Sunday 27 December 2009

Heading to Lappland

และแล้วก็มาถึงกำหนดการการเดินทางไปแลปแลนด์แล้วครับ หลังจากนับถอยหลังมากว่าเดือน ในที่สุดการเดินทางในครั้งนี้ก็จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้

เลยมาเขียนบอกไว้ก่อนว่าจะหายหน้าหายตาไปสักอาทิตย์นึง แล้วเดี๋ยวกลับมาจะเอาเรื่องราว และรูปมาอวดให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน

กว่าจะกลับมาก็คงเลยปีใหม่ไปแล้ว ดังนั้นเลยถือโอกาสกล่าวสวัสดีปีใหม่ไปยังทุกคนทั้งที่ได้อ่านข้อความนี้และไม่ได้อ่านนะครับ ขอให้ทุกคนดำเนินชีวิตไปข้างหน้าอย่างมีสติ แล้วอย่าลืมแวะเวียนมาอ่านเรื่องราวของผมบ้างนะครับ

K-Jay

Drinks for Julfest

เรื่องราวของเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ยังไม่จบครับ


ตอนนี้อยากเล่าเกี่ยวกับเครื่องดืมในช่วงคริสต์มาสในสวีเดนอีกสักนิด


เครื่องดืมสำหรับเทศกาลคริสต์มาสตัวแรก คงไม่อาจข้ามไปได้ก็คือ ยูลมูส (Julmust) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวสวีดิชที่ต้องดืมยูลมูสในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ยูลมุสเนี่ยะตาวิกิพีเดีย ระบุว่าคิดค้นโดย Harry Roberts ในปี ค.ศ.1910 เพื่อเป็นทางเลือกในการดืมฉลองสำหรับผู้ไม่พิศมัยเครื่องดืมแอลกอฮอล์ในการเฉลิมฉลอง ทำให้ยอดของโคคาโคล่าในช่วงคริสต์มาสในสวีเดน ตกลงอย่างฮวบฮาบครับ















เครื่องดืมอีกอย่างที่อยากบอกกล่วก็คือ เกล๊อก โอ้ววว ไม่รู้จะเขียนคำอ่านอย่างไรให้ถูกตามหลักภาษาเนี่ยะ Glögg เป็นเครื่องดืมอีกตัวที่ทุกคนต้องลองครับ สำหรับ Glögg ชาวสวีดิชรับอิทธิพลมาจากชาวเยอรมันครับ เป็นเครื่องดืมคล้ายเหล้าองุ่นมั้ง แต่แอลกอฮอล์ไม่มาก แต่ก่อนกินเราต้องเอาไปอุ่นให้อุ่นๆ หน่อย แล้วเวลาดื่มก็ใส่ลูกเกด กับอัลมอนต์ ลงไปครับ






ดืมหร้อมขนมปัง Godjul สักนิด จะติดใจ (แต่ไม่ใช่ผมแน่ๆ 555+)

Boxing day

เมื่อวานนี้เป็นวันบ็อกซิ่งเดย์ครับ วันแห่งเทศกาลจับจ่ายซื้อของหลังวันคริสต์มาส ซึ่งเป็นเสมือนประเพณีของฝรั่งที่ว่าจะต้องใช้เงินจับจ่ายซื้อของในวันแรกในวันที่ 26 ธันวาคมของทุกปี และร้านค้าต่างๆ ก็จะพากันลดราคาครั้งใหญ่แก่บรรดานักช็อปตัวยง

แต่ทั้งนี้ทุกประเทศ หรือทุกเมืองก็ไม่ได้ต้องเฉพาะเจาะจงมาเริ่มกันในวันนี้นะ เพียงแต่ส่วนใหญ่เขาจะมีกิจกรรมนี้กัน อย่างบางเมืองเช่นในมาดริด ประเทศสเปน เขาก็จะเริ่มหลังปีใหม่ ราวๆ วันเด็กบ้านเรา หรือแม้แต่ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ก็จะเริ่มช้าไปจากวันบ็อกซิ่งเดย์สองสามวันเป็นต้น

หลังจากปีที่แล้วผมหมดเงินจำนวนมากไปในวันบ็อกซิ่งเดย์ที่มาลเม่อ ปีนี้ก็อย่าได้แคร์อีกเช่นเดิม เพราะนัดน้องๆ ออกไปช็อปกันแต่เช้า ตั้งแต่ร้านเปิดเลยก็ว่าได้ ปีนี้ตอนเช้าผู้คนยังไม่มากนัก แถมอากาศก็เป็นใจ หนาว มีลมแรง มีแดด ไม่เหมือนปีที่แล้วที่อากาศขมุกขมัว หมอกลงจัด และฝนตก

ปีนี้เป้าหมายเดิมตั้งไว้ที่ซาร่า แต่สินค้าของซาร่าปีนี้ของเสื้อผ้าผู้ชายไม่เข้าตาผมสักเท่าไหร่ ดังนั้นเงินส่วนใหญ่ในปีนี้เลยไปตกอยู่ที่ H&M ซะมากกว่า

ของที่ได้มาปีนี้ก็หลากหลายไป ได้กระเป๋าลดราคาจาก 249 SEK เหลือ 19.50 SEK มา 5 ใบ ได้เข็มขัดลดครึ่งราคา ได้มา 4 เส้น กางเกงยีนส์ 2 ตัว เสื้อ 2 ตัว ก็หมดไปราวๆ 650 SEK เห็นจะได้

แถมตบท้ายด้วยร้าน เอเชี่ยนโชว์ห่วย@Möllevånstorget ทั้งน้ำปลา น้ำหวาน ผัก ซอส เส้นหมี่ กิมจิ แล้วก็กลับมาบ็อปอีกเล็กน้อยที่ลุนด์ ICA อีกนิด

แบบว่าของที่ซื้อมาทั้งหมดเยอะมากๆๆ หนักสุดๆ แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ จะต้องขี่จักรยานกลับห้องนะซิ มืดแล้ว ไฟหน้าจักรยานก็ไม่มี

การจัดระเบียบจักรยานถูกจัดโดยของจากร้านเอเชี่ยนใส่เป้ แบกไว้บนไหล่ ของจากอีก้าใส่ตะกร้า ถุงกระเป๋าและเสื้อผ้าอีกสี่ใบก็เอาหนีบไว้ที่นั่งซ้อนด้านหลัง....

ทุกอย่างดูราบรื่น ทีเดียว..............


ขี่จักรยานได้มาสักพัก รู้สึกว่าถุงเสื้อผ้าเริ่มเอียงจะร่วง ตอนนั้นด้วยปัญญาอันชาญฉลาด เลยเอาถุงเสื้อผ้าทั้งหมดมาแขวนไว้ที่แฮนด์จักรยานแทน ว่าแล้วก็รีบปั่นกลับบ้านอย่างเร็ว โดยไม่ได้ฉุกคิดอะไรเล้ยยย


และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ แต่ดีที่ผมมีสติครบถ้วนครับ......



ถุงเสื้อที่แฮนด์จักรยานมันก็โต้ลมไปมา แล้วมันก็ไปสัมผัสเอากัลล้อจักรยาน ล้อเลยดูดเอาถุงเสื้อเข้าไปติดกับเบรคที่ล้อหน้า เมื่อถุงเสื้อยัดไปในล้อล้อหน้าก็หยุดกระทันหัน เมือนเราเบรคแค่ล้อหน้าหยุดกึ่ก


ทีนี้ล้อหลังพร้อมตัวผมก็ลอยขึ้นสิครับ แถมถนนก็ลื่นอีก จำได้เลยว่าตัวจักรยานมันลอยข้ามไปอีกด้านหนึ่ง ถุงของลอยไปตกที่ถนน ตะกร้าจักรยานลอยไปอีกด้าน แต่ไปตกตั้งอยู่ของด้านในเลยไม่หกออกมา แต่ที่แปลกคือตัวผมสามารถลอยข้ามจักรยานมายืนอีกข้างได้ไงอ่ะ งง????????? ดีที่ไม่รถตามมา เพราะเป็นถนนในซอย และมืดมาก


หลังตกใจแทบสินสติสมประดี ก็เริ่มเก็บของโน่นนี่ไปมารวมไว้ข้างทาง แต่ปัญหาคือถุงเสื้อและกางเกงยีนส์ ตอนนี้มันไปอยู่ในล้อหน้าอ่ะ ต้องทั้งดึง ทั้งถีบ ทั้งกระชากนานมาก กว่าจะยอมหลุดออกมาได้

จากนั้นก็เล็งเห็นได้ว่าความซวยใกล้มาเยือนแล้ว จำต้องกลับห้องภายในเวลาอันรวดเร็ว รีบปั่นจักรยานกลับมา พร้อมเหงื่อที่โทรมกาย

เฮ้อ......ตอนนี้ได้แต่ถอนหายในว่าเกือบไปแล้ว ถ้าเมื่อวานขาดสติสักนิดเดียว วันนี้ผมคงนอนแช่แป้งอยู่โรงพยาบาลเป็นแน่แท้

คิดแล้วห่อเหี่ยว ดังนั้นในปีใหม่นี้ผมเลยสัญญากับตัวเองไว้ว่า จะไม่ประมาทอีกแล้ว.....

