกันเกือบสิบคน


ที่วัดวันนั้น จำได้ว่าพอไปถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเลย แต่ละคนก็อิ่นเอมกับบรรดาอาหารไทยที่วางอยู่เรียงราย พร้อมขนมและผลไม้ เอาเป็นว่าอิ่มเอมกันไปมื้อเดียวไม่พอ ญาติโยมที่วัดยังบรรจงใส่ถุงให้พวกเราหอบหิ้วมากินกันต่อในมื้อเย็นอีกด้วย


เอาเป็นว่ามาวัดครั้งนี้นอกจากจะได้สบายกายสบายใจ แล้วยังสบายท้องอีกด้วย ดูรูปกันได้ที่นี่: http://kitmarc.multiply.com/photos/album/21/21

Monday 1 September 2008

Train Hostel in My Memory

เป็นเวลา 7 คืน ที่ผมได้ใช้เวลาอยู่ในโรงแรมรถไฟเล็กๆ แคบๆ อับๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาจากที่ไหนได้อีกแล้ว


ตั้งแต่วันแรกที่ Check in การรอแถวกว่า 2 ชั่วโมงเพื่อการได้ห้องนอนสักหนึ่งห้อง บนพื้นที่อันจำกัด ท่ามกลางแขกที่จะเข้าพักจำนวนมาก แทบทำให้ผมอยากจะไปนอนโรงแรมไฮโซ เสียให้หมดเรื่องไป


roommate ที่ผ่านเข้ามาอย่าไม่ซ้ำหน้า มีเรื่องให้จดจำ และไม่อยากจดจำมากมาย จำได้ว่าคืนแรก เป็นน้องเด็กคนนึง น่าจะเรียนปริญญาตรีนี่แหละ ก็โอเค เงียบๆ ไม่มีไรมาก คืนที่สอง ผมย้ายมานอนเตียงล่างคนเดียวดีไป เพราะคืนนี้ไม่มีเพื่อร่วมห้อง คืนที่สามเป็นสามีภาริยา นักเดินทาง มีมิตรภาพดีมาก คืนที่สี่ก็นอนคนเดียวแกที สบายดี


คืนที่ห้านี่นะซิที่มีเรื่อง เพราะมีรูมเมทสันดานเสียมาร่วมห้อง ไหนจะเมามา ตดในห้อง แล้วยังมาค้นกระเป๋าผมหาเงินในกางเกงยีนส์ที่แขวนอยู่ เลวมากๆ แล้วก็มีอีกคนเป็นเด็กนักเรียนชาวสวีเดน


คืนที่หกผมนอนคนเดียวสบายไป ต่อด้วยคืนที่เจ็ดมีเพื่อร่วมห้องมาอีกสองคน แต่ไม่ได้คุยอะไรกันมากหรอก แค่ไฮ่ไฮ้ ตามเรื่องตามราวเท่านั้นเอง


จวบจนวันนี้ที่ผมได้ย้ายออกมาจาก Train Hostel แล้ว ผมว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก ผมไม่อยากเอาความเลวของคนคนเดียว มาทำลายความทรงจำดีๆ ในโรงแรมรถไฟของผม


STF VH Target (The Train Hostel i Lund): http://www.train hostel.com

เหนื่อยอ่ะ

วันนี้เป็นวันที่ต้องทำอะไรต่ออะไรมากมายหลายอย่าง


เริ่มอย่างแรกวันนี้ผมต้องตื่นมาเก็มสัมภาระมากมายที่ใช้ภายใน Train Hostel มากว่าหนึ่งอาทิตย์ เพื่อเตรียมตัวย้ายเข้าไปในห้องของผมเสียที


เช้าขึ้นมาวันนี้เป็นวันแรกที่มีการเรียนการสอนในหลักสูตร ผมเริ่มด้วยการไปเดินอ้อยอิ่ง อยู่แถวคณะ เพราะว่ารู้ว่าเรียนห้องไหน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนอ่ะซิ


กว่าจะได้เริ่มเรียนวันนี้ เพิ่งทราบอีกอย่างว่า ที่สวีเดน ถ้าเวลาเรียน 10.00 น. เขาจะเริ่มเรียนจริง 10.15 น. น่ะ เลยเข้าทางพี่ไทยไปซะฉิบ


การเรียนวันแรกนี้ไม่มีอะไรมากมายหรอก เพียงแต่เป็นการเกริ่นนำ อธิบายเท่านั้นว่าต่อไปจะเรียนอะไร เรียนอย่างไร ส่วนการเรียนจริงๆ จะเริ่มขึ้นในวันพุธที่จะถึงนี้แล้ว


หลังจากเรียนเสร็จก็คงต้องไปวิ่งเป็นเพื่อนเพื่อนๆ ร่วมชั้นที่มัววิ่งหา Textbook ประกอบการเรียน แต่สำหรับผมแล้วสบายมาก เพราะว่าหิ้วมาจากเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


จากนั้นก็ต้องเดินขาขวิดไปที่ Sparta เพื่อไปรับกุญแจห้องของ AFB ก่อนที่จะเดินกลับมาที่โฮสเทล เพื่อเอาสัมภาระจำนวนมากหอบหิวไปยังห้องที่ Vildanden


เดิมทีเดียวตั้งในว่าจะแชร์แท็กซี่กะเพื่อน แต่ไปๆ มาๆ แม่เจ้าประคุณไปไหนซะก็ไม่รู้หาไม่เจอ ก็เลยมาคนเดียว ประหยัดสุดฤทธิ์ เดินขาขวิดไปอีกเกือบ 2.5 กม.


พอเข้าห้องมา อกอีแป้นจะแตก!!! ที่เขาว่าห้อง unfurnished มันเป็นอย่างนี้นี่เอง มีแต่ห้องเปล่าๆ แล้วคืนนี้จะนอนไปได้ยังไงล่ะ


ว่าแล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง อาบน้ำชำระกายที่ไม่เคยถูขัดจนสะอาดมากว่าอาทิตย์แล้วรีบเดินไปจับจ่ายซื้อผ้าห่ม ผ้านวมด่วน ไม่เช่นนั้น คืนนี้ได้มีการหนาวตายแน่ๆ


การช็อปปิ้งในเวลาด่วนได้เกิดขึ้น ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ที่ JVSK ที่ NOVA LUND ผมได้ผ้านวม 2 ผืน ปลอกผ้านวม หมอน ปลอกหมอน และผ้าม่าน สะระตะแล้วหมดไป 614 kr ก็ประมาณ 3250 บาท


กลับมาวันนี้เลยทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย เพราะรวมแล้ววันนี้เดินไปเกือบ 12 กิโลเมตร ตั้งแต่เช้า



เป็นอันสลบ!!!