Monday 21 September 2009

HBD to my DAD

อีกสองวันก็จะถึงวันคล้ายมันเกิดของอาปาแล้วครับ

ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่ผมไม่ได้อยู่ร่วมฉลองวันคล้ายวันเกิดของอาปา เพราะการที่ต้องมาอยู่ที่ต่างประเทศ แต่บางครั้งผมก็คิดว่าการมาอยู่ต่างประเทศทำให้ผมได้รู้สึกผูกพันและใกล้ชิดครอบครัวมากขึ้นกว่าการอยู่ในประเทศไทยเสียอีก แม้ว่ากายจะห่าง แต่ทว่าใจกลับตรงข้าม ผมได้สื่อสารกับทุกคนมากขึ้นกว่าการทำงานเป็นบ้าเป็นหลังดังในตอนที่อยู่ในประเทศไทย

ผมได้พูดคุยโทรศัพท์กับครอบครัว ผมโทรศัพท์จากสวีเดนกลับไปประเทศไทยบ่อยครั้งและยาวนานกว่าการโทรศัพท์จากรังสิตกลับไปอ่างทอง

ดังนั้นคำว่า ระยะทางไม่ได้เป็นอุปสรรคในการแสดงออกซึ่งความรัก ความเข้าใจ และการห่วงหาอาทรซึ่งกันและกันเลยครับ

แต่สุดท้ายผมอยากให้อาปา อาม้า และพี่ๆ ทุกคน รักษาสุขภาพนะครับ

หนุ่ย

Wednesday 2 September 2009

Summer trip 16: Salzburg city: the city of BELLS

ผมเคยเขียนไปครั้งหนึ่งแล้วว่าในตัวเมืองซาลบวร์กเนี่ยะมันจะมีโบสถ์มากมาย ทุกถนนเลย เยอะมาก ดังนั้นทุกตอนเที่ยงระฆังของบรรดาแต่ละโบสถ์ก็จะดังกังวานไปทั่วทั้งเมือง


ทุกวันก่อนได้เวลาพักเที่ยงเสียงสัญญาณเหล่านี้จะแข่งขันกันจนแทบไม่เป็นอันเรียนเลยทีเดียว


ดังนั้น Salzburg is not only the city of music but it also a city of bells, the sound of BELLS.....

Summer trip 15: Ice-cream

หลังจากการที่ได้เดินทางไปอิตาลี เมื่อต้นปี ทำให้ผมได้ลิ้มรสอิตาเลี่ยนไอศกรีม ที่อร่อยมากมาย พอได้เดินทางมาที่ออสเตรียก็พบว่าร้านไอศกรีม มีมากมายไปทั้งเมืองซาลบวร์ก ผมก็เลยไม่เคยพลาดที่จะลิ้มลองรสชาติ ส่วนราคาไอศกรีมที่นี่ก็แตกต่างกันไป ถ้าสองลูกราคาก็มีตั้งแต่ 1.5 EUR - 2.1 EUR แล้วแต่ทำเลที่ตั้ง





แต่กว่าสองอาทิตย์ที่ซาลบวร์กผมก็กินไปแทบจะวันเว้นวัน กินมันไปทุกร้าน เอาให้หายอยาก ดันร้อนดีนัก ฮ่าๆๆๆ

Summer trip 14: Air-Conditioned Bus

ไอ้ตอนที่อยู่ที่ซาลบวร์กเนี่ยะ อากาศที่นี่หน้าร้อนมันร้องตับแลบเลยเหมือนกัน แม้ว่าตอนกลางคืนมันจะเย็นนะ แต่ พอกลางวันนี้แดดเปรี้ยงปร้างมากๆๆๆๆ


ทีนี่ไอ้ตอนนั่งรสบัสไปเที่ยวโน่นนี่นะสิ รถเมืองนอกผมก็ไม่รู้ เพราะสวีเดนบัสจะมีแต่ฮีตเตอร์ ไม่มีแอร์ ก็เลยคาดว่าที่ออสเตรียคงเช่นกัน เพราะนั่งไปไหนต่อไหน เหงื่อตกไปตามๆ กัน บางวันกลับมาถึงขั้นขี้เกลือขึ้นเสื้อเลยทีเดียว