Friday 25 December 2009

Apelsin

ผมจำได้ว่าผมเคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับส้มในสวีเดนไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปีที่แล้ว ในครั้งนั้นผมเล่าเกี่ยวกับส้มหลากพันธุ์ที่ประเทศนี้ เพราะด้วยเหตุที่ประเทศนี้ภูมิอากาศที่หนาวเย็น จึงเป็นการยากที่จะทำสวนทำไร่ ดังนั้นผลไม่ท้องถิ่นที่สามารถปลูกได้ คงไม่พ้นผลไม้เมืองหนาวทั่วไป ทั้งลูกพลับ แอปเปิ้ล องุ่น เป็นต้น

ผลไม้ส่วนใหญ่ที่นี่จึงต้องนำเข้ามาไม่เว้นแต่ส้ม หรือกล้วย

ช่วงหน้าหนาวเข้าคริสต์มาสแบบนี้ เป็นช่วงที่ผลผลิตส้มจำนวนมากเข้ามาในประเทศนี้ ดังนั้นส้มช่วงนี้จึงมีมาก หลากหลายให้เราเลือกกิน


แต่สิ่งที่ผมจะเล่าวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับส้มเสียทีเดียว แต่เป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวสวีดิชไปแล้วครับที่ช่วงคริสต์มาสหากสังเกตตามหน้าต่างบ้านคนสวีดิช เราจะเห็นว่ามีส้มแขวนอยู่ที่หน้าต่าง ผมก็เลยชวนสงสัยไปสรรหาคำตอบมาน่ะครับ






ว่าที่จริงแล้ว ด้วยเหตุที่เรารู้กันอยู่ว่าประเทศนี้ไม่ได้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้หลากหลายพันธุ์เหมือนในเมืองไทย ดังนั้นการมีผลไม้กินเนี่ยะจึงเป็นสิ่งที่ประจักษ์ได้ว่าฉันน่ะมีอันจะกินน่ะซี ดังนั้นคนสวีเดนในช่วงคริสต์มาส เขาจะนำเอาส้มมาแขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อว่า คนผ่านไปมาได้รู้ถึงความมีอันจะกินของเจ้าของบ้านน่ะ แต่เวลาผ่านไปมานานโข ปัจจุบันแบบแผนนี้ก็มีความหมายเพี้ยนไปบ้างเป็นเรื่องของความมีอันจะกิน หรือเงินทองที่จะเข้ามาแก่เจ้าของบ้านนั้นเสียมากกว่าครับ


ป.ล. เรื่องนี้มีผู้แจ้งแถลงไขมาอีกที ผมก็ไม่รู้ว่าไปคุยกับสวีดิชท่านอื่นๆ มันจะเหมือนกับคนสวีดิชที่เล่าให้ผมฟังหรือเปล่า อย่างไรก็เอาเป็นว่าเป็นเกร็ดเล็กๆ ที่พอให้เราเข้าใจวิถีที่แตกต่างออกไปแค่นั้นพอ เพราะคนสวีเดนหากไปเจอชนบทไทย เอากระเทียมแขวนไว้ที่ประตูกันผีปอป สวีดิชก็อาจงงได้เช่นกันเนอะ!!!

Julafton

เมื่อวานนี้เป็นวนคริสต์มาสอีฟครับ ปีนี้ผมด็ยังคงอยู่ที่สวีเดนเช่นเดิมเป็นฟีที่สอง

ประสบการณ์จากปีที่แล้วสอนให้ผมรู้ว่าในช่วงคริสต์มาสพยายามหากิจกรรมร่วมเยอะๆ เพราะว่ามันจะไม่มีอะไรทำเลยในช่วงนี้ เมืองทั้งเมืองก็เงียบเหงาไปหมด

ปีนีสบโอกาสดีครับ ได้รับเชิญไปร่วมงานฉลองที่บ้านพี่เจี๊ยบ พี่สาวผู้ใจดีในเมืองลุนด์ พร้อมกับเพื่อนๆ อีกสามคน (ยุ้ย อ๋ำ และรักษ์) งานนี้ก็เลยได้เรียนรู้ประเพณีของชาวสวีเดนหลายเรื่องทีเดียว


ในวันคริสต์มาสอีฟ เนี่ยะเป็นวันครอบครัว เพราะทุกคนในครอบครัวจะมาทานอาหารและทำกิจกรรมร่วมกัน


งานเริ่มด้วยการรับประทานอาหารกันซักหน่อยกับเมนู้หลากหลายทั้งไทยและเทศ โดยเฉพาะไทยก็คือไก่ทอดหมูทอดพร้อมแจ่วววววว โอ้วววววว หายคิดถึงเมืองไทยไปได้โข








หลังอาหารหลัก ครอบครัวสวีดิชก็ต้องทำกิจกรรมร่วมกันตอนบ่ายสามโมงครับ เป็นประเพณีของเขาก็คือ การดูการ์ตูนครับ การ์ตูนจริงๆๆ เขามานั่งล้อมวงเพื่อดูการ์ตูนคริสต์มาสที่ฉายทางโทรทัศน์ทุกคริสต์มาสอีฟ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ตัดตอนมากจากหลายเรื่องทั้งโดนัลดั๊ก สโนว์ไวท์ ซินเดอเลร่า โรบินฮู๊ด เป็นต้น

หลังการชมการ์ตูน ก็เป็นเวลาของของว่าง ชา กาแฟ ขนม (จำชื่อไม่ได้ แต่เราเรียกว่าข้าวเหนียวเปียกสวีเดน ฮ่าๆๆๆ)

จากนั้นก็เป็นเวลาการมอบของขวัญแก่กันครับ ผมก็ได้ตุ๊กจตากวางมูซ พร้อมช็อกโกแลตมาจำนวนหนึ่ง


หลังจากกนั้นก็คือเวลาชิมแชทครับ คุยกันไปเรื่อยๆ เวลาเดินไปจนเกือบทุ่ม เวลาแห่งการ์ตูนก็เริ่มขึ้นอีกครับ อีกครึ่งชั่วโมง แล้วพวกเราก็ต้องขอตัวกลับบ้านกัน




และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่สวยงามและน่าจดจำของผม


ขอบคุณพี่เจี๊ยบ พี่สาวผู้ใจดี พร้อมเยี่ยะเข่น และน้องชายและคุณแม่ของเยี่ยะเข่นด้วยนะครับ ที่ทำให้ผมได้สัมผัสถึงความรักและความผูกพันในครอบครัว ที่ยังมีอยู่อย่างมากมายในยามที่ผมห่างไกลครอบครัวมากว่าครึ่งโลก รวมถึงเพื่อนๆ ทั้งยุ้ย อ๋ำ และรักษ์ ด้วยครับ


คริสต์มาสอีฟ ปีนี้ของผมจะเป็นปีที่น่าจดจำไปอีกนานเท่านาน

Sunday 20 December 2009

Mychet snö

ปีนี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แตกต่างไปจากปีก่อนมากมาย


