Wednesday 30 April 2008

Telegram

อวสานของตะแล็บแก็บมาถึงแล้วครับ

และแล้ววันสุดท้ายของการใช้เครื่องมือสื่อสารที่ใช้มาอย่างยาวนานกว่า 133 ปีที่เรียกว่าโทรเลข ก็ปิดฉากลงอย่างถาวรแล้วในประเทศไทย

เมื่อวานนี้ วันที่ 30 เมษายน 2551 เป็นวันสุดท้ายที่ที่ทำการไปรษณีย์จะให้บริการโทรเลข

ผมมีโอกาสที่จะไปส่งโทรเลขถึงพ่อ แม่ และพี่สาว เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

ที่ผมมาเขียนไว้นี้ ก็เพื่อบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ร่วมกันนะครับ ว่าครั้งหนึ่งเราเคยมี แม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีแล้วก็ตาม ก็หมายความว่า "ทุกคนอย่าลืมรากเหง้าของตัวเองนะครับ"

Make a Wish

หลายคนเฝ้าที่หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพรให้ชีวิตของตนเองมีแต่ความสุขความเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ

หลายคนพยายามไปหาพระหาเจ้าเพื่อให้เขาอวยพรให้ชีวิตมีอต่ความสุขโชคลาถไหลมาเทมา................โดยลืมมองกลับไปยังพระที่บ้านของเรา

พ่อแม่งัยครับ คือพระที่ประเสริฐสุดสำหรับลูก ท่านไม่เคยสักนิดที่จะแช่งชักหักกระดูกให้ลูกฉิบหาย หรืออับจนหนทางในชีวิต

ดังนั้นไม่ต้องวิ่งเร่ไปหาพรจากที่ใด ในเมื่อที่บ้านมีตู้ขอพรเอนกประสงค์อยู่แล้ว ก็พ่อแม่อีกนั่นแหละ ขอได้ทั้งพรและเงิน

ดังนั้น สำหรับผมแล้วพรที่ประเสริฐที่สุดก็คือพรจากอาปาอาม้านั่นเอง ทุกครั้งที่ผมต้องเข้าสอบหรือแข่งขันอะไร ผมไม่เคยลืมเลยที่จะโทรศัพท์ไปบอกอาม้าและทุกครั้งอาม้าก็จะอวยพรให้ผมเสมอ ซึ่งผมถือว่าเป็นพรวิเศษที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

คำพูดไม่มากมายที่เพียงบอกว่า "ขอให้ทำข้อสอบได้ ทำคะแนนให้ได้สูง ชนะทุกๆคนเลย" ดูเป็นคำพูดพื้นๆธรรมดาที่อาจไม่สละสลวยเท่าไร มันอาจดูเป็นคำพูดที่ทุกคนก็พูดออกมาได้เหมือนกัน แต่สำหรับผมความหมายของคำพูดที่อาม้าอวยพรผมนั้นผมไม่ได้รับรู้ด้วยหูเท่านั้น แต่ผมรับรู้ด้วยใจ

บ้านเราไม่ค่อยพูดคำหวานใส่กัน เพียงแค่คำพูดที่ดูธรรมดาประโยคหนึ่งจากบุพการีนั้น มันมีคุณค่าแความหมายมากว่าวาจาที่เปล่ง

แต่ความหมายของมันคือ "วาจาที่เปล่งพูดออกมานั้น คือ พูดอะไร เพื่ออะไร จากใคร และเพื่อใคร"

Lund's Result

อิอิอิ

ตอนนี้ลุ้นด์ประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการแล้วคร้าบทู้กคน

โปรดอย่าถาม........ว่าผมได้ไปที่ลุ้นด์หรือเปล่า???????

คำตอบ ณ ตอนนี้ ได้สิครับ ผลประกาศออกมาอย่างไม่เป็นทางการว่าผมได้ Master Programme in International Human Rights Law ที่ University of Lund, Sweden ครับ

อย่างที่เคยลงรูปไว้และนะครับ ว่ามหาวิทยาลัยลุ้นด์น่ะดูขลัง ก็เลยจะมาเฉลยเบื้องต้นว่าก็เพราะว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งมานาน 342 ปี แล้วครับ ก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1666 คร้าบ

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะ

คุ้มค่ากับการรอคอยผลกว่า 5 เดือน ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว จนวันนี้ 5 เดือนพอดิบพอดี กว่าจะได้ไปก็ราวๆ กลางเดือนสิงหาคม รวมแล้ว 9 เดือน ถ้าท้องก็พอคลอดออกมาเห็นหน้าลูกนิดนึงแล้วก็ไปเรียนแระ อดเลี้ยง!!!!

เอาเป็นว่าการสมัครเรียนที่สวีเดนปีนี้ มันยุ่งยากลำบาก คิ้วผูกโบว์ขนาดไหน เด๋วผมจะค่อยๆเล่าให้ฟังวันหลังแระกัน วันนี้มีฟามสุขมากมายหลายค่อดๆ

ลั้นลา ลั้นลา ลั้นลา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

Tuesday 29 April 2008

Sleepy

อากาศช่วงนี้มันน่านอนเสียนี่กระไร



ทุกเช้ากว่าจะลืมตาเอาชนะความง่วงขึ้นมาได้ในแต่ละวันต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมากทีเดียว



วันนี้ก็เช่นกัน กว่าจะลืมตา กว่าจะรวบรวมสติแล้วลุกขึ้นมานั่ง ก็กินเวลาไปนานอยู่



แถมวันนั้อากาศก็น่านอนทั้งวัน งานเงินไม่อยากจะทำแระ

ช่วงนี้ก็รอผลสมัครปริญญาโทอย่างเดียว รออีกนิด เด๋วใกล้จะคลอดแล้ว

เอาใจช่วยผมด้วยน้าทู้กคน

Sunday 27 April 2008

DAENG

หากจะกล่าวถึงเรื่องชื่อแล้ว ผมเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่าอาม้ากับอาปาเลือกที่จะให้ผมชื่อกิตติ มากกว่ากีรติและกิจจา แต่จะมีกี่คนเชียวที่รู้ว่ากิตตินั้นก็ไม่ใช่ชื่อแรกของผม จะว่าไปผมเนี่ยะเปลี่ยนชื่อตัวมาแล้วครั้งนึงก่อนที่ค่านิยมในการเปลี่ยนชื่อจะเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบันเสียอีก

ถูกต้องแล้วครับตามหัวข้อนี้ ชื่อเดิมของผมชื่อ แดง ครับ ดูดีมีระดับจะตาย แม้ว่าในช่วงนั้นมันจะมีคนชื่อนี้มากมายแต่ก็เป็นเพียงชื่อเล่นนะ แต่ของผมนี่ชื่อจริงตามสูติบัตรกันเลยทีเดียว

อาม้าบอกว่าตอนท้องก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชาย หรือว่าผู้หญิง และก็เลยไม่ได้เตรียมชื่อไว้ พอคลอดนางพยาบาลมาถามว่าจะตั้งชื่อว่าอะไร ก็คิดกันไม่ออกไม่รู้เอาชื่ออะไรดี ก็เลยตั้งว่าแดงละกัน ผมก็เลยได้ชื่อนี้มาเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่อาปาจะไปแจ้งเปลี่ยนชื่อเป็นกิตติ อย่างทุกวันนี้ ซึ่งเป็นชื่อโบราณที่สมัยนั้นมีเยอะ แต่ปัจจุบันคนที่ชื่อกิตติ คงน่าจะเสียชีวิตไปเยอะแระ

แต่ทั้งนี้ที่ผมเล่ามิใช่ว่าดีใจที่ไม่ได้ชื่อแดงนะ แต่ไม่ว่าจะชื่อไหน ผมจะชื่ออะไร ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม เพราะอย่างที่บอกชื่อคือมงคลชีวิตอย่างหนึ่งซึ่งพ่อแม่เรามอบให้ อย่าไปยึดติดมากเลย เหมือนเวลารู้เพียงว่าท่านมอบให้เราด้วยความรักปรารถนาดีต่อเราเท่านั้น

ตราบเท่าทุกวันนี้ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่สำหรับอาปาอาม้า ผมก็ยังเป็นไอ้แดงของท่านทั้งสองอยู่ดี

Saturday 26 April 2008

Mobile Phone

โทรศัพท์มือถือของหนู มันดูหรูไปรึเปล่า

โนเกีย ซัมซุง อิริคสัน ไอโมบาย เรื่อยไปจนถึงไอโฟน โอ๊ย!!!! ช่างตัดสินใจเสียยากยิ่งกระไร ว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ของผม/หนูควรจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ทันสมัยภายใต้แบรนด์หรือยี่ห้อใดดี ที่จะทำให้สะดุดตาทุกครั้งที่เห็น สะดุดหูทุกทีที่มีเสียงโทรเข้าดัง แถมสะดุดกระเป๋าสตางค์ที่จะใช้ควักจ่ายเพื่อแลกกับกรรมสิทธิ์ที่จะได้มา?????