กระทั่งวันก่อนเดินทางออกจากซาลบวร์ก ได้ขึ้นบัสอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่มันเปิดแอร์ครับ โอ้วววว พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก กรูมาอยู่สองอาทิตย์ดันเพิ่งมาเปิดก่อนกรูไป เฮ้อๆๆๆๆๆๆ อย่างเซร็ง

Summer trip 13: Hellbrunn Palace and Trick Fountains

เกือบสองอาทิตย์ที่ผมอยู่ีที่ซัลบวร์ก ผมใช้เวลาการอยู่ที่นี่อย่างสุดคุ้มเลยก็ว่าได้

หากว่าใครเดินทางมาที่นี่แล้ว สถานที่ที่ทุกคนต้องไม่พลาดในการไปเยี่ยมชมก็ต้องมีที่นี่แน่นอน ปราสาทเฮลบรุน

สำหรับผมแล้วการเดินทางมาที่เฮลบรุนในรอบสองสัปดาห์ที่อยู่ที่นี่ ผมก็มาสองรอบครับ ว่าแต่อย่างแรกคงต้องหาเหตุผลก่อนว่าการเดินทางมาปราสาทนี้มาเพื่อ? ผมลองหาเหตุผลได้หลายอย่างทีเดียว
  • ปราสาทนี้อยู่ทางผ่านในการเดินทางไปเทือกเขาอุนเทอร์สเบิร์ก ดังนั้นขากลับต้องผ่านอยู่แล้ว
  • ค่าเข้าปราสาทนี้มันรวมอยู่ในซาลบวร์กการ์ดแล้ว
  • ปราสาทสีสวยครับ สีเหลื๊องเหลือง
  • สวนนำพุกล (Trick fountain) ต้องมาลอง ดูกลไกโบราณในการสร้างกลลวงในสวนน้ำพุแห่งนี้
  • ไปแวะชมศาลา the sound of music ในสวนของปราสาทครับ
ดังนั้นจึงไม่เป็นการยากเลยที่จะแวะที่นี่

ตัวปราสาทสองชั้น ขนาดไม่ใหญ่มาก หากแต่ไม่มีอะไรเลยซิพับผ่า เช่น fish room ในห้องก็มีแต่รูปวาดปลา Horse room ในห้องก็มีแต่รูปวาดม้า โอ้วววว ไม่น่าเชื่อ ว่าใช้เวลาจริงๆ สิบห้านาทีก็เพียงพอแก่การชมจริงๆ







ส่วนน้ำพุเล่นกล น่าจะเป็นไฮไลท์ของที่นี่ เขารับประกันว่าทุกคนสักนิดสักหน่อย คงต้องเปียกเป็นแน่แท้ ผมไปมาสองรอบ ให้ตายซิ เปียกอยู่ดี รอบแรกอ่ะเพราะไม่รู้แกว เราก็เลยไม่ทันระวังตัว แต่อีรอบสองนี่สิ เฮ้อ ดันไปตามสองเจ๊จากเกาหลี ไอ้เราก็รู้แล้วว่ามันจะฉีดน้ำมาแล้ว ต้องรีบ แต่สองเจ๊กลับยืนนิ่งขวางทางซะงั้น เลยต้องร่วมซวยไปด้วยเลย แอบเซ็งจริงเซ็งจัง



ส่วน Casebo ไม่มีไรเลย ก็ศาลาธรรมดา ไม่มีคนมาดูเลย เฮ้อ อุตส่าห์เดินมาตั้งไกลเพื่อดู

Summer trip 12: Untersberg Mountain

พอเรียนได้เกือบอาทิตย์แผนการเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็บังเกิดครับ


ผมมีแผนการเที่ยวมากมายที่ต้องดำเนินการในช่วงของเสาร์และอาทิตย์ ทั้งการไป Untersberg Mountain, Hallstatt, Hohensalzburg, และอื่นๆ อีกมากมาย