ปีนี้หิมะตกที่ลุนด์มากกว่าปีที่แล้วเยอะ ตกมากว่าหกวันอย่งต่อเนื่องทีเดียว เล่นเอาระดับหิมะที่กองพะเนินอยู่ทั่วไปเนี่ยะสูงเอาๆ


ปีนี้ผมก็ได้ได้โอกาสชักภาพกับหิมะเป็นจำนวนมาก อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางคืนถึงขั้นยอมเดินลุยหิมะออกไปถ่ายรูปตอนก่อนเที่ยงคืนทีเดียว ก็เลยได้รูปมาหลายครับ ลองดูกัน



Friday 18 December 2009

Still snowing

สามวันผ่านมาแล้วที่หิมะตกอย่างต่อเนื่องในลุนด์


อากาศก็หนาวลงๆ เสียทุกวัน จนตอนนี้ไม่มากมาย เฉลี่ยนประมาณ -6 แต่ปัญหากลับไม่ได้อยู่ที่อุณหภูมิ แต่มันอยู่ที่หิมะ และลมที่แรงมากมายเนี่ยะน่ะสิ ทำให้ feel like ลบสิบกว่าๆ ไปแล้ว


เมื่อวานนี้ได้สบโอกาสดีเลยออกไปถ่ายรูปช่วงสายๆ ตอนที่หิมะหยุดไปสักพัก (@Lundagård)























สองภาพนี้จากใกล้ๆที่พักที่ Vildanden




แถมวันนี้สบโอกาสใส่ถุงเท้าสไตล์สแกนออกไปข้างนอกแระ แลยถ่ายรูปมาด้วย 555













แอบฮา เพราะลืมโรเทตรูป

Tuesday 15 December 2009

Snow

หิมะ.........ในชีวิตผม ตั้งแต่เป็นเด็กเวลาได้เห็นภาพ หรือได้ยินคนพูดถึงหิมะ ก็จินตนาการไปต่างๆ นาๆ คาดว่ามันน่าจะคล้ายกับน้ำแข็งในช่องแช่แข็งในตู้เย็นกระมัง


นิยามของหิมะ ในใจของคนคงไม่ต่างไปจากกันมากนัก คือ ขาว นุ่ม เย็น สะอาด หิมะจึงมักเป็นที่ปรารถนาของหลายๆ คนที่จะได้สัมผัสสักครั้งในชีวิต


ผมนั่งอยู่ในห้องของผม มองลอดหน้าต่างออกไปภายนอก ซึ่งขณะนี้ละอองหิมะค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกต่อภาพเบื้องหน้าไม่ได้ต่างไปจากการมองสายฝนที่ตกลงมามากนัก แต่สิ่งที่ต่างออกไป คือ ตะกอนที่ตกในใจตอนนี้


หลังฝนตกท้องฟ้าจะสดใส หากแต่หลังหิมะตกท้องฟ้าจะยังหดหู่ อึมครึม หาได้สดใสไปกว่าใจของผมขณะนี้ไม่

Snow is coming

ณ วันและเวลานี้ เมื่อปีที่แล้ว หิมะเริ่มตกไปแล้วในลุนด์ แต่ปีนี้หิมะมาสายกว่าปีที่แล้วครับ

หลังจากที่เกือบสามสัปดาห์ก่อนหิมะตกมาประปรายนิดนึง พอให้รู้ว่าหนาวแล้วผ่านไป ก็เพิ่งมีเมื่อวานนี้เองที่หิมะเริ่มตกอย่างเห็นได้ชัดเจน

แม้ว่าหิมะจะเพิ่งเริ่มตก แต่อากาศที่หนาวมานานประมาณเดือนนึง เห็นจะได้ ก็สร้างอารมณ์ที่หมองเศร้าให้ผมได้มากทีเดียว

ประเทศสวีเดนเนี่ยะเป็นประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ที่คนประเทศนี้ฆ่าตัวตาย ซึ่งสาเหตุที่เขาว่ากันส่วนใหญ่มันไม่ใช่เพราะปัญหาสังคมหรอก แต่มันเกิดจากอากาศ สภาพอากาศที่หม่นหมอง ไม่สดใส ครึ้มทั้งวัน ขนาดผมแค่นั่งมองออกทางหน้าต่างยังเหงาจิตตกไปซะงั้นเลย

นี่ขนาดไม่มีสิ่งยั่วยุอย่างอื่นนะ

หากอากาศอย่างนี้ เปิดเพลงเศร้าๆ หน่อยนะ ไม่ต้องพูดถึง น้ำตาเนี่ยะ ไหลพรากๆ ประมาณนักแสดงยังอายเลย แล้วยิ่งมีเรื่องนิดหน่อย หรือดูหนังเศร้านิดหน่อยนี่ ประหนึ่งไปงานฌาปนกิจเต่ากันเลยทีเดียว ดังนั้นหนังต้องห้ามหากไม่อยากร้องไห้เป็นเผาเต่าเนี่ยะมีมากมาย ที่โดนมากับตัวเองนี่เยอะมากกกก โดยเฉพาะ autumn in my heart และ หนีตามกาลิเลโอ แทบหาปี๊บมารองเลย

สรุปมาอยู่ต่างประเทศเนี่ยะจากผู้ชายเข้มแข็ง ดั้นกลายเป็นผู้ชายอารมณ์อ่อนไหวไปได้ซะฉิบ

Friday 11 December 2009

I can read it, can't you?

I have received a forward mail from my friend entitle "Can you read?". Thia mail contains a article for you to read. It's interesting, so please try to read it carefully....

ถ้าคณุอาน่บทคาวมนี้ได้ คณุมีความคดิที่แขง็แรงพอสวคมรเลยนะ คณุอาน่ได้หรอืเลป่าล่ะ มีแค่ 55 คนจาก 100 เท่านนั้แล่หะที่อาน่ได้



ฉนัไม่อายกจะเชอื่เลยว่า ฉนัเข้าใจสงิ่ที่ฉนักำลงัอาน่อู่ยนี้ มนัเปน็ปฎกราากรณ์ของคาวมคดิของม์ษุยน ผลการศกึาษวจิยัจาก มวหายิทัาลย แบมคิร์จด ก่าลวว่า




มนัไม่สคำญเลยว่าตวัอรัษกเยีรงถตอ้กูงหรอืไม่ในคำคำหนงึ่ มนัสคำญแค่ว่า ตวัอษักรแรกและตวัอษกัรตวัสดุทาย้ของคำ นนั้อู่ยในตนำแห่งที่ถกูตอ้ง ที่เลืหอนนั้มนัจะมวั่ซวั่อ่ายงไร คณุก็อาน่มนัได้อู่ยดี ไม่มีปหญัา




ที่ เปน็อาย่งนี้เราพะคาวมคดิของมษุน์ยนนั้ ไม่ได้อาน่ตวัอษกัรทกุตวัซกัหอน่ย แต่อาน่เปน็คำเตม็ ๆ คำ สดุยอดเลยใช่มยั้ล่ะ...ใช่เลย แต่ยงัไงฉนัก็คดิว่าการสกะดมนัสคำญันะ



Can't you?