เกิดคำถามและข้อสงสัยมากมายขึ้นในใจทุกครั้งในการที่จะซื้อมือถือมาเป็นเจ้าของสักเครื่อง โดยเฉพาะกับบรรดานักเรียนไต่ระดับขึ้นมาตั้งแต่อนุบาลสอง ครั้งเมื่อเริ่มเรียกชื่อเพื่อนในห้องนอนตอนหลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เด็กประถมที่ต้องใช้โทรถามเพื่อนๆ ว่าพรุ่งนี้ตกลงต้องใส่ชุดลูกเสือไหม พรุ่งนี้วิชาพละมีสอบเหรอ จนกระทั่งถึงระดับมัธยมที่มักจะใช้โทรนัดกันไปกินหมูกระทะสุดสัปดาห์ โทรศัพท์มือถือจึงกลายเป็นปัจจัยในชีวิตประจำวันอีกประการหนึ่งที่ทุกคนต่างมุ่งหวังสักครั้งที่จะเอามาเป็นเจ้าของ แต่น้องๆ รู้ไหมว่าตามกฎหมายการขอเงินพ่อแม่ไปซื้อโทรศัพท์มือถือเองนั้น มันสามารถทำได้จริงๆเหรอ

สำหรับประเด็นการซื้อโทรศัพท์มือถือของน้องๆ นักเรียนทั้งหมายนั้น มีเรื่องที่น่าคิดอยู่หลายประการด้วยกัน

คือประการที่หนึ่ง น้องๆนักเรียน โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะซื้อโทรศัพท์มือถือหรือยัง

ประเด็นที่สอง น้องๆ นักเรียนสามารถทำสัญญาซื้อขายได้เพียงใด

ประเด็นที่สาม โทรศัพท์มือถือเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นต้องมีไว้เป็นเจ้าของสักปานใด

ประเด็นที่สี่ หากอยากซื้อโทรศัพท์ต้องทำอย่างไร

ประการที่หนึ่ง น้องๆนักเรียน โตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะซื้อโทรศัพท์มือถือหรือยัง
ตามกฎหมายนั้นเด็กๆทุกคนที่เกิดขึ้นมาและยังมีอายุไม่ถึงยี่สิบปีบริบูรณ์ (คือยังไม่ครบรอบวันเกิดปีที่ยี่สิบ) ดังนั้นแม้ว่าเด็กนั้นจะร่างกายกำยำสูง ต่ำ ดำ ขาวสักปานใด ตามกฎหมายก็ยังถือว่าเป็นผู้เยาว์อยู่ดี การเป็นผู้เยาว์จะหมายความว่าอย่างไรนั้น เรามาลองดูกัน ตามกฎหมายไทย ถือว่าผู้เยาว์นั้นเป็นผู้เยาว์วัย เยาว์ประสบการณ์ คือไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจ ไม่รู้เท่าทันคน และไม่รู้เท่าทันโจร หรือยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เพียงพอที่จะดูแลตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือยังไม่สามารถรับผิดชอบต่อตัวเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

ประเด็นที่สอง น้องๆ นักเรียนสามารถทำสัญญาซื้อขายได้เพียงใดกฎหมายจึงกำหนดว่าการที่ผู้เยาว์จะไปทำสัญญาซื้อของ ขายของอะไรทั้งหมายนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน (ในที่นี้ก็คือพ่อ แม่ หรือผู้อุปการะเลี้ยงดู) ถึงจะทำได้ เว้นเสียแต่ว่าเป็นสัญญาที่ทำไปเพื่อดำรงชีพ เช่น ซื้อข้าว ซื้อน้ำ ซื้อก๋วยเตี๋ยว เป็นการทำสัญญาที่ทำไปสมตามฐานะ เช่น เด็กมัธยมคิดจะซื้อรองเท้าผ้าใบ ซื้อเสื้อผ้า หรือกระเป๋าที่ราคาพอสมควร ก็พอที่จะทำได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากพ่อแม่ แต่อย่างใดแต่หากเราประสงค์จะทำสัญญาซื้อของสักชิ้นที่มีราคาสูง หรือเกินความจำเป็นในการดำรงชีวิตนั้น ตามกฎหมายเราต้องขอพ่อแม่ก่อน ถ้าพ่อแม่อนุญาตก็ซื้อได้ หรือให้ดีพาพ่อแม่ไปซื้อด้วยเลยยิ่งดี จะได้ไม่ต้องเสียเงินเอง

ประเด็นที่สาม โทรศัพท์มือถือเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นต้องมีไว้เป็นเจ้าของสักปานใดโทรศัพท์มือถือปัจจุบันมีราคา ตั้งแต่พันต้นๆ จนถึงหลายหมื่นบาท สุดแต่ว่าเทคโนโลยีนั้นจะล้ำหน้าเพียงใด ว่าแต่โทรศัพท์มือถือนั้นสำคัญในการดำรงชีวิตในปัจจุบันเพียงใด สำหรับประเด็นนี้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล บางคนจำเป็นต้องติดต่อสื่อสารจริงๆ บางคนมีไว้พอเท่านั้นเพราะไม่ได้เติมเงิน เอาไว้รับอย่างเดียว แต่บางเครื่องมีแต่เครื่องอย่างเดียว เพราะยังไม่มีเงินซื้อซิม ดังนั้นการตัดสินใจเรื่องความจำเป็นนี้คงต้องพิจารณาการใช้ประโยชน์ของแต่ละคนเป็นสำคัญ

ประเด็นที่สี่ หากอยากซื้อโทรศัพท์ต้องทำอย่างไรหากโทรศัพท์สำคัญในการดำรงชีวิตของเรา การจะซื้อโทรศัพท์สักเครื่อง จะเป็นไปได้เพียงใด ในเรื่องนี้กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนในเรื่องการซื้อโทรศัพท์ หากแต่กำหนดไว้กว้างๆว่า หากผู้เยาว์จะซื้อทรัพย์สินใดที่เกินฐานะของผู้เยาว์แล้ว ไม่ว่าด้วยราคา หรือการใช้ประโยชน์ ผู้เยาว์ก็ต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อนซื้อ เพราะหากเราไปซื้อโทรศัพท์มือถือราคาสัก สองหมื่นบาท โดยไม่บอกพ่อแม่แล้ว พอพ่อแม่รู้ในภายหลังพ่อแม่อาจเอาโทรศัพท์ไปคืนและขอเลิกสัญญาก็ได้

ดังนั้นหากเราต้องการซื้อโทรศัพท์มือถือสักเครื่อง วิธีที่ดีที่สุดคงจะเป็นการให้พ่อแม่ซื้อให้เราจะดีกว่า ลองทำตัวดีๆ แล้วขอพ่อแม่ดูสักที พ่อแม่ก็คลจะเห็นใจซื้อให้สักเครื่อง แต่ทั้งนี้อย่าลืมเลือกรุ่นให้เหมาะกับการใช้งานของเราก็แล้วกัน อย่าลืมว่า โทรศัพท์มีไว้ก็เพื่อพูดคุยสื่อสาร การถ่ายรูปก็ต้องใช้กล้อง การเล่นอินเตอร์เน็ตก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์ มันเป็นเหคุและผลอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ยากเลยหากจะมีมือถือที่เหมาะกับการใช้ประโยชน์จริงๆ สักเครื่อง

Pub

เมื่อกล่าวถึงคำว่าพับ ไม่ใช่ผับนะพับตามความหมายในภาษาไทยแล้ว ถ้าเป็นคำกิริยาแล้ว พับคือการพับหรือทบผ้า

แต่ถ้าเป็นคำนามแล้วเป็นลักษณะนามของผ้าว่าผ้าเท่านั้นเท่านี้พับ เป็นต้น

แต่สำหรับนักกฎหมายแล้ว พับเป็นถ้อยคำทางกฎหมาย ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณแล้ว โดยพับมีความหมายว่า "บาปเคราะห์"

เอ๊ะ อย่าเพิ่งสงสัยว่ากฎหมายมาพูดถึงเรื่องบาปเรื่องเวรอะไรกัน ไม่ใช่ บาปเคราะห์ในที่นี้พูดเป็นภาษาพูดได้ง่ายๆก็คือ "ความซวย"

ดังนั้นหากพูดว่าตกเป็นพับแก่นายสมบัติ กฎหมายความว่านายสมบัติซวย เป็นต้น

ดังนั้นหากเพื่อท่านยืมเงินไป ทวงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมใช้สักที แถมยังว่าดอกไม่บ่าย ต้นตกเป็นพับ หมายความว่า ซวยทั้งขึ้นทั้งล่องแล้วดอกไม่ได้ ต้นก็ไม่คืน

ภาษากฎหมาย รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม คร้าบ

Wednesday 23 April 2008

Redcross Days

สวัสดีคร้าบทุกคน


เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสกลับบ้านอีกแล้น เพื่อไปงานกาชาดของจังหวัดอ่างทอง ทั้งนี้เหตุผลที่กลับไปก็เพราะว่าไปเป็นตากล้องให้พ่อกะแม่ เนื่องจากทั้งคู่ต้องไปร้องเพลงการกุศล

พอเลิกงานปุ๊บก็บึ่งรถกลับบ้านทันที เพื่อให้ทันงานบรรยากาศในงานกาชาดจังหวัดก็คล้ายๆ งานวัดที่ต่างจังหวัดนั่นแหละ ผู้คนมากหน้าหลายตาพากันจูงลูกจูงหลานมาเที่ยวงานกาชาด











ขนมกินเล่นบ้านๆ ธรรมดา แถวบ้านเรียก"ไข่นกกระทาทอด" แต่มันไม่ใช่ "ไข่" มาคราวนี้ก็เลยเสียเงินกินไปซะ 10 บาท











สินค้าอินเทรนด์ในงานที่มีให้เลือกกันหลายร้ายทีเดียวก็ไม่พ้นสินค้ากระแสที่ต่างจังหวัดขณะนี้ "นาฬิกาแฟชั่น" วัยรุ่นมุงดูเลือกซื้อกันเต็มที่ทีเดียว

















การเสี่ยงโชคก็ยังเป็นกิจกรรมคู่งานกาชาดเสมอ "สอยดาว" ไงคร้าบ มาคราวนี้เสียเงินซื้อไป 12 ใบ กะว่าจะได้รถก็ดี มอเตอร์ไซด์ก็ดี ปิ่นโต กระติกน้ำก็ได้ ปรากฏว่าได้ขนมมา 8 ซอง กับถ้วยน้ำพริก 4 ถ้วย

โอ๊ย!!!!!!!!!!!!! อย่างเซร็ง!!!!!!!!!!!!