และที่สำคัญคือการเดินทางในครั้งนี้ก็คือหาเพื่อนร่วมเดินทาง และแล้วเคราะห์ร้ายก็ไปตกกับคนคนนี้ที่ผมหว่านล้อมจะตกหลุมมาร่วมเดินทางกะผมได้ในครั้งนี้ ไม่ใช่ใครครับ ทาคาชิ คูโบตะ เพื่อนชาวอาทิตอุทัยเนี่ยะแหละ


การเดินทางของเราเริ่มขึ้นในเช้าวันเสาร์ หลังจากกินอาหารเช้า เราก็นั่งรถเมล์ไปที่สถานีรถไฟ เพื่อเปลี่ยนสายไปนั่งรถเมล์อีกสายเพื่อเดินทางไปยังเป้าหมายแรกของเราคือ เทือกเขาอุนเทอร์สเบิร์ก อยู่ออกไปจากเมืองซาลบวร์กไม่ไกลครับ


การขึ้นเขานี้ ต้องอาศัยการนั่ง cable car ขึ้นไปแล้วเดินเท้าต่อ ผมก็ไม่ได้หวั่นอะไร จิ๊บๆ


คนมาขึ้นเยอะพอควรเพราะว่าเป็นวันเสาร์ นี่ขนาดมาแต่เช้าแล้ว


หลังจากใช้วิทยายุทธ์แย่งเขากระเช้า ดันได้เข้าเป็นคนสุดท้าย อ๊ะๆๆๆ อย่านึกว่าไม่ดี เพราะของดีมันต้องอันนี้ เพราะว่าเราจะยืนติดประตูสามารถมองเห็นวิวได้ตลอดครับ

หลังจากขึ้นได้สักนิด ก็เป็นอย่างนี้เลย




กระเช้าขึ้นสูงไปเรื่อยๆ มันไม่เสียวหรอก กระทั้งมันมีเสาอยู่พอผ่านเสาที่ตั่งบริเวณหน้าผาไปมันก็เหมือนเป็นแอ่ง กระเช้าจะแกว่งเหมือนเรานั่งชิงช้าสวรรค์ แต่ที่ต่างไปคือ แกว่งอยู่บนเหวเบื้องล่าง บรรดาคนก็กรี๊ดกร๊าด ใจหายไป

นี่เป็นมุมมองที่เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน






หลังจากนั้นเราต้องเดินเขาต่อ เพราะเป้าหมายของเราคือ ไม่กางเขนด้านบนโน้นนนน ในภาพอาจมองไม่เห็นหรอกไม้กางเขน กดขยายรูปนี้ดู แล้วคุณจะเห็นความจริง ว่ามันไกลม๊ากกกก แถมตอนที่ถ่ายเนี่ยะผมเดินมากว่าครึ่งทางแล้ว ที่เหลือเนี่ยะ หนึ่งในสามได้







แต่ในที่สุดผมก็มาถึงครับ (แลกกับรองเท้าผ้าใบหนึ่งคู่ที่ไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไป เพราะการมาปีนเขาครั้งนี้)


แถมกับได้เก็บภาพวิวอีกนิดหน่อย ก็เลย โอเคครับ จรลีลง เพราะว่าต้องไปที่อื่นต่ออีกหลายรายการ


แต่การเดินทางมาที่เมือกเขานี้ของผมไม่ได้มาแค่ครั้งเดียว เพราะถัดจากครั้งแรก 3 วันเมื่อบิ๊กมาเที่ยวที่นี่(ซาลบวร์ก) ผมก็ขันอาสาเป็นไกด์ ก็พามาที่นี่อีกครั้ง


ครั้งที่สองของการเดินทางมาที่นี่ของผม แตกต่างจากครั้งแรก เพราะว่าเป็นวันธรรมดา ดังนั้นคนเลยน้อย จึงมีโอกาสที่ผมจะได้ชักภาพโดยไม่มีคนในภาพได้