Lappland

ก่อนที่การเดินทางไปแลปแลนด์ของผมจะเริ่มขึ้น ขั้นตอนการหาข้อมูลการไปเที่ยวในครั้งนี้ก็ได้เริ่มขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว การไปเที่ยวครั้งนี้เป้าหมายในการเดินทางอาจมี wording หลายคำที่ทำให้ผมต้องทำการบ้านเพื่อให้การเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้สำเร็จผลตามที่ตั้งเป้าไว้ครับ

การบ้านแรกของผมสำหรับการเดินทางครั้งนี้คงไม่พ้น "LAPPLAND" ซึ่งผมคงต้องค้นคว้าหาข้อมูลเสียหน่อย


ครั้งแรกที่ผมได้ยินคำว่าแลปแลนด์ ก็ประมาณ 3 ปี ที่แล้วได้ ตอนนั้นผมไม่รู้แม้กระทั่งว่ามันคือที่ไหน มีจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ เพราะผมได้ยินชื่อนี้มาจากซีรี่ส์เกาหลีเรื่อง Snow Queen ผมจำได้เพียงว่าแลปแลนด์เป็นที่อยู่ของราชินีหิมะ แต่มันอยู่ที่ไหน ประเทศอะไร ผมไม่เคยได้รู้มาก่อน แต่จากภาพในละคร เห็นเพียงแต่ว่าแลปแลนด์เป็นดินแดนแห่งสีขาว เพราะว่าเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด


กระทั่งผมเดินทางมาที่สวีเดน ผมเริ่มศึกษาเชิงภูมิศาสตร์ของประเทศนี้ แล้วก็ฉุกเห็นว่าดินแดนบริเวณด้านเหนือสุดของสวีเดนนั้นเรียกว่า Lappland ซึ่งในที่นี้จะมีลักษณะคล้ายๆ จังหวัดก็ได้ แล้วมีเมืองอยู่มากน้อยต่างกันไปครับ อย่างที่ผมอยู่นี่เป็นเมืองลุนด์ ในดินแดนทางตอนใต้สุดของสวีเดนที่เรียกว่า สกอเน่ (Skåne)

แต่หารเราจะใช้ search engine หาแล้วเราจะพบว่าดินแดนที่เรียกว่าแลปแลนด์นั้นมีอยู่ทั้งในประเทศสวีเดน ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ โดยเป็นดินแดนตอนบนสูงสุดของแต่ละประเทศครับ แต่แลปแลนด์ที่ผมจะเดินทางไปนี้เป็น แลปแลนด์ของประเทศสวีเดนครับ

ดินแดนที่เรียกว่าแลปแลนด์นี้ หากจะย้อนประวัติศาสตร์ไปแล้ว เดิมเป็นดินแดนที่เชื่อมต่อกันทั้งสามประเทศคือสวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์ โดยในยุคกลางถือว่าเป็น No man's land ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของที่นี่คือชาวซามิ (Sami) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของสแกนดิเนเวีย ซึ่งรู้จักกันในชื่อชาวแลปป์ (Lapps)

นั้งจึงคลายความสงสัยไปได้ดีว่า Lappland ก็คือดินแดนของชาวแลปป์ หรือของชาวซามิ นั่นเอง

แต่หากว่าจะค้นคว้าต่อไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าดินแดนที่เรียกว่าแลปแลนด์นั้นนอกจะเป็นที่อยู่ของราชินีหิมะ ตามบทประพันธ์เรื่อง Snow Queen ของ Hans Christian Andersen (1805 - 1875) แล้วยังเป็นบ้านของ ซานตาครอส อีกด้วย (Lapland in Finland)

Next trip to Lappland, Sweden

โปรแกรมการเดินทางไกลครั้งต่อไปของผมออกมาแล้ว ครั้งต่อไปนี้เป็นการเดินทางขึ้นสู่ทางตอนเหนือสุดของสวีเดน ที่เรียกวา "Lappland' ช่วงวันที่ 28 ธันวาคม 2009 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2010 ครับ

เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของผมอยู่ที่การเดินทางไปยังเมือง Kiruna, Swedenเพื่อดูโรงแรมน้ำแข็ง ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเมือง Narvik, Norway และก็กลับมาที่ Abisko, Sweden เพื่อเข้าสู่เป้าหมายหลักในการเดินทางครั้งนี้ก็คือการดูแสงเหนือ (Northern light, AURORA) ที่นี่ครับ นอกจากนั้นก็คงจะได้มีโอกาสไปนั่งเลื่อนไซบีเรียนฮัสกี้ และการทดลอง Traditional moutain sauna ของ Lappland ครับ

การเดินทางครั้งนี้จะโดยสารรถไฟไปครับ ประสบการณ์การนั่งรถไฟกว่า 20 ชั่วโมงเพื่อไปดูแสงเหนือครั้งนี้ จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง และผมจะประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายหรือไม่ เดี๋ยวจะกลับมาเล่าให้ฟังครับ

หนุ่ย

My next trip is the trip to Lappland, the northest area of Sweden during 28 December 2009 - 3 January 2010.

The aims of this trip are visiting Ice Hotel in Kiruna, Narvik in Norway and Abisko in Sweden. However, the main objective of this trip is to see the Northern light (Aurora) at Abisko. Moreover, this is a good chance for trying dog-sled and traditional mountain sauna of Lappland.

I will go to Lappland by train, it takes more than 20 hours. I will write about this trip down here soon!

K-Jay

Saturday 5 December 2009

Similar questions

เนื่องในโอกาสวันพ่อ เลยอยากเขียนต่ออีกนิดหนึ่ง เรื่องคำถามเดิมๆที่ซ้ำซากและน่าเบื่อ


ผมได้เคยพูดคุย และมีโอกาสบอกเล่าแลกเปลี่ยนเรื่องราวความผูกพันในครอบครัวกับเพื่อนๆ น้องๆ อยู่บ้าง เลยคิดว่าอยากเอามาเขียนรวมกันไว้ที่นี่สักครั้ง

  • เคยไหมครับที่เวลาเราอยู่ห่างไกลพ่อแม่ ทุกครั้งที่เราโทรศัพท์กับไปหาท่าน เพราะกลัวท่านเป็นห่วง แต่พอโทรไปเราก็เราเบื่อที่จะต้องตอบคำถามเดิมๆ ทุกวันที่ถามเราว่า กินข้าวหรือยัง? วันนี้กินข้าวกับอะไร? อากาศหนาวไหม? เรียนยากไหม? ใกล้สอบหรือยัง? สบายดีไหม? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? จนบางครั้งลูกๆ รู้สึกว่าที่โทรมาเนี่ยะก็โทรมาไง ไม่โทรมาเดี๋ยวก็ว่าไม่ติดต่อมาเลย โทรมาก็ต้องมานั่งตอบคำถามเดิมๆ ทุกวัน
  • เคยไหมครับที่คุณออกจากบ้านไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ แล้วพ่อแม่โทรศัพท์มาว่าอยู่ไหน? (ก็มากินข้าวกับเพื่อนไง) เมื่อไหร่จะกลับ? (โอ้ยเพิ่งสี่ทุ่มเอง) กลับได้แล้ว.....ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว......ฯลฯ จนเรารู้สึกรำคาญ เพราะนี่ขนาดบอกแล้วว่าจะไปไหน เมื่อไหร่ กับใครบอกไปหมดแล้ว ยังโทรอยู่ได้
  • เคยไหมที่เวลาคุยโทรศัพท์กับพ่อแม่อยู่แล้วเบื่อแต่ยังไม่มีโอกาสตัดบท จนกระทั่งมีสายเรียกซ้อนจากเพื่อนโทรมาเม้าท์เล่น เลยได้โอกาสตัดบทกับเลิกคุยกับพ่อแม่ที่มักถามแต่เรื่องเดิมๆ คุยเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ไปคุยกับเพื่อนดีกว่า

ความคิดพวกนี้เคยเกิดขึ้นกับคุณบ้างไหมครับ?


แนวคิดในสังคมปลูกฝังว่าคำถามทุกคำถาม ก็ต้องการคำตอบ ลูกส่วนใหญ่เลยคิดว่าคำถามซ้ำซากเหล่านี้จากพ่อแม่ เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบแบบซ้ำซากเช่นกัน


คำถามซ้ำซากเดิมๆ ที่ถามลูก สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่คำถามเลยครับ หากแต่มันคือข้อความแสดงความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกเท่านั้น ว่าลูกกินอิ่ม นอนหลับ สบายดีไม่ป่วยไม่ไข้ใช่ไหม บางครั้งคำถามที่ออกมาจากความรู้สึกนั้นก็ไม่ต้องการคำตอบหรอกครับ เพราะหากจะแปลความหมายของคำถามซ้ำซากเหล่านั้นออกมามันคงจะแปลออกมาได้ความหมายเดียวเท่านั้น คือ "พ่อแม่รักและเป็นห่วงลูกนะ"


หากแต่ลูกเสียอีกเคยแปลความหมายของคำตอบซ้ำซากที่ตอบออกไปยังพ่อแม่บ้างไหม ว่ามันคำตอบซ้ำซากเดิมๆ นั้นมีความหมายว่า "ผม/หนู ก็รักและเป็นห่วงพ่อแม่เหมือนกัน" หรือเปล่า?