จบจากการร้องเพลงของแขกผู้มีเกียรติแล้วก็กลับบ้านตามระเบียบคร้าบทู้กคน


หนุก หนุก ขำขำ ดีคร้าบ ใครมีโอกาสไปเที่ยวดูน้า จังหวัดไหนก็ได้ จะได้หวนระลึกถึงวันวานกันดูบ้าง

Monday 21 April 2008

Drunk

พูดถึงเรื่องเมาแล้ว ในที่นี้ไม่ใช่เมาเหล้าหรือว่าเมารัก!!!



แต่ว่ามันคือเมารถ



ตั้งแตเด็กผมเป็นโรคเมารถเสมอๆ รถที่ผมขึ้นแล้วไม่เมาก็คือรถแท็กซี่ นอกนั้นรถยนต์ทุกคันเมามันหมด



รถยนต์ที่สุดยอดก็คือ รถเปอร์โยต์ 505 สีนำเงินของอาปานั่นเอง ขึ้นทีไรอ้วกทุกทีสิพับผ่า!!



เบาะหนัง กลิ่นสุดยอดมากๆ


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความทรงจำในวัยเด็กเกี่ยวกับรถยนต์ของอาปา ไม่เฉพาะแต่เปอร์โยต์สำหรับผม แต่รวมถึงรถคันอื่นๆ ที่อาปาอาม้าซื้อมาเป็นกรรมสิทธิ์ มันไม่ใช่การเมารถ หรือกลิ่นเบาะของรถที่ทำให้ผมอ้วก



แต่มันคือ เรื่องที่อาปาอาม้าเล่าว่า "ครั้งหนึ่งผมไม่สบายมาก อาปาอาม้าต้องพาผมเข้ากรุงเทพเพื่อไปโรงพยาบาลหัวเฉียวตอนดึก แต่ไม่มีใครให้ยืมรถเลย ทำให้ไม่มีรถเพื่อพาผมส่งโรงพยาบาล นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาอาปาอาม้าจึงตัดสินใจซื้อรถเพื่อใช้ในยามที่มีความจำเป็น"

โดยคันแรกอาปาอาม้าตัดสินใจซื้อคือรถโตโยต้า Crown สีทอง รถ DATSUN สีเหลือง และรถเปอร์โยต์ตามลำดับ เพื่อเป็นพาหนะในยามที่ครอบครัวเรามีความจำเป็นต้องเดินทาง และรถยนต์เหล่านี้ทำให้ครอบครัวเราไปเที่ยวกันทุกวันตรุษจีนอย่างมีความสุข ตั้งแต่เด็กเป็นต้นมา



ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าความทรงจำในเรื่องรถของผมนั้น มันก็ผูกอยู่กับการดูแลเอาใจใส่เลี้ยงลูกอย่างดีของอาปาอาม้าอีกเช่นกัน

Rice Porridge

ตอนเด็กๆ อาทิตย์ไหนที่กลับบ้าน แล้วตรงกับที่อาปาต้องเข้ามาซื้อของในกรุงเทพ อาปาก็จะขับรถเข้ามาตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ เพื่อตอนเช้าจะพาพวกเราไปส่งตามโรงเรียนกัน ดังนั้นอาทิตย์ไหนที่อาปาจะเข้ามาส่ง เราก็จะดีใจ เพราะว่ากว่าจะออกจากบ้านก็เย็นๆ ไม่ต้องรีบกลับมาก

อาปาจะมานอนค้างคืนอยู่ด้วยกับพวกเรา ก่อนที่จะปลุกให้พวกเราลุกกันตั้งแต่เช้า เพื่อจะพาพวกเราไปกินโจ๊กก่อนที่จะไปส่งที่โรงเรียน

ร้านโจ๊กที่ไปกินกันบ่อยที่สุดก็คือร้านโจ๊กที่ราชวงศ์ ถนนที่ไปที่ท่าน้ำราชวงศ์ รองลงมาก็ที่สามย่าน แล้วก็ที่ยศเสก่อนถึงโรงเรียนเทพศิรินทร์

อาปาจะพาไปกินแล้วจะเริ่มขับรถวนส่งตามโรงเรียนต่างๆ ตอนผมยังอยู่สีตบุตรก็เริ่มจากโรงเรียนสีตบุตรบำรุง
โรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม และเทพศิรินทร์ จนกระทั่งผมเข้ามาเรียนที่เทพศิรินทร์ ก็เลยทุ่นแรงหน่อยเพราะว่าส่งแค่สองที่เอง

แต่ขอบอกว่าตอนเด็กๆ นั้นโจ๊กเลยกลายเป็นอาหารที่ผมไม่ชอบมาก เพราะต้องตื่นเช้าขึ้นมากิน แต่จะว่าไป ถ้าวันนั้นอาปาไม่ขยันขับรถรับส่งและพาพวกเราไปกินโจ๊กทุกครั้งที่มีโอกาส ก่อนพาพวกเราไปส่งตามโรงเรียน ประสบการณ์เหล่านี้คงไม่ฝังอยู่ในความทรงจำอันดีของเรา เพราะ"สิ่งที่ฝังอยู่ในความทรงจำของผมไม่ใช่เรื่องโจ๊ก แต่เป็นเรื่องการดูแลและเอาใจใส่พวกเราเป็นอย่างดีของอาปาต่างหาก"


Delay Again

โอ๊ย!!!!! เครียด!!!!!!!!เรื่องเรียนอีกแล้ว วันนี้เพิ่งรับแจ้งว่าผลของสวีเดน เลื่อนอีกแล้ว


จากเดิม 17 เมษายน เลื่อนเป็น 29 เมษายน ตอนนี้เลื่อนอีกแล้ว เป็นวันที่ 8 พฤษภาคม โอ๊ย..........


กระทบตารางไปหมดเลย ไหนจะต้องทำเรื่องเอกสารต่างๆ ไหนจะเรื่องวีซ่า ที่พัก ฯลฯตอนนี้เลยเอารูปมหาวิทยาลัยลุนด์ที่สวีเดนมาให้ดูพลางๆ ไปก่อน


นี่เป็นรูปคณะนิติศาสตร์คร้าบ ดูขลังมั๊ย

อีกรูปนี่เป็นตึกอะไรก็ไม่รู้
เห็นว่าสวยดีก็เลยเอามาลงไปงั้น









ถ้ามีโอกาสได้ไปเรียนแล้วก็จะไปสืบหามาบอกให้ละกันน้าเพราะฉะนั้นช่วงนี้ถ้าผมหายหน้าหายตาไปก็ไม่ต้องสงสัยเลย เพราะว่าต้องไปเร่งทำเรื่องเกี่ยวกับวีซ่าไว้ก่อนของทั้งสองประเทศคือ อังกฤษ(ต้องการหลักฐานเยอะมาก) กับสวีเดน (ซึ่งผลยังเลื่อนอยู่เลย) ก็หวังว่าคงจะไม่มีการเลื่อนอีกนะ ไม่อย่างนั้นทำเรื่องต่างๆ ไม่ทันแน่นอนT_T


T_T

Thursday 17 April 2008

The Mirror

บางคนคิดว่า การเข้ามาเรียนกรุงเทพฯของเด็กต่างจังหวัดเป็นเรื่องดี เพราะว่าจะทำให้เราเข้มแข็ง และโตเป็นผู้ใหญ่ รู้จักช่วยตัวเอง

ความคิดนี้ไม่ได้ผิดไปหรอก มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมจะเป็นกระจกเงาสะท้อนให้ฟังครับว่า.....