แถมยังโชคดีตรงไปเจอนกเหยี่ยวตามธรรมชาติบนยอดเขาด้วย แต่ได้รสชาติไปอีกแบบครับ








ตามไปดูภาพกันได้ ที่นี่ ครับ








Summer trip 11: Salzburg: the City of Music

ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งบ้านเกิดของกวีเอกของโลก ไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนในซาลบวร์ก เราก็จะต้องเจอกับดนตรีครับ สมกับชื่อว่า เมืองแห่งเสียงดนตรี

Summer trip 10: Friendship at School

มาเรียนที่นี่ได้สักพักก็เริ่มได้เพื่อนใหม่หลายคนแล้วหละครับ จากหลายประเทศ


แต่เอาเข้าจริง มันก็เหมือนกับชีวิตในลุนด์ เพราะผมกลับสนิทใจในการคบกับเอเชี่ยน และแอฟริกันมากกว่าพวกยุโรปจริงๆ

ดังนั้นเพื่อในก๊วนของผมขณะเรียนก็มีอยู่แค่สี่คนเท่านั้นแหละครับ คือ ผม จากประเทศไทย



คนแรกนี่เลย ทาคาชิ จากญี่ปุ่่น









คนนี้แจสป้า จากแคเมอร์รูน









และนี่ โซลาร์โตจากอินโดนีเซีย









มิตรภาพที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาแค่สองอาทิตย์ แม้ว่ามันสั้น แต่มันก็น่าจดจำครับ :)

Summer trip 9: the Mozart's festival

นั่งเรียนกฎหมายมาได้แค่วันเดียว โปรแกรมเที่ยวก็เริ่มแล้วครับ อย่างแรกต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าที่ซาลบวร์กนี้น่ะ เป็นเมืองที่เป็นบ้านเกิดของคีตกวีเอกของโลก Mozart ครับ และในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของทุปีจะเป็นช่วงเทศการ Summer Festival and Music Festival ของที่นี่ ดังนั้นแค่วันแรกของการเรียน โปรแกรมก็เริ่มขึ้นแล้วนั่นก็คือการแนะนำให้พวกเรามาร่วมงานมิวสิคเฟสติวัลที่จัดขึ้น โดยในคืนนี้จะเป็นการฉายภาพการแสดงละครเพลงที่เพลงทั้งหมดแต่ขึ้นโดย Don Giovanni หรือ โมซาร์ท ครับ

ผมกับเพื่อนๆ ก็ได้มาร่วมงานกันครับ ที่แสดงและที่นั่งจัดได้ดีมาก ในภาพจะเห็นจอภาพและด้านหลังก็เป็นปราสาทแหละครับชื่อว่า Hohensalzburg ซึ่งอยู่บนยอดเขา ผมและเพื่อนๆ เข้าไปนั่งเพื่อฟังดนตรีกันอย่างเป็นระเบียบ ผู้คนที่มาเนี่ยะมาฟังกันแบบจริงจังมาก ส่วนผมหูคงไม่ถึง ที่นี่นั่งได้สักไม่ถึงสิบนาที เริ่มอยากลุกกลับโรงแรมมาก แต่ไม่สามารถ เพราะว่าดัดสเออะไปนั่งซะกลางเลย ไม่สามารถของปลีกตัวออกมาได้เลย กระสับกระส่ายอยู่นานว่าจะเอาไงดี ไม่ให้น่าเกลี่ยด เพราะไอ้ทาคาชิ เพื่อนชาวที่ญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อหรืออยากลุกหนีแต่ประการใด


และแล้วเทพยดาก็มาโปรด ฝนห่าใหญ่ตกลงมาโดยไม่ได้นัดหมาย ความโชคดีจึงบังเกิด เพราะคนลุกหนีกัน ผมก็เลยสบโอกาส ขอจรลีละครับท่าน พร้อมกับไอ้ทาคาชิ เพราะมันคงเห็นว่าฝนตก กลับก็ดีเหมือนกัน เพราะพรุ่งนี้ก็มีเรียนแต่เช้า


พอออกมาผมก็เลยได้โอกาสถามมันไปว่า ตกลงไอ้ที่เขาร้องๆ เมื่อกี๊อ่ะ มันภาษาอะไร มันก็บอกว่าไอก็ฟังไม่ออก อ้าวไหงตอบงี้อ่ะ