Today is the Thai National Father day, so I want to write one more thing about "the similar boring questions"

I have ever had chances to share and exchange some experience regarding the family affairs with friends. I would like to write them down here.

  • Have you ever questioned that everyday why your parent always ask you the boring questions such as how are you?, have you had brakefast, lunch or dinner yet? and you have to answer the similar thing everyday?
  • Have you ever gone outside for the party with your friend and before midnight you parent call you for asking you that where are you now? when will you come back? and you have to answer that I am at the party and it gonna be over soon, don't worry?
  • While you are calling with you parent and suddenly your friend call you, then you finalize answering the same answer to your parent and then talk to you friend. Have you ever done like this?
Have you ever throught and done like this?

The educational system always teach us that every question requires the answer. Then similar questions of you parent always require the answers from you, similarly.

In my opinion, some kinds of question do not require the answer. Such questions from your parent do not require you to answer because all of those questions mean "I love you".

Thus, I would like to ask you as a son/daughter that have you ever meant your similar answers that you answer to your parent as "I love you too"?

Friday 4 December 2009

Happy Thai National Father Day

วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติครับ สุขสันต์วันพ่อครับทุกคน โดยเฉพาะพ่อของผม ปีนี้ก็ขอให้ท่านมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงตามวัยครับ


พอดีเป็นโอกาสวันพ่อ วันนี้ก็เลยอยากเขียนอะไรเกี่ยวกับพ่อของผมเสียหน่อย


เมื่อวันอังคารได้ดูรายการตีสิบ ช่วงคลิปที่นำเสนอคลิปชื่อว่า "พ่อครับ" หลายคนที่ดูอาจจะมีความรู้สึกจุกเหมือนผม เพราะว่ามันสะท้อนความเป็นจริงในสังคมออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้






ผมเลยอยากให้ทุกคนที่ได้ดู ใช้เวลาสักนิด เพื่อคิดถึงตัวเองว่าเคยกระทำอะไรในลักษณะนี้บ้างหรือไม่ อย่างน้อยหากคิดได้ว่าเคยทำแล้ว ก็หวังว่าจะได้คิดและแก้ไขกันบ้างนะครับ


"พ่อ" สำรับผมนั้น เป็นคำที่ยิ่งใหญ่นะครับ เพราะไม่ใช่เพียงเป็นผู้ที่ให้กำเนิด


ผมเติบโตขึ้นมาโดยการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากพ่อและแม่ของผม หลายคนอาจพูดกันว่าพ่อแม่คือผูให้กำเนิด ที่สำหรับผมแล้วทั้งสองท่านไม่ใช่เป็นเพียงผู้ให้กำเนิด หากแต่เป็นผู้สร้างชีวิต และช่วยประคับประคองให้ชีวิตของผมเติบโตขึ้นมาจนถึงวันนี้ จากวันที่ผมเองไม่สามารถแม่แต่จะยกหัวขึ้นมามองโลกใบนี้ได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยแขนของทั้งสองท่านประคอง จนวันนี้ที่ผมสามารถยืนมองโลกนี้ได้ด้วยตนเองอย่างเต็มภาคภูมิ แต่ทั้งสองท่านก็ยังคงยืนอยู่ข้างๆ เฝ้ามองลูกคนนี้ตลอดเวลา


พ่อแม่ปรารถนาดีต่อเรา เป็นห่วงเป็นใยและคอยเฝ้าดูประคับประคองเราตลอดมาตั้งแต่เด็กจนทุกวันนี้ แต่พอเราโตขึ้น เริ่มคิกว่าสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองไม่จำเป็นต้องอาศัยร่มเงา หรือความช่วยเหลือจากพ่อแม่ อีกต่อไป หลายคนกลับมองว่าสิ่งที่ท่านทำให้คุณมาตั้งแต่เด็กอย่างต่อเนื่อง มา ณ วันนี้มันกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญไปเสียนี่.... ในทางกลับกัน หากพ่อแม่คิดเหมือนคุณว่าการดูแลคุณเป็นเรื่องน่าเบื่อน่ารำคาญ มันคงจะมีวันที่คุณจะได้มายืนเชิดหน้าชูคอแกร่งกล้าอย่างทุกวันนี้หรอก


ยิ่งชีวิตวัยรุ่นด้วยแล้ว เป็นช่วงวัยหนึ่งที่ทุกคนอาจมองข้ามคนที่ยืนมองอยู่ข้างๆ คนที่นั่งรออยู่ที่บ้านทุกวันหลังเรียนเสร็จ หากแต่กลับไปให้ความสำคัญกับเพื่อน แฟน หรือใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยแม้แต่จะเอื้อมมือมาประครองเราตอนที่เราล้มเมื่อเริ่มหัดเดิน......


ผมเองก็เคยมองข้ามสิ่งเล็กๆ ที่มันมีความหมายใหญ่หลวงนี้ไปเช่นกัน หากแต่ยังดีว่า วันนี้ผมได้กลับมามองและได้ให้ความสำคัญอย่างมากกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งผมเคยมองข้ามไปและจากวันนั้นผมได้ปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่า นับจากนี้ชีวิตทั้งหมดที่เหลือของผม ผมจะทำทุกอย่างอย่างเต็มที่เพื่อพ่อแม่ และครอบครัวของผม


จนทุกวันนี้ ผมยังคงเดินตามคำปฏิญาณนั้นเรื่อยมา และอยากบอกว่าผมรักอาปา อาม้า นะครับ และก็คิดถึงทุกคนมากด้วย

Friday 20 November 2009

Presentation

วันนี้ผ่านไปแล้วครับสำหรับการพรีเซนต์ของผมและเพื่อนๆ ในกลุ่ม กว่าจะผ่านไปได้ก็ต้องอาศัยความพยายามกันมากว่าอาทิตย์หนึ่งในการเตรียมตัว เนื่องจากว่าเนื้อหาที่ต้องนำสเนอเนี่ยะมันไม่ได้ใกล้ตัวเลยสักนิด

เรื่องที่วันนี้ผมนำเสนอก็คือเรื่อง Judicial review of legislation: Constituional model ดูแค่ชื่อเรื่องก็งงแล้ว ขนาดผมเองเป็นคนทำงานนี้เองยังงได้โล่เลย กว่าจะรู้เรื่องว่าได้นี่คืออะไร แถมเนื้อหาทั้งหมดของโมเดลนี้ก็เป็นนวัตกรรมอันสวยงามของอเมริกันชนอีกต่างหาก ดังนั้นยากมากในการที่จะไปเข้าใจฝรั่งตาน้ำข้าว


แต่เอาเป็นว่าวันนี้จะลองอธิบายไอ้เรื่องนี้เป็นภาษาไทยสักนิดหน่อยแล้วกัน เพราะอันที่จริงประเทศไทยเราก็เอาระบบนี้ไปปรับใช้เหมือนกัน

แนวคิดหลักของ constitutional model เนี่ยะก็คือการที่ศาลมีอำนาจในการที่จะพิจารณาว่ากฎหมายที่ฝ่ายบริหารออกมาเพื่อบังคับใช้เนี่ยะมันขัดรัฐธรรมนูญหรือเปล่า หากศาลสรุปว่ากฎหมายฉบับนั้นๆ มันขัดรัฐธรรมนูญ กฎหมายนั้นก็จะนำมาบังคับใช้ไม่ได้ ตามโมเดลนี้ในประเทศอเมริกา ศาลทุกศาลมีอำนาจในการพิจารณาเรื่องนี้ได้ (ต่างจากในอีกหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยที่ประเด็นของการขัดรัฐธรรมนูญนั้นจะพิจารณาโดยศาลพิเศษ หรือเฉพาะเท่านั้น บ้านเราก็คือศาลรัฐธรรมนูญไง)