การที่ผมมาเรียนในกรุงเทพฯตั้งแต่เด็ก มันทำให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่ กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง ตั้งแต่เด็ก
  • ผมตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เอง โดยบางส่วนก็ปรึกษาพี่ชาย พี่สาว หรือลูกพี่ลูกน้องที่มาพักอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ
  • ผมสามารถจัดการเรื่องอาหารการกิน จ่ายตลาด ทำกับข้าวเองตั้งแต่เด็ก
  • ผมสามารถเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดคนเดียวได้ตั้งแต่อายุ 13 ขวบ (หลายคนอาจคิดว่าก็ไมเห็นจะยากเลย แต่ผมจะเล่าให้ฟังถึงขั้นตอนการกลับบ้านของผมมีดังนี้
  1. ต้องเดินจากบ้านพักไปที่สถานีรถไฟ หัวลำโพง
  2. โดยสารรถไฟสายเหนือ หรือสายอีสานจากหัวลำโพง ไปลงที่สถานีอยุธยา
  3. เดินจากสถานีรถไฟอยุธยา ไปนั่งเรือข้ามแม่น้ำป่าสัก
  4. ขึ้นฝั่งเดินจากท่าเรือ ไปที่สถานีรถที่เจ้าพรหม
  5. โดยสารรถจากหน้าเจ้าพรหม อยุธยา ไปยังสถานีรถที่ป่าโมก
  6. ลงที่สถานีรถที่ป่าโมก โดยสารเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
  7. ขึ้นจากเรือเดินเท้าต่อไปยังบ้านผม

นั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำตั้งแต่เด็กเมื่ออยากกลับบ้าน

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมโตขึ้น มากกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ซึ่งผม"ไม่ปฏิเสธ"

แต่มีหลายสิ่งที่ผมขาดไป ไม่เหมือนเด็กทั่วไป

  • ผมขาดการพูดคุย เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้พ่อแม่ฟังทุกเย็น
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้สวัสดีพ่อแม่ทุกเช่าก่อนไปโรงเรียน และทุกเย็นเมื่อกลับบ้าน
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสไปเที่ยวที่ไหนกับพ่อแม่นอกจากทุกวันตรุษจีน
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสกอดพ่อแม่เหมือนคนอื่นๆในวัยเดียวกัน
  • ผมไม่ค่อยมีโอกาสปรึกษา เรื่องต่างๆ จากพ่อแม่

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น

"ผมไม่เคยขาดความอบอุ่นจากอาปาและอาม้า หรือน้อยใจว่าไม่ได้มีโอกาสดีๆเหมือนคนอื่นๆ อาปาอาม้าไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมขาดหายไปนั้นมันไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ผมได้มา"

ผมแค่อยากบอกว่า "ผมรักอาปากับอาม้ามากครับ"

Farewell

การจากลานั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ค่อยชอบ

ชีวิตพบต้องเผชิญกับการจากมาตั้งแต่เด็ก เมื่อผมอายุได้สิบขวบผมก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ

ไม่ผิดหรอกครับ ผมตัดสินใจเอง

อาปา อาม้า เป็นคนที่มองหาอนาคตให้ลูกๆ เสมอ ทั้งสองคนเรียนมาน้อย (อาปาจบป.6 อาม้าจบแค่ ป.4) แต่ทั้งสองคนให้การสนับสนุนด้านการเรียนแก่ลูกๆ เป็นอย่างมาก ทั้งสองท่านอยากให้ลูกๆได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ที่มากกว่าโรงเรียนประจำเทศบาลที่พวกเราเข้าเรียนกันมาตั้งแต่เด็ก (โรงเรียนเทศบาลวัดป่าโมกข์) ดังนั้นพอพี่สาวผมอายุ 12 ขวบ ก็มาเข้าเรียนที่โรงเรียนประตูชัย ในจังหวัดอยุธยาชั้น ป.5 เช่นเดียวกันกับพี่ชายผม แต่เมื่อเรียนจบประถมศึกษาก็พยายามที่จะให้ลูกๆ ได้เรียนในกรุงเทพฯ โดยได้เข้าหุ้นกับญาติๆ เช่าตึกแถว แถวๆ หัวลำโพงไว้ห้องนึง เพื่อให้ลูกหลานเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ พี่สาวและพี่ชายผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ในระดับมัธยมศึกษา โดยพี่สาวเรียนที่โรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม พี่ชายเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์

แต่กับผมซึ่งเป็นลูกคนเล็กและอายุน้อยกว่าคนอื่น อาปาอาม้ากลับส่งให้มาเรียนที่ประตูชัย อยุธยาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ (ป.3) พออายุ 12 ขวบ ขึ้นชั้น ป.5 อาปาอาม้าก็ส่งผมมาเรียนในกรุงเทพฯ โรงเรียนสีตบุตรบำรุง แล้วก็เข้าโรงเรียนเทพศิรินทร์ตามพี่ชายผม

ตอนแรกอาม้าก็ยังไม่อยากให้ผมเข้ามากรุงเทพฯ สักเท่าไหร่ ต้องตัดสินใจว่าจะให้ผมมาเข้าเรียนตั้งแต่ ป.5 หรือควรรอจนเข้า ม.1 ก่อน อาม้าจึงมาถามความเห็นจากผมในขณะนั้นซึ่งอายุ 11 ขวบกว่าๆ ว่าต้องการแบบไหน อยากจะจากอาปาอาม้ามาตั้งแต่ตอนนี้ หรือว่าจะรออีก 2 ปีตอนเข้าม.1

ผมจำได้ว่าผมตอบอาม้าไปว่า "จะจากกันปีนี้หรืออีกสองปี ก็ต้องจากเหมือนกัน ดังนั้นผมจะไปตั้งแต่ปีนี้เลยแล้วกัน" ท่านทั้งสองก็เลยตัดสินใจให้ผมมาเรียนกรุงเทพฯตั้งแต่ตอน ป.5

ผมยังจำวันนั้นได้ดี กระทั่งมาเรียนกรุงเทพฯ ทุกครั้งที่กลับบ้านผมจะดีใจมากและในเย็นวันอาทิตย์ เวลา 4 โมงเย็นผมต้องกลับมากรุงเทพฯ เพื่อขึ้นรถไฟตอน 6 โมงเย็น ผมจะเข้าไปอาบน้ำและร้องไห้ในห้องน้ำทุกครั้งไป จนเรียกได้ว่าผมชินกับการจากลามาตั้งแต่เด็กก็ว่าได้

I'm Back

สวัสดีคร้าบทู้กคนยินดีต้อนรับทุกคนกลับสู่โลกแห่งความจริงที่ต้องทำงานกันตามเวลา หลังจากหยุดพักผ่อนกับเทศกาลมหาศาลวันหยุดที่อาจทำให้ต่อเนื่องได้นานกว่าครึ่งเดือนที่ผ่านมา


สำหรับผมหลังจากเทศกาลมหาหยุดผ่านพ้นไป วันนี้ก็เป็นวันแรกที่ผมต้องกลับมาทำงานสักที ทั้งนี้เพราะว่าตั้งแต่ผ่าเท้าเมื่อวันที่ 1 เมษายน เป็นต้นมาผมก็ไม่ค่อยได้เข้ามาทำงานเลย รู้สึกว่าจะมาแค่ 2 วันเห็นจะได้


สงกรานต์ที่ผ่านมา หลายคนคงจะได้ไปสาดน้ำตู้มๆ กัน หรือปะแป้งเผียะๆ สนุกสนานร่าเริงแต่จนแล้วจนรอด กระทั่งตอนนี้เท้าของผมก็ยังคงไม่หายเป็นปกติเลย เวลาเดินยังคงกระเผลกอยู่บ้าง และยังคงเจ็บเล็กน้อยเวลาเดินเลยทำให้ลงน้ำหนักได้ไม่เต็มเท้าเท่าไหร่ ยังคงต้องทำแผลไปเรื่อยๆ คาดว่าปลายเดือนนี้ก็คงจะโอเคแล้ว


ดังนั้นผมต้องอดทุกสถานการณ์เพราะว่าแผลที่ผ่าตาปลามายังคงแผลงฤทธิ์อยู่ คาดว่ากว่าจะสิ้นฤทธิ์ก็คงใกล้สิ้นเดือนนี้ทีเดียวสงกรานต์ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีโปรกแกรมไปลั้นลาที่ไหน ดังนั้นก็เลยตกลงกับตัวเองว่าต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ไปป๊ะหน้าพ่อแม่สักครา ดังนั้นจึงไม่รอช้าจับรถเร็วจี๋ 1.2 กิโลเมตรต่อนาที มุ่งหน้าสู่อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง แล้วก็ไปค้างอยู่บ้านสักสองคืน แล้วก็รีบชิงกลับมาบ้านก่อนที่ชาวบ้านเขาจะกลับกันมา


ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว เมื่อเอ่ยถึงอำเภอป่าโมกบ้านผม ก็เลยจะมาแนะนำสักหน่อย ผมเกิดที่นี่แหละ โตที่นี่จนกระทั่งย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพตอน ป.5 สักสิบขวบเห็นจะได้


เดิมเรียกตำบลป่าโมกว่าบ้านป่าโมก เพราะว่ามีต้นโมกจำนวนมากในเขตตำบลป่าโมก ต่อมามีการเปลี่ยนระบบการปกครองบ้านป่าโมก จึงยกฐานะเป็นอำเภอป่าโมก










ถ้าใครผ่านมาแถบนี้อย่าลืมแวะมาเที่ยวกันได้นะ แต่ที่เที่ยวส่วนมากจะเป็นวัดน่ะสิ


แต่ก็ดีจะได้ทำบุญกัน


โอ้ยวันนี้หมดเวลาสนุกแล้วสิ เด๋วค่อยมาเล่ากันต่อวันหลังนะครับ


ลาก่อนคร้าบ


Hello,
Welcome back to the real world!!
For Songkran weekend, I did not have any LULLA programme, so I went back to my hometown 'Pamok' and stayed there with my parents for 3 days.