เลยถามไปอีกว่าก็เห็นฟังซะอินเลย ฝนไม่ตกไม่ลุก มันตอบกลับมาว่าดีแล้วที่ฝนตก เพราะไอจะได้ลุก เพราะเบื่อมาก อ้าววววว+++++

ว่าแล้วผมและเพื่อนๆ ก็เลนเดินกลับโรงแรมกันครับ

Summer trip 8: Salzburg: A city of church

ถ้าจะลองดูรูปของเมืองซาลบวร์กจากมุมสูง เราก็จะพบว่าที่ซาลบวร์กเนี่ยะ แค่ในเมืองเก่าหรือตัว Old town อย่างเดียวก็มีโบสถ์แทรกอยู่กับเมืองขนาดเล็กไปกว่าสิบโบสถ์ได้ ลองดูจากภาพคงเห็นยอดโบสถ์ในเมืองเก่าได้อยู่หลายโบสถ์ทีเดียว ลองนับดู






ที่เกริ่นมาว่าที่ซาลบวร์กโบสถ์เยอะ เนี่ยะไม่ได้อะไรหรอก อยากให้ลองนึกภาพตามดู อย่างในภาพนี้ ผมถ่ายจากที่นั่งเรียนในห้อง โบสถ์นี้อยู่ใกล้สุดแล้วครับ ที่เห็นในภาพก็คือหอระฆังของโบสถ์ครับ







แต่ที่อยากให้นึกภาพไปก็คือ เวลาครบชั่วโมงเนี่ยะ โดยเฉพาะช่วงเวลาเที่ยง แต่ละโบสถ์ก็จะมีการตีระฆังไงครับ เรื่องมันก็เลยเป็นว่า ตลอดสองอาทิตย์ที่ผมนั่งเรียน โดยเฉพาะเวลาเที่ยง โบสถ์แรกจะเริ่มตีระฆัง จบแล้วโบสถ์ที่สองจะตีต่อ ต่อด้วย สาม สี่ ห้า หก ....


ลองคิดดูเสียงระฆังดังเหง่งหง่างตลอดเวลา เรียนไม่ได้เลย อาจารย์สมาธิหลุดถึงขั้นหยุดบรรยาย

ก็ไม่ให้หยุดได้ไง เท่าที่จับเวลาได้ ระฆังตีกันไปมา สะระตะได้ประมาณ 15 นาทีเชียวนะ


นี่ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ในการเรียนที่ซาลบวร์กครับ เรียนไปในเสียงระฆัง สมกับชื่อ The Sound of Salzburg......

Summer trip 7: At School

อย่างที่เคยบอกแล้วครับว่าเป้าหมายหลักของการเดินทางคือการเรียนซัมเมอร์ที่ Salzburg Law School


ดังนั้นเวลาสองอาทิตย์ในวันจันทร์ถึงศุกร์จึงหมดไปกับการเรียน ส่วนเรื่องเที่ยวน่ะเป็นเรื่องเสริมครับ


การได้มาเรียนที่ซางบวร์กคอร์สนี้ทำให้ผมได้รู้จักผู้คนมากมาย จากหลากหลายประเทศ ได้ฟังบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆ คน และได้รับประสบการณณ์อันดีจากหลาย Professors

ภาพแรกก็คงเป็นภาพผู้เข้าร่วมทุกคนครับที่หน้าคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยซาลบวร์ก




ส่วนบุคคลแรกที่ต้องกล่าวถึงก็คงไม่พ้นคนนี้ครับ Professor Otto Triffterer, Salzburg Law School, University of Salzburg ผมได้รับความรู้มากมาย และวิถีทางที่จะเป็นนักกฎหมายอาญาระหว่างปรเทศที่ดีจากท่านผู้นี้แหละ เป็นการตอกย้ำว่าการที่ผมเลือกที่จะศึกษาด้านนี้ ผมไม่ได้เลือกผิดแต่อย่างใด




คนนี้ คือ Ambassador Christian Wenaweser, President of the Assembly of States Parties of the Rome Statute of the International Criminal Court