ประเด็นในเรื่องนี้ก็คือ เกิดปัญหาว่าการออกกฎหมายเป็นอำนาจฝ่ายบริหาร แต่การพิจารณาการขัดรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจตุลาการ ดังนั้นการเมืองจึงสามารถเข้ามาเกี่ยวข้องกับศาลได้ ในอเมริกาจึงเกิดการขัดกันของทางปฏิบัติสองทองคือ ศาลจะพิจารณาเรื่องนั้น หรือศาลจะไม่เข้าไปแทรกแซงดี (Judicial activism versus judicial restraint)

ในประเทศอเมริกา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ศาลมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง ดังนั้นศาลจะไม่พิจาณาแทรกแซงพร่ำเพรื่อ จะเข้ามาแทรกแซงเฉพาะกรณีที่สำคัญจำเป็นจริงๆ เพราะศาลมองว่าเป็นเรื่องทางการเมือง (the concept of judicial restraint)

แต่อย่างไรก็ดีใน Brown case, 1954 US Supreme Court ก็กลับคำพิพากษาบรรทัดฐานที่วางมาโดยการวินิจฉัยว่าเรื่องการขัดรัฐธรรมนูญนี้เป็นเรื่องการพิจารณาว่ากฎหมายที่ออกมานั้นเป็นไปตามบทบัญญัติของรัญธรรมนูญหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องว่าเป็นประเด็นทางการเมืองของฝ่ายบริหารและตุลาการ ดังนั้นหลัง Brown case ศาลในอเมริกาจึงเดือนตามแนวคิดที่ว่าศาลควรเข้าแทรกแซงเพื่อพิจารณาประเด็นการขัดรัฐธรรมนูญ (the concept of judicial activism)


ซึ่งหากประเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้ว ไทยเองก็รับเอา Constitutional model มาจากยุโรป โดยมีรูปแบบของ German model ซึ่งจะมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาการขัดรัฐธรรมนูญ

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


หวังว่าจะเข้าใจกันบ้างนะครับ

Wednesday 11 November 2009

Busy life

การเีรียนในปีที่สองของผมที่สวีเดน ตอนแรกคิดว่าคงสบายๆ ไม่ยุ่งยากมากมายอย่างปีแรก แต่สองเดือนผ่านไปมาจนวันนี้ กลับเห็นได้ว่ามันหนักกว่าปีแรกเสียอีก


ในเทอมนี้ผมต้องเรียนอีก 4 วิชา ตอนนี้เสร็จไปแล้วสองวิชา คือ Humanitarian Law และ Human Rights and Disabilities เหลืออีกสองวิชาที่กำลังเรียนตอนนี้ คือ Procedure Law of Human Rights in National and International Law และ Legal Writing and Research แล้วในเทอมสุดท้ายก็เหลือการเขียนวิทยานิพนธ์อีกหนึ่งอย่าง แต่เอาเป็นว่าตอนนี้การเข้าห้องเรียนของผมก็ใกล้จบเต็มที่แล้วครับ แต่การเขียนวิทยานิพนธ์นี่สิ อีกยาวไกล :(



แต่เอาน่า สู้โว้ย!!

Thursday 22 October 2009

กลับมายืนที่เดิม

กลับมาแล้วครับ หลังจากที่ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปนาน เพราะเหตุผลหลายประการ


เอาน่า อย่างน้อยวันนี้ก็รู้แล้วหละว่ากลับมาแระ


ต่อไปก็จะพยายามอัพเดทเรื่องราว ต่างๆ ให้มากขึ้น ๆ เรื่อยๆ ครับ

Monday 21 September 2009

HBD to my DAD

อีกสองวันก็จะถึงวันคล้ายมันเกิดของอาปาแล้วครับ

ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่ผมไม่ได้อยู่ร่วมฉลองวันคล้ายวันเกิดของอาปา เพราะการที่ต้องมาอยู่ที่ต่างประเทศ แต่บางครั้งผมก็คิดว่าการมาอยู่ต่างประเทศทำให้ผมได้รู้สึกผูกพันและใกล้ชิดครอบครัวมากขึ้นกว่าการอยู่ในประเทศไทยเสียอีก แม้ว่ากายจะห่าง แต่ทว่าใจกลับตรงข้าม ผมได้สื่อสารกับทุกคนมากขึ้นกว่าการทำงานเป็นบ้าเป็นหลังดังในตอนที่อยู่ในประเทศไทย

ผมได้พูดคุยโทรศัพท์กับครอบครัว ผมโทรศัพท์จากสวีเดนกลับไปประเทศไทยบ่อยครั้งและยาวนานกว่าการโทรศัพท์จากรังสิตกลับไปอ่างทอง

ดังนั้นคำว่า ระยะทางไม่ได้เป็นอุปสรรคในการแสดงออกซึ่งความรัก ความเข้าใจ และการห่วงหาอาทรซึ่งกันและกันเลยครับ

แต่สุดท้ายผมอยากให้อาปา อาม้า และพี่ๆ ทุกคน รักษาสุขภาพนะครับ

หนุ่ย

Wednesday 2 September 2009

Summer trip 16: Salzburg city: the city of BELLS

ผมเคยเขียนไปครั้งหนึ่งแล้วว่าในตัวเมืองซาลบวร์กเนี่ยะมันจะมีโบสถ์มากมาย ทุกถนนเลย เยอะมาก ดังนั้นทุกตอนเที่ยงระฆังของบรรดาแต่ละโบสถ์ก็จะดังกังวานไปทั่วทั้งเมือง


ทุกวันก่อนได้เวลาพักเที่ยงเสียงสัญญาณเหล่านี้จะแข่งขันกันจนแทบไม่เป็นอันเรียนเลยทีเดียว


ดังนั้น Salzburg is not only the city of music but it also a city of bells, the sound of BELLS.....

Summer trip 15: Ice-cream

หลังจากการที่ได้เดินทางไปอิตาลี เมื่อต้นปี ทำให้ผมได้ลิ้มรสอิตาเลี่ยนไอศกรีม ที่อร่อยมากมาย พอได้เดินทางมาที่ออสเตรียก็พบว่าร้านไอศกรีม มีมากมายไปทั้งเมืองซาลบวร์ก ผมก็เลยไม่เคยพลาดที่จะลิ้มลองรสชาติ ส่วนราคาไอศกรีมที่นี่ก็แตกต่างกันไป ถ้าสองลูกราคาก็มีตั้งแต่ 1.5 EUR - 2.1 EUR แล้วแต่ทำเลที่ตั้ง





แต่กว่าสองอาทิตย์ที่ซาลบวร์กผมก็กินไปแทบจะวันเว้นวัน กินมันไปทุกร้าน เอาให้หายอยาก ดันร้อนดีนัก ฮ่าๆๆๆ

Summer trip 14: Air-Conditioned Bus

ไอ้ตอนที่อยู่ที่ซาลบวร์กเนี่ยะ อากาศที่นี่หน้าร้อนมันร้องตับแลบเลยเหมือนกัน แม้ว่าตอนกลางคืนมันจะเย็นนะ แต่ พอกลางวันนี้แดดเปรี้ยงปร้างมากๆๆๆๆ


ทีนี่ไอ้ตอนนั่งรสบัสไปเที่ยวโน่นนี่นะสิ รถเมืองนอกผมก็ไม่รู้ เพราะสวีเดนบัสจะมีแต่ฮีตเตอร์ ไม่มีแอร์ ก็เลยคาดว่าที่ออสเตรียคงเช่นกัน เพราะนั่งไปไหนต่อไหน เหงื่อตกไปตามๆ กัน บางวันกลับมาถึงขั้นขี้เกลือขึ้นเสื้อเลยทีเดียว


กระทั่งวันก่อนเดินทางออกจากซาลบวร์ก ได้ขึ้นบัสอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่มันเปิดแอร์ครับ โอ้วววว พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก กรูมาอยู่สองอาทิตย์ดันเพิ่งมาเปิดก่อนกรูไป เฮ้อๆๆๆๆๆๆ อย่างเซร็ง

Summer trip 13: Hellbrunn Palace and Trick Fountains

เกือบสองอาทิตย์ที่ผมอยู่ีที่ซัลบวร์ก ผมใช้เวลาการอยู่ที่นี่อย่างสุดคุ้มเลยก็ว่าได้