Tuesday 15 April 2008

Childhood Activities

กิจกรรมยามว่างของเด็กในเมืองปัจจุบัน มักจะเสียไปกับการเล่นเกมส์ การเดินซื้อเสื้อผ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แต่กับเด็กในสมัยผม ชีวิตในวัยเด็กมักจะเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมที่น่ากิ๊วก๊าวในสมัยนั้น หลายอย่างทีเดียว
  1. การจับแมลงปอ สำหรับผมแล้วการจับแมลงปอเป็นกิจกรรมจำพวก most favorite ทีเดียว เวลาเริ่มเข้าหน้าหนาว แมลงปอก็จะพากันออกมาโบยบินในทุ่งหญ้า เด็กๆ ก็จะจัดทำอุปกรณืง่ายๆ สำหรับจับแมลงปอ ประกอบด้วยไม้เหลายาวๆ สัก 2-3 เมตร ถุงพลาสติก และหนังยาง นำถุงพลาสติกผูกเข้าที่ปลายไม้ด้วยหนังยาง เสร็จแล้วก็ดำเนินกิจกรรมได้ แมลงปอหลากสี หลายลาย ทั้งแมลงปอเหลือง แมลงปอแดง แมลงดำ แมลงปอส้ม แมลงปอเขียว แมลงปอเสือ รวมไปถึงแมลงปอเข็ม
  2. การตกปลา ตกปลาเป็นกิจกรรมยามว่างที่ฝึกสมาธิดีสุดๆ เพราะการนั่งรอว่าต้องกระตุกเบ็ดเมื่อปลาตอดเหยื่อ ต้องอาศัยเวลามากพอควร แต่ใครๆ มักบอกว่าผมทำบาปขึ้น เพราะว่าผมมักตกปลาได้เยอะกว่าคนอื่นๆ เสมอ สมัยเด็กผมต้องนั่งเฝ้าปั๊มน้ำมัน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับคลองส่งน้ำชลประทาน ดังนั้นจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการตกปลาเป็นกิจกรรมประจำวันทีเดียว สำหรับเบ็ดก็ง่ายมาก ต้องการเพียงไม้คัดเบ็ดซึ่งเหลาทีเดียวใช้ได้ทั้งตกปลาและจับแมลงปอ เส้นเอ็น เบ็ด ตะกั่ว ทุ่น แล้วก็เหยื่อ ดีที่ข้างปั๊มน้ำมันผมทำสวนดอกได้ด้วย ดังนั้น ไม่ยากเลยสำหรับเหยื่อก็ไส้เดือนที่ขุดได้ตัวนึงแบ่งได้ก็เป็นสิบชิ้นแล้ว
  3. การเลี้ยงแมลงทับ การเลี้ยงแมลงทับเป็นกิจกรรมที่อินเทรนด์สุดๆ ในสมัยนั้น เริ่มด้วยต้องเข้าสวนไปหาแมลงทับตัวผู้กับตัวเมียสักคู่นึง เอามาเลี้ยง แต่ไม่อยากเล่าสักเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่โหดร้ายมาก เอาไว้ว่างๆ จะเล่ารายละเอียดอีกที
  4. การเล่นว่าว เป็นกิจกรรมของครอบครัว เพราะอาปามักพาพวกเราไปเล่นว่าวที่หาดทรายบริเวณตีนท่า แม่น้ำเจ้าพระยาเสมอๆ ผมมักเล่นว่าวงูกับว่าวจุฬา เพราะว่าอาปามักจัดหาให้แค่สองอย่างนี้
  5. เล่นน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยเหตุที่บ้านผมอยู่ติดแม่น้ำ ดังนั้นการเล่นน้ำในแม่น้ำจึงเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ทุกวัน กิจกรรมนี้จึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ผมโปรดปราน
  6. พายเรือ ทุกปีในหน้าน้ำ ประมาณเดือนกันยายน ถึง พฤศจิกายน ที่ป่าโมกจะน้ำท่วม ดังนั้นทุกบ้านต้องอาศัยเรือในการเดินทางแทนรถ ดังนั้นเด็กทุกคนจะถูกหัดให้พายเรือเป็นตั้งแต่เด็ก ก็คงไม่ต่างกับการสอนให้เด็กขี่รถจักรยานสักเท่าไหร่

กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมเท่าที่ผมคิดออกในตอนนี้ เป็นความทรงจำดีๆ ในชีวิตผมตั้งแต่เยาว์วัย

Saturday 12 April 2008

Let's take care them

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณเมื่อปี พ.ศ.2532 ขณะที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่สอง โรงเรียนเทพศิรินทร์ ผมได้มีโอกาสไปงานศพคุณแม่ของอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมเคารพ (ขออนุญาตเอ่ยชื่อ "อาจารย์มาลี")

ณ งานศพวันนั้น อาจารย์บอกกับพวกเราว่า อาจารย์ทำใจเรื่องคุณแม่ได้แล้ว ดีใจที่ตลอดระยะเวลาที่ท่านมีชีวิต อาจารย์ได้ดูแลท่านเป็นอย่างดี เต็มกำลังแล้ว

อาจารย์จึงหันมาบอกย้ำกับพวกเราว่า "จะทำอะไรให้พ่อแม่เราก็ต้องรีบทำตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ เมื่อท่านจากไปแล้ว ต่อให้ทำบุญ กรวดน้ำ เผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้มากมาย ก็ไม่รู้ว่าท่านจะได้รับ หรือไม่ แต่ทำตอนที่ท่านมีชีวิตนี้ ท่านรับรู้และด้รับอย่างแน่นอน อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์"

ถ้าอาจารย์มาลีได้บังเอิญอ่านพบข้อเขียนนี้ ผมอยากบอกอาจารย์ว่า "ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เลยครับ"

Name

เคยถามอาม้า ว่าทำไมถึงตั้งชื่อผมว่ากิตติ อาม้าตอบว่า

"ก็มันมีอยู่ 3 ชื่อ คือ กิตติ กิจจา และกีรติ ก็อยากให้ชื่อกิตติ ก็เลยเลือกกิตติ"

อันที่จริงก็คือว่าผมน่ะเกิดวันจันทร์ ดังนั้นเขาว่ากันว่าชื่อไม่ควรมีสระ ควรมีแต่พยัญชนะล้วนจึงจะดี ไม่เป็นกาลกินี แต่นี่เล่มมีสระอิตั้งสองตัว ถือว่าเป็นกาลกินีเบิ้ลเลย

แต่สำหรับผม ผมคิดว่าตอนอาปา อาม้าเลือกชื่อนี้ให้ผม คงไม่ได้เพราะต้องการให้มีความเป็นกาลกินีกับตัวผม แต่ในทางตรงกันข้ามต้องการที่จะให้ผมเจริญรุ่งเรืองมากกว่า ดังนั้น ผมจึงภูมิใจในชื่อนี้มาก แม้ว่าใครจะหาว่ามันเชย หรือมีกาลกินี แต่สำหรับผมสิ่งนี้ถือเป็นหนึ่งในมงคลชีวิตของผม

Friday 11 April 2008

Happy Songkran Day

สุดสัปดาห์นี้แล้วก็เข้าเทศกาลมหาสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ไทยแล้วนะคร้าบ

ใครไปเที่ยวไหนกันก็เที่ยวเผื่อๆกันด้วยนะ เพราะว่าหมอห้ามมิให้แผลโดนน้ำ ดังนั้นเท่ากับว่าอดไปโดยปริยาย

วันโอกาสวันสงกรานต์นี้ ก็ขอให้ทุกคนมีความสุข ชีวิตสดใสเย็นซาบซ่าเสมือนว่าถูกสาดน้ำตลอดปี แอนด์ตลอดไปนะคร้าบ

แต่อย่าลืมนะว่านอกจากเป็นวันสงกรานต์แล้วยังเป็นวันผู้สูงอายุ และวันครอบครัวด้วย ดังนั้นตื่นแต่เช้ามาใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวในวันหยุดกันนะทู้กคน

Hi every body! The Songkran days are coming!!!!

Does every body have any plan for this Songkran Weekend?

I am still take care of my wound, so just only stay home and maybe go back to my hometown 'Pamok'.

Don't forget that this 13 -14 April are family and elderly person days as well.