คนนี้คือ Professor Benjamin Ferencz, A frmer Nuremberg War Crimes Prosecutor





สองคนต่อมาคือ Professor Roger Clark, Rutgers University School og Law and Bianca Jagger, President of the Brian Jagger Human Rights Foundation




Dr. David Donat Cattin, Director of the International Law and Human Rights Programme, Parliamentarians for the Global Action



Professor Elies van Sliedregt, University of Amsterdam



Dr. Carsten Stahn, Leiden University




Prof Gerhad Hafner, University of Vienna






Morten Bergsmo, International Peace Research Institute Osla



Dr. Guenael Mettraux, Defence Counsel appearing before International Criminal Tribunals




Professor Dr. Richars Dienhofer, Unversity of Berne, Switzerland





Professor William Schabas, National Univerisity of Ireland Galway




Professor Gudrun Hochmayr, University of Frankfurt/Order


Summer trip 6: At Hotel Kolpinghaus, Salzburg

การเดินทางมายังซาลบวร์กครั้งนี้เป็นครั้งแรกของผม ผมไม่เคยเดินทางมายังที่นี่เลย หากแต่ที่นี่เป็นอีกหนึ่งเป็นเป้าหมายที่ผมอยากมาเป็นที่สุด


ดังนั้นจะว่าไปการที่ผมสมัครเรียน Salburg Law School on International Criminal Law, Humanitarian Law and Human Rights Law ก็เหมือนเป็นการมาเที่ยวด้วยไปในตัวครับ


คอร์สนี้ผมหาเจอมาตั้งแต่ก่อนเดินทางมาเรียนที่สวีเดน แต่การจะมาร่วมเรียนโดยเดินทางมาจากประเทศไทย คงลำบากพอดู เพราะค่าใช้จ่ายมันสูง


พอได้มาอยู่ที่สวีเดน ดังนั้นการเดินทางไปเรียนจึงสบายมากขึ้นมามากทีเดียว


หากจะพูดถึงการเดินทางมาซาลบวร์กจากมิวนิคนี้ ค่อนข้างสะดวกทีเดียว หากก็แต่ค่ารถไฟมันไม่ได้ถูกมากนักหรอก นั่งมาก็จ่ายไปราวๆ 25 ยูโรทีเดียว ตกประมาณพันสองร้อยบาทกับการนั่งรถไปราวๆ สองชั่วโมง


ทันทีที่มาถึงชานชลาที่ซาลบวร์ก ก็งงซิครับ ไม่เคยมา แถบแผนที่ทั้งหลายก็ไม่มี ข้อมูลการเดินทางการมีไม่มาก เพราะกะว่ามาเรียนสองอาทิตย์ค่อยมาหาเอาที่นี่ก็ได้ ดังนั้นพอได้แผนที่มาก็งงเป็นไก่ตาแตก เพราะว่าตามข้อมูลที่ทางหลักสูตรให้มาว่าเดินทางจากสถานีรถไฟไปโรงแรมน่ะไปยังไง พอมาดูแผนที่ที่เขาแจก ถนน หรือโรงแรมที่จะไปหักกลับอยู่เลยขอบแผนที่ออกไปซะนี่ อ้าวที่นี่ตรูจะรู้ได้ไงอ่ะว่าตรงไหน เป็นตรงไหน

ดังนั้นอย่างที่เล่าไปน่ะครับ อาศัยปากกับสองขาเท่านั้นที่พาให้ผมได้มาถึงที่นี่ครับ Hotel Kolpinghaus แต่ที่เสียไปคือล้อกระเป๋า แตกเลย เสียของๆๆๆๆ เซ็ง