หากว่าใครเดินทางมาที่นี่แล้ว สถานที่ที่ทุกคนต้องไม่พลาดในการไปเยี่ยมชมก็ต้องมีที่นี่แน่นอน ปราสาทเฮลบรุน

สำหรับผมแล้วการเดินทางมาที่เฮลบรุนในรอบสองสัปดาห์ที่อยู่ที่นี่ ผมก็มาสองรอบครับ ว่าแต่อย่างแรกคงต้องหาเหตุผลก่อนว่าการเดินทางมาปราสาทนี้มาเพื่อ? ผมลองหาเหตุผลได้หลายอย่างทีเดียว
  • ปราสาทนี้อยู่ทางผ่านในการเดินทางไปเทือกเขาอุนเทอร์สเบิร์ก ดังนั้นขากลับต้องผ่านอยู่แล้ว
  • ค่าเข้าปราสาทนี้มันรวมอยู่ในซาลบวร์กการ์ดแล้ว
  • ปราสาทสีสวยครับ สีเหลื๊องเหลือง
  • สวนนำพุกล (Trick fountain) ต้องมาลอง ดูกลไกโบราณในการสร้างกลลวงในสวนน้ำพุแห่งนี้
  • ไปแวะชมศาลา the sound of music ในสวนของปราสาทครับ
ดังนั้นจึงไม่เป็นการยากเลยที่จะแวะที่นี่

ตัวปราสาทสองชั้น ขนาดไม่ใหญ่มาก หากแต่ไม่มีอะไรเลยซิพับผ่า เช่น fish room ในห้องก็มีแต่รูปวาดปลา Horse room ในห้องก็มีแต่รูปวาดม้า โอ้วววว ไม่น่าเชื่อ ว่าใช้เวลาจริงๆ สิบห้านาทีก็เพียงพอแก่การชมจริงๆ







ส่วนน้ำพุเล่นกล น่าจะเป็นไฮไลท์ของที่นี่ เขารับประกันว่าทุกคนสักนิดสักหน่อย คงต้องเปียกเป็นแน่แท้ ผมไปมาสองรอบ ให้ตายซิ เปียกอยู่ดี รอบแรกอ่ะเพราะไม่รู้แกว เราก็เลยไม่ทันระวังตัว แต่อีรอบสองนี่สิ เฮ้อ ดันไปตามสองเจ๊จากเกาหลี ไอ้เราก็รู้แล้วว่ามันจะฉีดน้ำมาแล้ว ต้องรีบ แต่สองเจ๊กลับยืนนิ่งขวางทางซะงั้น เลยต้องร่วมซวยไปด้วยเลย แอบเซ็งจริงเซ็งจัง



ส่วน Casebo ไม่มีไรเลย ก็ศาลาธรรมดา ไม่มีคนมาดูเลย เฮ้อ อุตส่าห์เดินมาตั้งไกลเพื่อดู

Summer trip 12: Untersberg Mountain

พอเรียนได้เกือบอาทิตย์แผนการเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็บังเกิดครับ


ผมมีแผนการเที่ยวมากมายที่ต้องดำเนินการในช่วงของเสาร์และอาทิตย์ ทั้งการไป Untersberg Mountain, Hallstatt, Hohensalzburg, และอื่นๆ อีกมากมาย


และที่สำคัญคือการเดินทางในครั้งนี้ก็คือหาเพื่อนร่วมเดินทาง และแล้วเคราะห์ร้ายก็ไปตกกับคนคนนี้ที่ผมหว่านล้อมจะตกหลุมมาร่วมเดินทางกะผมได้ในครั้งนี้ ไม่ใช่ใครครับ ทาคาชิ คูโบตะ เพื่อนชาวอาทิตอุทัยเนี่ยะแหละ


การเดินทางของเราเริ่มขึ้นในเช้าวันเสาร์ หลังจากกินอาหารเช้า เราก็นั่งรถเมล์ไปที่สถานีรถไฟ เพื่อเปลี่ยนสายไปนั่งรถเมล์อีกสายเพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายแรกของเราคือ เทือกเขาอุนเทอร์สเบิร์ก อยู่ออกไปจากเมืองซาลบวร์กไม่ไกลครับ


การขึ้นเขานี้ ต้องอาศัยการนั่ง cable car ขึ้นไปแล้วเดินเท้าต่อ ผมก็ไม่ได้หวั่นอะไร จิ๊บๆ


คนมาขึ้นเยอะพอควรเพราะว่าเป็นวันเสาร์ นี่ขนาดมาแต่เช้าแล้ว


หลังจากใช้วิทยายุทธ์แย่งเขากระเช้า ดันได้เข้าเป็นคนสุดท้าย อ๊ะๆๆๆ อย่านึกว่าไม่ดี เพราะของดีมันต้องอันนี้ เพราะว่าเราจะยืนติดประตูสามารถมองเห็นวิวได้ตลอดครับ

หลังจากขึ้นได้สักนิด ก็เป็นอย่างนี้เลย




กระเช้าขึ้นสูงไปเรื่อยๆ มันไม่เสียวหรอก กระทั้งมันมีเสาอยู่พอผ่านเสาที่ตั่งบริเวณหน้าผาไปมันก็เหมือนเป็นแอ่ง กระเช้าจะแกว่งเหมือนเรานั่งชิงช้าสวรรค์ แต่ที่ต่างไปคือ แกว่งอยู่บนเหวเบื้องล่าง บรรดาคนก็กรี๊ดกร๊าด ใจหายไป

นี่เป็นมุมมองที่เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน






หลังจากนั้นเราต้องเดินเขาต่อ เพราะเป้าหมายของเราคือ ไม่กางเขนด้านบนโน้นนนน ในภาพอาจมองไม่เห็นหรอกไม้กางเขน กดขยายรูปนี้ดู แล้วคุณจะเห็นความจริง ว่ามันไกลม๊ากกกก แถมตอนที่ถ่ายเนี่ยะผมเดินมากว่าครึ่งทางแล้ว ที่เหลือเนี่ยะ หนึ่งในสามได้







แต่ในที่สุดผมก็มาถึงครับ (แลกกับรองเท้าผ้าใบหนึ่งคู่ที่ไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป เพราะการมาปีนเขาครั้งนี้)


แถมกับได้เก็บภาพวิวอีกนิดหน่อย ก็เลย โอเคครับ จรลีลง เพราะว่าต้องไปที่อื่นต่ออีกหลายรายการ


แต่การเดินทางมาที่เมือกเขานี้ของผมไม่ได้มาแค่ครั้งเดียว เพราะถัดจากครั้งแรก 3 วันเมื่อบิ๊กมาเที่ยวที่นี่(ซาลบวร์ก) ผมก็ขันอาสาเป็นไกด์ ก็พามาที่นี่อีกครั้ง


ครั้งที่สองของการเดินทางมาที่นี่ของผม แตกต่างจากครั้งแรก เพราะว่าเป็นวันธรรมดา ดังนั้นคนเลยน้อย จึงมีโอกาสที่ผมจะได้ชักภาพโดยไม่มีคนในภาพได้








แถมยังโชคดีตรงไปเจอนกเหยี่ยวตามธรรมชาติบนยอดเขาด้วย แต่ได้รสชาติไปอีกแบบครับ








ตามไปดูภาพกันได้ ที่นี่ ครับ








Summer trip 11: Salzburg: the City of Music

ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งบ้านเกิดของกวีเอกของโลก ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนในซาลบวร์ก เราก็จะต้องเจอกับดนตรีครับ สมกับชื่อว่า เมืองแห่งเสียงดนตรี

Summer trip 10: Friendship at School

มาเรียนที่นี่ได้สักพักก็เริ่มได้เพื่อนใหม่หลายคนแล้วหละครับ จากหลายประเทศ


แต่เอาเข้าจริง มันก็เหมือนกับชีวิตในลุนด์ เพราะผมกลับสนิทใจในการคบกับเอเชี่ยน และแอฟริกันมากกว่าพวกยุโรปจริงๆ