Thursday 10 April 2008

Furniture polish

การเลือกผู้หญิงที่ดีมาเป็นศรีภรรยานั้น อาม้าสอนไว้หลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือดูที่ลิปสติก หรือรู้จ แต่อีกอย่างให้ดูการบิด"ผ้าขี้ริ้ว" (Furniture Polish)

หลายคนอาจสงสัยกันว่าทำไม

หากท่านเคยเช็ดถูอะไรอยู่บ้าง จะพบได้ว่าการถูโต๊ะ หรือสิ่งของต่างๆ โดยผ้าขี้ริ้วนั้น หากผ้าบิดไม่หมาดมากๆ จะทำให้สิ่งของนั้นๆ เป็นรอย

ดังนั้น"การให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เช่นเดียวกันกับการบิดผ้าขี้ริ้วให้หมาดก่อนที่จะเช็ดถู"

Large Intestine

สวัสดีทู้กคน เห็นว่าหนุ่ยหายหน้าหายตาไปหลายวัน ไม่ได้หายไปไหนไกลหรอก พอดีพามารดาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธมา โดยในครั้งนี้ตรวจหลายอบ่างรวมถึงการส่องกล้องตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย พอดีเห็นว่าเป็นความรู้ใหม่ก็เลยอยากมาแชร์กัน






















สำไส้ใหญ่ มีความยาวประมาณ 1.50 เมตร กว้างประมาณ 6 เซนติเมตร แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ


ส่วนที่ 1 ซีกัม (Caecum) เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ยาวประมาณ 6.3-7.5 เซนติเมตร มีไส้ติ่ง (Appendix) ยื่นออกมาขนาดราวนิ้วก้อย (ยาวประมาณ 3 นิ้ว) เหนือท้องน้อย ทางด้านขวา ไส้ติ่งถือว่าเป็นต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง ในสัตว์กินพืชจะมีขนาดยาว ทำหน้าที่ช่วยในการย่อยอาหารในคนไม่มีประโยชน์ ถ้าอักเสบต้องรีบผ่าตัดออกโดยเร็ว


ส่วนที่ 2 โคลอน (Colon) เป็นส่วนที่ยาวที่สุด แบ่งออกเป็น 3 ส่วนย่อย คือ โคลอนส่วนขึ้น (AscendingColon) เป็นส่วนของโคลอนที่ยื่นตรงขึ้นไปเป็นแนวตั้งฉากทางด้านขวาของช่องท้อง ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร โคลอนส่วนขวาง (Transverse Colon) เป็นส่วนที่วางพาดตามแนวขวางของช่องท้องยาวประมาณ 50 เซนติเมตร โคลอนส่วนล่าง (Descending Colon) เป็นส่วนที่วิ่งตรงลงมาเป็นแนวตั้งฉากทางด้านซ้ายของช่องท้อง ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร


ส่วนที่ 3 ไส้ตรง (Rectum) เป็นส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ มีลักษณะเป็นท่อตรง ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ตรงปลายของไส้ตรงจะเป็น ทวารหนัก (Anus) โดยมีกล้ามเนื้อหูรูด 2 อัน ควบคุมการปิดเปิดของทวารหนัก กล้ามเนื้อหูรูดด้านใน ถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ ไม่อยู่ใต้บังคับของจิตใจ ส่วนกล้ามเนื้อหูรูดด้านนอกอยู่ใต้บังคับของจิตใจ และสำคัญมากในการควบคุมการปิดเปิดของทวารหนัก


โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นเนื้องงอกชนิดร้ายแรงและเป็นสาเหตุการตายที่พบบ่อยในประเทศไทย มีการศึกษาพบว่าในระยะเริ่มต้นของโรคจะมีการเพิ่มจำนวนของเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้กลายเป็นติ่งเนื้อ (Polyp) หลังจากนั้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ซึ่งใช้เวลานาน 5-10 ปี ของติ่งเนื้อจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นการตรวจหาติ่งเนื้อเพื่อตัดออกก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง


จึงเป็นหลักการสำคัญในการป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในปัจจุบันการตรวจด้วยการส่องกล้องเข้าไปในลำไส้ใหญ่ เป็นการตรวจมาตรฐานเพื่อตรวจหาติ่งเนื้อและมะเร็งลำไส้ใหญ่ อย่างไรก็ดีมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่ต้องการส่องกล้อง หรือมีข้อห้ามในการตรวจ CT Colonography จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถใช้ในการคัดกรองตรวจหาติ่งเนื้อหรือก้อนมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ โดยที่ไม่ต้องทำการใส่เครื่องมือเข้าไปในร่างกาย


ในปัจจุบันการตรวจเพื่อคัดกรองหามะเร็งลำไส้ใหญ่จะแนะนำให้เริ่มในบุคคลทั่วไปตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยทำการตรวจทุก 5-10 ปี อย่างไรก็ดีในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจจำเป็นต้องตรวจเร็วขึ้นนอกจากนี้อาการผิดปกติบางชนิด เช่น ถ่ายเป็นเลือดหรือถ่ายท้องผูกสลับท้องเสีย อาจเป็นการแสดงของโรคนี้ได้


เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาก็พาแม่ พร้อมด้วยป้าไปตรวจโดยการส่องกล้องที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ พอตรวจเสร็จขณะที่แม่ยังคงหลับอยู่ในห้องตรวจ หมอก็เรียกญาติไปคุยด้วย ตกใจเลย.....


จากการคุยกับหมอที่ส่องกล้องแม่ผม หมอบอกว่าคนสูงอายุที่ตรวจ 1 ใน 5 คน จะตรวจพบติ่งเนื้อ สำหรับวันนี้แม่กับป้าผมเข้าตรวจพร้อมกัน แล้วก็พบติ่งเนื้อด้วยทั้งคู่เลย ซึ่งติ่งนี้หากปล่อยไว้สัก 5-10 ปีจะกลายเป็นมะเร็งคร้าบ


หมอก็เลยตัดออกแล้วส่งไปพิสูจน์ชิ้นเนื้อผลล่าสุดหลังการพิสูจน์ชิ้นเนื้อ เป็นเนื้อดี ครับ ก็เลยโล่งใจทีเดียว เพราะรอผลมาสองวันดังนั้นฝากบอกเพื่อนๆ พาพ่อแม่ไปตรวจกันบ้างนะครับ เพราะเท่าที่ทราบมา มะเร็งลำไส้ใหญ่จะไม่แสดงอาการจนกระทั่งเข้าระยะที่สาม ถ้าตรวจพบในระยะแรกๆสามารถรักษาให้หายขาดได้เลย

ที่มา
1. Knowledge for Thai student http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/bangkok/phunnee_p/index_di.html

2. โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธhttp://www.vichaiyut.co.th/thai/news_detail.asp?id=76

Rouge

รู้จ (Rouge) คำๆ นี้ หลายคนที่ความรู้ภาษาฝรั่งเศสอยู่บ้างก็คงรู้ว่าแปลว่าสีแดง แต่สำหรับเด็กต่างจังหวัดแบบผม ผมรู้จักคำคำนี้มาตั้งแต่เด็กในความหมายที่ว่า รู้จก็คือลิปสติก นั่นเอง คงเพราะว่ารู้จมักมีสีแดง จึงมีการเรียกตามสีในภาษาฝรั่งเศส

บางคนอาจสงสัยว่า แล่วรู้จมันเกี่ยวอไรกับผม จะบอกว่าไม่เกี่ยวโดยตรงหรอก แต่เกี่ยวกับคำสอนของอาม้าที่มักสอนว่า

"หากเราจะเลือกผู้หญิงสักคน และจะดูว่าผู้หญิงคนนั้นมีความเป็นกุลสตรีแค่ไหน มีมารยาทและความละเอียดเรียบร้อยให้ดูที่รู้จ หรือลิปสติกที่เธอใช้ หากว่าปลายลิปสติกแหลม ถือว่าผ่าน แต่ถ้าปลายทู่ ไม่เป็นระเบียบ ก็ตกไปตามระเบียบ"

Preparation

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงกับผม แต่อาม้าเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง

สมัยก่อนยังไม่มีน้ำประปา การจะมีน้ำไว้อาบนั้นจะต้องไปตักน้ำจากบ่อ มาใส่ตุ่มไว้ที่ห้องน้ำ โดยมีการผลัดกันระหว่างอาม้า กับอาอี๊ (ป้า)

อาม้าเล่าว่า ตอนที่เป็นเวรอี๊ อี๊ก็จะตักจนเกือบเต็มโอ่งเหลือซัก สองถังจะเต็มโอ่ง อี๊ก็จะพอโดยให้เหตุผลว่า เดี๋ยวตักอาบน้ำก็ลดแล้ว ไม่ต้องตักให้เต็มหรอก

แต่พอถึงเวรอาม้า อาม้าจะตักน้ำจนเต็มโอ่ง แล้วยังตักจนเต็มถังมาวางข้างๆ โอ่งอีกหนึ่งถัง เพื่อเวลาอาบแล้วพอน้ำลดลงก็เอาน้ำในถังตักใส่อีกได้ โดยอาม้าบอกว่า

“เวลาทำงานอะไร ต้องทำให้เต็มที่ หรือทำให้เกินไว้ก็ยิ่งดี”

Soul mate

แทบไม่อยากจะเชื่อว่าแนวคิดเรื่อง Soul mate นั้น ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องเป็นแนวคิดของตะวันตก แต่สำหรับชาวตะวันออกแนวคิดเรื่องนี้ก็มีอยู่เช่นกัน