โรงแรมนี้นี่ะ จริงๆแล้วก็คือหอพักนักศึกษานั่นแหละ พอช่วงซัมเมอร์ทุกคนกลับบ้านกันหมด เขาก็เอามาบริหารจัดการเป็นโรงแรม สามดาว ห้องทุกห้องเป็นห้องคู่สองเตียง ราคาก็ไม่ได้แพงมากนัก แต่พอดีว่ามันรวมในค่าเรียนที่ผมจ่ายไปแล้ว หากแต่ด้วยความที่ผมต้องการความเป็นส่วนตัวก็เลยจ่ายเพิ่มนิดหน่อย แลกกับการที่ ขอนอนคนเดียวนะ เพราะว่ามาอยู่นาน ไหนต้องซักผ้าตากเต็มห้อง แล้วขอแลกกับความเป็นส่วนตัวนิดนึง ดังนั้นก็เลยอยู่คนเดียว กับทั้งช่วงปลายๆ มีเพื่อนผมจากเมืองไทยจะมาเที่ยว ดังนั้นจะเป็นการง่ายถ้าจะให้มาสิงในห้องผม (ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในการให้เพื่อนมาสิงนอนฟรี)



ในห้องมีโต๊ะหนังสือสองโต๊ะ ก่อนมาเขาแจ้งว่าในห้องมีเน็ตให้ใช้ แต่ว่าต้องจ่ายค่าเน็ต ด้วยความที่ขาดไม่ได้ เพราะดันอยู่สวีเดน ประเทศไฮเทคมานาน ก็เลยจ่ายเหมาไปเลยสองอาทิตย์ค่าอินเตอร์เน็ต 30 ยูโร หน้ามืดจ่ายไปเลย


พอต่อมาคุยกะเพื่อนๆ ทุกคนเอาสายแลนต่อใช้เน็ตได้ทุกห้อง ไม่มีใครจ่ายเงินเลยสักคน เซ็งเป็ดอย่างแรง!!!!






ถือเป็นบทเรียนราคาแพงว่าไม่จำเป็นต้องซื่อสัตย์มากก็ได้ในบางโอกาส

Summer trip 5: From Munich to Salzburg

วันที่สามของการเดินทาง วันนี้ผมตื่นแต่เช้า เพราะว่าเป็นวันที่ผมต้องเดินทางไปซาลบวร์ก จุดหมายหลักในการเดินทางในครั้งนี้ของผม


การเดินทางจากมิวนิคไปซาลบวร์กนั้นง่ายมาก เพราะว่าทุกชั่วโมงจะมีรถไฟจากมิวนิคไปซาลบวร์ก ตลอดวันเราจึงสามารถเดินทางไปซาลบวร์กได้ตลอดทุกชั่วโมง


การเดินทางใช้ระยะเวลาประมาณสองชั่วโมง ผมก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟซาลบวร์ก ประเทศออสเตรียแล้วครับ









ปัญหาไม่ใช่การเดินทางมาที่ซาลบวร์กครับ แต่ปัญหามันอยู่ที่การเดินทางจากสถานีรถไฟไปยังที่พักของผม สำหรับการมาเรียนคอร์สนี้ของผมทุกคนจะพักที่ Hotel Kolpinghaus ซึ่งก็รู้ครับว่ามันอยู่ถัดออกไปจากสถานีรถไฟ ตามเอกสารที่ได้มาเขาบอกว่าให้นั่งรถบัสต่อไปอีก แล้วเดินต่อ

ตามโพยที่ได้รถบัสมันนั่งแค่สองป้ายรถเมล์ ที่จริงน่าจะเดินได้ แต่ด้วยสภาพสังขารและสัมภาระที่หอบมา การขึ้นรถคงน่าจะเป็นทางออกที่คู่ควรกับสถานการณ์นี้มากกว่า


การขึ้นบัสที่นี่ หากซื้อตั๋วที่เครื่องราคาต่อเที่ยวจะราคา 1.8 ยูโร หากจ่ายบนรถราคา จะเท่ากับ 2 ยูโร ผมก็เลยไปซื้อที่เครื่อง ไปทำความคุ้นเคยอยู่นานเกินไปประมาณสิบนาทีก็ยังไม่เข้าใจ เพราะเครื่องมันไม่ยอมเปลี่ยนภาษา แล้วเยอรมันผมก็กระดิกเหรอเกิ๊น ได้แค่ กูด ม๊อแก้น กะ ดั๊งเคอร์ชึ่น นอกนั้น แบะๆๆๆๆ