ดังนั้นเพื่อในก๊วนของผมขณะเรียนก็มีอยู่แค่สี่คนเท่านั้นแหละครับ คือ ผม จากประเทศไทย



คนแรกนี่เลย ทาคาชิ จากญี่ปุ่่น









คนนี้แจสป้า จากแคเมอร์รูน









และนี่ โซลาร์โตจากอินโดนีเซีย









มิตรภาพที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาแค่สองอาทิตย์ แม้ว่ามันสั้น แต่มันก็น่าจดจำครับ :)

Summer trip 9: the Mozart's festival

นั่งเรียนกฎหมายมาได้แค่วันเดียว โปรแกรมเที่ยวก็เริ่มแล้วครับ อย่างแรกต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าที่ซาลบวร์กนี้น่ะ เป็นเมืองที่เป็นบ้านเกิดของคีตกวีเอกของโลก Mozart ครับ และในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของทุปีจะเป็นช่วงเทศการ Summer Festival and Music Festival ของที่นี่ ดังนั้นแค่วันแรกของการเรียน โปรแกรมก็เริ่มขึ้นแล้วนั่นก็คือการแนะนำให้พวกเรามาร่วมงานมิวสิคเฟสติวัลที่จัดขึ้น โดยในคืนนี้จะเป็นการฉายภาพการแสดงละครเพลงที่เพลงทั้งหมดแต่ขึ้นโดย Don Giovanni หรือ โมซาร์ท ครับ

ผมกับเพื่อนๆ ก็ได้มาร่วมงานกันครับ ที่แสดงและที่นั่งจัดได้ดีมาก ในภาพจะเห็นจอภาพและด้านหลังก็เป็นปราสาทแหละครับชื่อว่า Hohensalzburg ซึ่งอยู่บนยอดเขา ผมและเพื่อนๆ เข้าไปนั่งเพื่อฟังดนตรีกันอย่างเป็นระเบียบ ผู้คนที่มาเนี่ยะมาฟังกันแบบจริงจังมาก ส่วนผมหูคงไม่ถึง ที่นี่นั่งได้สักไม่ถึงสิบนาที เริ่มอยากลุกกลับโรงแรมมาก แต่ไม่สามารถ เพราะว่าดัดสเออะไปนั่งซะกลางเลย ไม่สามารถของปลีกตัวออกมาได้เลย กระสับกระส่ายอยู่นานว่าจะเอาไงดี ไม่ให้น่าเกลี่ยด เพราะไอ้ทาคาชิ เพื่อนชาวที่ญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อหรืออยากลุกหนีแต่ประการใด


และแล้วเทพยดาก็มาโปรด ฝนห่าใหญ่ตกลงมาโดยไม่ได้นัดหมาย ความโชคดีจึงบังเกิด เพราะคนลุกหนีกัน ผมก็เลยสบโอกาส ขอจรลีละครับท่าน พร้อมกับไอ้ทาคาชิ เพราะมันคงเห็นว่าฝนตก กลับก็ดีเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้ก็มีเรียนแต่เช้า


พอออกมาผมก็เลยได้โอกาสถามมันไปว่า ตกลงไอ้ที่เขาร้องๆ เมื่อกี๊อ่ะ มันภาษาอะไร มันก็บอกว่าไอก็ฟังไม่ออก อ้าวไหงตอบงี้อ่ะ

เลยถามไปอีกว่าก็เห็นฟังซะอินเลย ฝนไม่ตกไม่ลุก มันตอบกลับมาว่าดีแล้วที่ฝนตก เพราะไอจะได้ลุก เพราะเบื่อมาก อ้าววววว+++++

ว่าแล้วผมและเพื่อนๆ ก็เลนเดินกลับโรงแรมกันครับ

Summer trip 8: Salzburg: A city of church

ถ้าจะลองดูรูปของเมืองซาลบวร์กจากมุมสูง เราก็จะพบว่าที่ซาลบวร์กเนี่ยะ แค่ในเมืองเก่าหรือตัว Old town อย่างเดียวก็มีโบสถ์แทรกอยู่กับเมืองขนาดเล็กไปกว่าสิบโบสถ์ได้ ลองดูจากภาพคงเห็นยอดโบสถ์ในเมืองเก่าได้อยู่หลายโบสถ์ทีเดียว ลองนับดู






ที่เกริ่นมาว่าที่ซาลบวร์กโบสถ์เยอะ เนี่ยะไม่ได้อะไรหรอก อยากให้ลองนึกภาพตามดู อย่างในภาพนี้ ผมถ่ายจากที่นั่งเรียนในห้อง โบสถ์นี้อยู่ใกล้สุดแล้วครับ ที่เห็นในภาพก็คือหอระฆังของโบสถ์ครับ







แต่ที่อยากให้นึกภาพไปก็คือ เวลาครบชั่วโมงเนี่ยะ โดยเฉพาะช่วงเวลาเที่ยง แต่ละโบสถ์ก็จะมีการตีระฆังไงครับ เรื่องมันก็เลยเป็นว่า ตลอดสองอาทิตย์ที่ผมนั่งเรียน โดยเฉพาะเวลาเที่ยง โบสถ์แรกจะเริ่มตีระฆัง จบแล้วโบสถ์ที่สองจะตีต่อ ต่อด้วย สาม สี่ ห้า หก ....


ลองคิดดูเสียงระฆังดังเหง่งหง่างตลอดเวลา เรียนไม่ได้เลย อาจารย์สมาธิหลุดถึงขั้นหยุดบรรยาย

ก็ไม่ให้หยุดได้ไง เท่าที่จับเวลาได้ ระฆังตีกันไปมา สะระตะได้ประมาณ 15 นาทีเชียวนะ


นี่ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ในการเรียนที่ซาลบวร์กครับ เรียนไปในเสียงระฆัง สมกับชื่อ The Sound of Salzburg......

Summer trip 7: At School

อย่างที่เคยบอกแล้วครับว่าเป้าหมายหลักของการเดินทางคือการเรียนซัมเมอร์ที่ Salzburg Law School


ดังนั้นเวลาสองอาทิตย์ในวันจันทร์ถึงศุกร์จึงหมดไปกับการเรียน ส่วนเรื่องเที่ยวน่ะเป็นเรื่องเสริมครับ


การได้มาเรียนที่ซางบวร์กคอร์สนี้ทำให้ผมได้รู้จักผู้คนมากมาย จากหลากหลายประเทศ ได้ฟังบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆ คน และได้รับประสบการณณ์อันดีจากหลาย Professors

ภาพแรกก็คงเป็นภาพผู้เข้าร่วมทุกคนครับที่หน้าคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยซาลบวร์ก




ส่วนบุคคลแรกที่ต้องกล่าวถึงก็คงไม่พ้นคนนี้ครับ Professor Otto Triffterer, Salzburg Law School, University of Salzburg ผมได้รับความรู้มากมาย และวิถีทางที่จะเป็นนักกฎหมายอาญาระหว่างปรเทศที่ดีจากท่านผู้นี้แหละ เป็นการตอกย้ำว่าการที่ผมเลือกที่จะศึกษาด้านนี้ ผมไม่ได้เลือกผิดแต่อย่างใด




คนนี้ คือ Ambassador Christian Wenaweser, President of the Assembly of States Parties of the Rome Statute of the International Criminal Court



คนนี้คือ Professor Benjamin Ferencz, A frmer Nuremberg War Crimes Prosecutor





สองคนต่อมาคือ Professor Roger Clark, Rutgers University School og Law and Bianca Jagger, President of the Brian Jagger Human Rights Foundation




Dr. David Donat Cattin, Director of the International Law and Human Rights Programme, Parliamentarians for the Global Action



Professor Elies van Sliedregt, University of Amsterdam



Dr. Carsten Stahn, Leiden University




Prof Gerhad Hafner, University of Vienna






Morten Bergsmo, International Peace Research Institute Osla



Dr. Guenael Mettraux, Defence Counsel appearing before International Criminal Tribunals




Professor Dr. Richars Dienhofer, Unversity of Berne, Switzerland





Professor William Schabas, National Univerisity of Ireland Galway




Professor Gudrun Hochmayr, University of Frankfurt/Order