ผมเขียนไปครั้งหนึ่งแล้วสำหรับเรื่องคู่ครอง แต่ครั้งนี้ก็จะขอกล่าวถึงอีกครั้งหนึ่ง

มีญาติคนหนึ่งของผม บอกในขณะที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ว่า หากมีโอกาสให้หาแฟนสักคนเลย ไม่ต้องรอทีหลัง เดี๋ยวเหมือนเขา ปล่อยให้เวลาผ่านไปไม่ยอมหาแฟนตั้งแต่อยู่ในมหาวิทยาลัย จนบัดนี้ยังหาไม่ได้เลย

อาปาได้ยินญาติคนดังกล่าวถามผมเลยบอกว่า

“คนเราน่ะมันมีคู่อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องวิ่งหาความรักหรอก ถ้ามันไม่ใช่ในที่สุดแล้วก็ต้องเลิกกันอยู่ดี แต่เมื่อถึงเวลาคนคนนั้นก็จะวิ่งมาชนเราเอง”

แนวคิดนี้ไม่ต่างไปจากแนวคิดเรื่อง Soul mate เลย ดังคำกล่าวที่ผมเคยลักจำมาจากคนคนหนึ่งว่า ไม่ต้องวิ่งหาความรัก ปล่อยให้ความรักมันวิ่งหาเรา “Don’t find love, let’s love find you”

Food

สำหรับคนเชื้อสายจีนนั้น มีแนวคิดประการหนึ่งในการที่จะให้ความสำคัญกับอาหารการกิน

ชาวจีนมีความคิดว่า การที่จะทำการใดๆ นั้น ร่างกายจะต้องสมบูรณ์ การที่ร่างกายจะสมบูรณ์ดีก็ขึ้นกับอาหารการกินที่ดี

ดังนั้น คนจีนจึงสรรหาแต่ของดีๆ มากินกันในครอบครัว

สำหรับครอบครัวผม อาปา อาม้าจะให้ความสำคัญกับอาหารการกินเช่นกัน อาปา อาม้ามักจะบอกเสมอว่า

“การใช้จ่ายเงินเพื่อกินข้าวนั้นไม่ต้องเสียดาย อยากกินอะไรก็กินไปเถอะ ไม่ต้องเสียดาย เสียเงินกินของดีๆ ดีกว่าเสียเงินเพราะการพนันและยาเสพติด”

Tuesday 8 April 2008

Marriage

เป็นที่แน่นอนว่าการมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์และมีความสุข เป็นความมุ่งหวังของทุกคน ผมก็เช่นกัน แต่ด้วยปัจจัยหลายประการทำให้ ปัจจุบันผมยังอยู่เป็นโสดอยู่เลย

เวลาไปงานปาร์ตี้ครอบครัว ญาติโยมมักถามว่า มีแฟนหรือยัง เมื่อไหร่จะแต่งงาน โอ้ย คำถามเหล่านี้มักถูกถามเป็นประจำ

กระทั่งวันหนึ่งมีญาติผมถาม ผมและอาม้า ว่าแล้วเมื่อไหร่ผมจะแต่งงานซะทีล่ะ อาม้าก็เลยตอบแทนว่า

"ดอกไม้ทุกดอก มันย่อมมีวันที่จะตูมและบานตามธรรมชาติของมัน เหมือนชีวิตคู่นั่นแหละ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปเร่งเร้าอะไรมันหรอก เมื่อถึงวันที่มันจะตูมและบานเหมือนดอกไม้ มันก็จะตูมและบานออกมาเอง"

Driving

การหัดขับรถของครอบครัวเรานั้น ล้วนมาจากฝีมือการสอนของอาปาทุกคน ทั้งลูกๆ และคนงานในบ้าน ทุกคนต่างผ่านการฝึกสอนขับรถจากอาปามาแล้วทั้งสิ้น

สำหรับผมก็เช่นกันตั้งแต่รถจักรยาน รถจักรยานยนต์ รถกระบะ รถตู้ รถยนต์ ล้วนแต่ก็มีอาปาเป็นผู้สอนให้ทั้งนั้น

การสอนขับรถยนต์ของอาปานั้น ถ้าเป็นลูกๆ แล้ว อาปาจะสอนแบบ learning by doing คือบอกทฤษฎีเล็กน้อย แล้วก็ให้เราลองขับเลย

สนามหัดขับรถก็คือสนามฟุตบอล โรงเรียนประจำอำเภอนั่นเอง ทั้งเดินหน้า เลี้ยวซ้าย-ขวา ถอยหลัง ทุกคนที่หัดขับรถกับอาปาผ่านสนามฝึกแห่งนี้มาแล้วทั้งนั้น

ผมเองฝึกหัดขับรถยนต์มาตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้น แต่จะขับเฉพาะที่ป่าโมกเท่านั้น ไม่ได้ขับในกรุงเทพฯ เพราะว่าก่อนที่จะได้ขับรถยนต์ในกรุงเทพฯ นั้น จะต้องมีการฝึกหัดกันก่อน อย่างเฮียเหนือต้องหัดขับรถยนต์ในกรุงเทพฯก่อน โดยอาปาจะเข้ามาหาที่บ้านหัวลำโพง แล้วพาออกไปหัดขับรถต์ในวันอาทิตย์ ซึ่งถนนมักจะว่างเป็นพิเศษ

สำหรับผมเอง ผมเริ่มขับรถยนต์เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2541 โดยผมไม่เคยที่จะขับรถยนต์ในกรุงเทพฯ มาก่อน แต่แล้ววันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี กระทั่งวันนี้ผมยังคงขับรถยนต์ไปทำงาน และเดินทางติดต่อโน่นนี่อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะคำสอนเพียงคำสอนในการขับรถของอาปาที่พร่ำสอนผมมาตลอดก็คือ

"การขับรถดี ขับรถเก่ง ไม่มีหรอกมีแต่ขับรถได้ หากวันใดคนขับง่วง ต่อให้ขับดีขับเก่งแค่ไหน อุบัติเหตุก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ"

Come HERE!!!!

สองวันที่ผ่านมานี้ อากาศที่บ้านน่านอนมั่กๆ ฝนตกอากาศเย็นไร้แดด การหยุดทำงานท่ามกลางอากาศแบบนี้ช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่งเสียนี่กระไร [>_<]


แต่อากาศเยี่ยงนี้เป็นโอกาสอันดีในการออกหากินของอาตั่วเฮีย ซึ่งมีที่พำนักอยู่บ้านข้างๆ ที่รู้เพื่อเมื่อวันก่อนเพื่อนบ้านข้างๆ เพิ่งมาเล่าให้ฟัง


แต่ก็นะผมเคยชินอยู่แล้วเพระก่อนนี้ก็เห็นอยู่และแล้วบรรยากาศก็พาไปดังนั้นจริงๆ


ขณะที่กำลังนอนอย่างสะบายอารมณ์ พลันได้ยินเสียงตุ้บบบแล้วก็เห็นฮ็อกกี้ หมาพันธุ์เกรตเดนไฮเปอร์ของผมกระโดดอึ๋งอั๋งๆๆ ก็เลยสงสัยเลยเดินไปดู แล้วตาผมก็ประสบกับสายตาของลูกชายตั่วเฮีย (ตัวเงินตัวทอง) เยื้องย่าง ส่วนก้นเข้ามายังอาณาเขตของบ้านผม






ตัวกำลังน่าเกลียดได้ที่ทีเดียว ก็เลยต้องบรรเลงเพลงกระทุ้งด้วยไม้ไล่มันนอกไปจากบ้านให้ได้แต่แล้ว!! เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฮ็อกกี้พังประตูเข้ามาจนเชือกที่ล่ามขาด งับคอตั่วเฮียโยนขึ้นท้องฟ้า แล้วตะปบอย่างเมามัน คาบคอสะบัดไปมา เล่นเอาเลือดกระเด็นเปรอะบ้านไปหมด แล้วมันก็คาบเอาไปไว้ในกรง


บทสรุปที่คาดการณ์ได้ง่ายดาย ตายครั้บ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะฮ็อกกี้จัดการตั่วเฮียครอบครัวนี้มา 3 ตัวแล้ว ตัวแรกยาวเกือบ 1.5 เมตร ตัวที่สองยาวประมาณ 1 เมตร และคราวนี้ยาวไม่ถึงเมตร ตัวอ้วนประมาณตุ๊กแกได้เก่งไหมคร้าบบ เจ้านาย................................................


แต่อย่างไรก็ดีพฤติกรรมเช่นนี้มันไม่ได้เป็นพฤติกรรมของหมาทุกพันธุ์ ทั้งนี้เนื่องจากตลอดเวลาการต่อสู้เคนจิ สุนัขพันธุ์โกลเดนท์ รีทรีฟเวอร์ และโคลบี้ สุนัขพันธุ์ปั๊ก กลับนอนดูอย่างสบายใจ ส่วนเฟรโด สุนัขพันธุ์ชิสุ ก็เห่าบ้างประปราย


งานนี้ก็เลยต้องขอบใจฮ็อกกี้เป็นหลัก


เก่งมาก...............................

Sunday 6 April 2008

Still can not walk normally

นี่ก็เข้าวันที่หกแล้วนะ แต่ว่าการเดินของหนุ่ยยังไม่เข้าที่เลย ยังเดินลงน้ำหนักเต็มเท้าไม่ได้เลย วันนี้ทดลองเดินดูปรากฏว่ามีเลือดซึมออกมาจากแผลซะงั้น โอ๋ย เจ็บตัวครั้งนี้คงนานกว่าจะหายเป็นปกติ ผ่าครั้งก่อนอาทิตย์นึงเนื้อก็ขึ้นเต็มแผลปิด โดนน้ำได้แล้ว นี่ครั้งนี้จะครบอาทิตย์แล้ว หลุมยังใหญ่กว่าตอนผ่าตัดครั้งแรกอีก หมอว่าครั้งนี้กว่าเนื้อจะขึ้นเต็มก็คงกินเวลาเป็นเดือน (T_T)

Friday 4 April 2008

Sleeping ZZZZZZZZ

ตั้งแต่วันอังคาร ที่ก็เข้าวันที่สี่แล้ว นับตั้งแต่ผ่าตาปลา


คะหนุ่ยอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรเล้ย ดีนะเนี่ยะที่อาทิตย์นี้มีการออดิชั่น Academy Fantasia Season 5


ดังนั้นตลอดสัปดาห์ก็ได้แต่นอนดูการออดิชั่น แล้วก็กินกินนอนนอน


อิอิเรื่องแผลตาปลาวันนี้ไปทำแผลมา แผลตื้นขึ้นแระ ตอนแรกกะว่าจะเอารูปแผลที่ผ่ามาโพสให้ดูกัน แต่ว่ามันน่ากัวววว ก็เลยเปลี่ยนใจเอาไว้โพสแต่รูปที่สวยๆงามๆ จะดีกว่า


เรื่องการเรียนของคะหนุ่ยตอนนี้ก็มีที่ University of Essex ที่ประเทศอังกฤษที่ตอบรับเข้าเรียนแล้น University of Sussex ที่อังกฤษก็รับแล้วจ้า


ตอนนี้ความหวังอีกอันคือ Lund University ที่ประเทศสวีเดน จะประกาศผลหลังสงกรานต์ ทุกคนช่วยๆ กันเป็นกำลังใจกันด้วยนะ ถ้าได้ไปสวีเดนก็ดี เพราะจะได้ไม่ต้องเสียตังค์เยอะ


Lund University


Now I am waiting for the result of acceptance from Lund University, Sweden. The result will be send on 17th April 2008. However, there are 2 Universities in England have accepted me into the programme already, LLM in International Human Right Law at University of Essex and LLM in International Criminal Law at University of Sussex


Wednesday 2 April 2008

GREEZE!!!!!!!!

วันนี้ไปทำแผลที่เมื่อวานผ่าตาปลาที่เท้ามา ดูจากอาการที่ปรากฏแล้วคิดว่าไม่น่าจะอักโขนัก.....................แต่คิดผิด

เมื่อวานนี้ตอนผ่าหมอก็ให้เรานอนคว่ำ เพราะว่าผ่าใต้เท้า แถมฉีดยาชาด้วย ไอ้เราก็เลยไม่รู้ว่าการผ่าตัดเป็นเยี่ยงไร พอวันนี้แกะแผลเท่านั้น อยากเป็นลม @%^$#$%&*^^#$@^%#$@^%^#^%&* พูดไม่เป็นภาษาแถมพูดไม่ออกเลยทีเดียว เพราะว่าแผลใหญ่กว่าครั้งที่แล้วสักเท่านึง เป็นหลุมเกือบเท่าเหรียญห้าบาทได้ เห็นแล้วไม่กล้าจินตนาการเลย น่ากลัวมั่กๆ แทบอยากจะขอให้เอายาดมมาก่อนทำแผลซะแระ สุดๆไปเลย ใครไม่เคยผ่าลองสักครั้งดิ แล้วจะจำจนตายเรย ขนาดหนุ่ยยังสองครั้งแล้วเรย อย่างอื่นนะไม่เจ็บ เจ็บก็อีตอนฉีดยาชาเนี่ยะแหละ เป็นไปได้อยากให้บล็อกหลังหรือวางยาสลบไปเลยสิ้นเรื่องสิ้นราว แต่กลัวว่าบอกไปหมอจะเอาถาดใส่มีดขว้างเอาซะน่ะสิ

พยาบาลที่ทำแผลวันนี้เป็นพยาบาลสาวในร่างชาย พอเห็นแผลแทนที่จะพูดจาดีๆ ดันบอกมาได้
"อุ๊ย ทำไมแผลใหญ่จัง!! ไม่เคยเห็นแผลใหญ่ขนาดนี้เลย!! หลุมใหญ่มาก!! น่ากลัวมั่กๆ!! อุ๊ยเลือดยังไหลอยู่เลย.....บลา..บลา...บลา... พูดเพื่อ????? เล่นเอาใจแป้วเรย

อย่างไรก็ดี เอาเป็นว่าภาวนาให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน ชาตินี้อย่าได้ต้องมาผ่าอีกซ้ำแผลเดิมอีกเลย แผลใหม่ก็ไม่เอาแล้ว สาธุ้ สาธุ

After the operation yesterday, today I go to the hospital again for cleaning my wound. It's very terrible; it's too big, bigger than the first operation. Its size is about a 5 ฿ coin.

Can't tell anybody!!!!! T-T

Wheelchair Wanted

ผ่านไปแล้วการผ่าตัด.................................

หลังจากเมื่อวานคะหนุ่ยได้เข้าผ่าตัดตาปลาที่เท้า ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยแล้น การผ่าตัดครั้งนี้ก็เหมือนเดิมอีกแระ คือการฉีดยาชาเจ็บมากส์ หมอบอกว่าการผ่าครั้งนี้ต้องผ่าให้กว้างขึ้นกินพื้นที่ทั้งแผลเก่าและแผลใหม่ พอผ่าเสร็จปวดเอาการทีเดียว wheeelchair ถูกจัดหามารอรับกันเลยทีเดียว..............




The Ta-Pla operation passed; everthing was okay. In the same way as the former operation, the injection was very bad. After the operation, the wheelchair were provided for me @@@@@@..........

Tuesday 1 April 2008

Operating Ta-Pla

วันนี้เป็นวันที่จะต้องไปผ่าตัดตาปลาอีกรอบแล้ว!!!!

หลังจากคราวที่แล้วผ่าไปเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2551 แต่ว่าตาปลาที่ใต้ฝ่าเท้ามันใหญ่มากก็เลยต้องไปผ่าอีกรอบนึง

เกิดจากสาเหตุอะไร?
หลายคนที่รู้ว่าไปผ่าตาปลาใต้ฝ่าเท้ามามักถามกันว่า แล้วมันเกิดขึ้นมาจากสาเหตุอะไรล่ะ จากที่ได้คุยกับหมอมาบ้าง หมออธิบายว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากพฤติกรรมปกติในชีวิตประจำวัน เช่น การใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะกับสรีระของเท้า ทำให้เกิดการบีบรัดหน้าเท้ามากเกินไป เวลาเดินก็จะเกิดจุดกดทับ หรือไม่ก็การออกกำลังกายและลงนำหนักที่จุดกดทับนั้นบ่อย ก็ล้วนแต่เป็นสาเหตุทั้งสิ้น

อาการเป็นอย่างไร?
อาการของตาปลาให้ฝ่าเท้า คือจะมีไตแข็งๆให้ฝ่าเท้า เมื่อเดินกดทับแล้วจะรู้สึกเจ็บ เหมือนเวลาเหยียบหิน โดยเฉพาะหากเดินมากๆ ก็จะระบมอักเสบเป็นวงกว้าง ทำให้มีปัญหามาก

แล้วรักษาอย่างไร?
วิธีการรักษาตาปลามีหลายวิธี หากตาปลายเกิดขึ้นบริเวณที่ไม่ถูกกดทับ ก็สามารถใช้ยาทากัดออกได้ แต่กรณีผมเป็นที่ใต้ฝ่าเท้าทำได้ยากเพราะมีการใช้งานตลอดเวลา ต้องอาศัยการผ่าตัดและยิงเลเซอร์ควบคู่กันไป เพราะเวลาผ่าต้องคว้านไปที่รากของตาปลาด้วย และต้องใช้เวลาพักรักษาจนกว่าเนื้อจะขึ้นเต็มเป็นเวลา หนึ่งสัปดาห์ แต่ทั้งนี้เมื่อหายแล้วมีวิธีที่ต้องใช้ควบคู่ไปอีกคือการพยายามรีแล็กซ์เท้าโดยการแช่นำ เพื่อไม่ให้เกิดไตใต้ฝ่าเท้า

ผ่าวันนี้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องผ่าอีกไหม แต่ก็ชินแระ ตอนฉีดยาชานี่นะซิ เจ็บอย่าบอกใครเชียว..............................

Today I will go to the hospital for operate ta-pla at my right foot. This is the second time for the ta-pla operation.