เจ้าหน้าที่คงสงสารผมเลยเดินเข้ามาถาม ว่าจะไปไหน พอบอกไปมันก็บอกว่าให้ไปซื้อตั๋วที่เครื่องนั่นแหละถูกแล้ว อ้าววววว....แค่เนี๊ยะ งานมันเสร็จแระ


ผมก็เลยต้องงมต่อกับเครื่อง กระทั่งมีคนเขาสงสารเดินมาบอกผมว่า อ่อ ที่รูทำไม่ได้สักทีน่ะ เพราะว่าเครื่องมันเสีย โอ้วแม้เจ้า และตรูกดอะไรเสียตั้งนาน ไอ้เราก็นึกว่ามันคงเออเร่อ แหมทำไมประมวลผลนานจัง


ในที่สุดก็เลยนั่งรถไปโดยการยอมเสียเงินซื้อบนรถก็ได้ สองยูโร

นั่งไปตูดยังไม่ร้อนก็ลงซะแล้ว


ทีนี้ตามโพย มันบอกว่า ลงรถแล้วเดินไปนิดนึงก็เจอโรงแรม......


ไหนวะ!!!!!!


จากเดินหน้า ถอยหลัง เข้าซ้าย ทะลุขวา ก็ยังไม่เจอโรงแรม เลยตัดสินใจเดินดุ่มๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ โอ้วคุณพระ เดินมาประมาณเกือบกิโล ผมก็เจอโรงแรม สงสัยประเทศนี้มันเข้าใจว่า 1 ค่ามันไม่เยอะ หนึ่งกิโลก็เลยนิดเดียว เชอะ!!


จากสถานีรถไฟ ผมใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง กับการเดินทางมาจนถึงโรงแรม โอ้วที่เหรอวะ ใกล้นิดเดียว!!!!

Summer trip 4: the Royal Castles

เช้าวันที่สองของการเดินทางในครั้งนี้ ผมยังอยู่ที่นี่ครับ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

เมื่อคืนก่อนนอนผมก็นั่งวางแผนอยู่นั่นแหละว่าจะเอาอย่างไรดีหนอ ไปเที่ยวปราสาทดี หรือไม่ไปดี เพราะที่จริงก็เริ่มขี้เกียจ แต่ก็นะ อุตสาห์มาถึงที่นี่แล้ว ยังๆ ก็คงต้องไป แล้วจะไปตอนไหน อย่างไรดีหนอ ข้อมูลที่มีมาก็ไม่มากเท่าไหร่ เท่าที่รู้ก็คือ นั่งรถไฟจากมิวนิคไปฟูเซ่น แล้วนั่งบัสจากฟูเซ่นต่อไปก็จะถึงปราสาทนอยชวานสไตน์แล้ว

ดังนั้นด้วยความที่กลัวว่าอากาศจะร้อน ฝนจะตก (ประมาณว่าไม่ไว้ใจอากาศเท่าไหร่) วันนี้ผมเลยตื่นซะมันตั้งแต่ตีห้าเลย ขณะที่ทุกคนในห้องหลับอุตุ ผมก็หอบสังขารอันบอบบางไต่บันไดเตียงลงมาชั้นล่างเพื่อไปอาบน้ำอาบท่าแต่เช้า

การเดินทางไปปราสาทที่ปรหยัดสุดก็คือการซื้อตั๋วบาเยิร์น สำหรัับการเดินทางในเขตบาวาเรียทั้งหมด โดยปกติจะใช้ได้ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงตีสาม แต่ถ้าเสาร์อาทิตย์จะใช้ได้ตั้งแต่เที่ยงคืน จนถึงตีสามของวันถัดไป วันที่ผมเดินทางเป็นวันอาทิตย์ เท่ากับตั๋วผมใช้ได้ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันเสาร์ จนตีสามของวันจันทร์ ผมก็เลยจับรถขบวนแรกๆ เพื่อไปยังฟูเซ่นครับ รถออกตั้งแต่หกโมงเช้า ไปแวพเปลี่ยนอีกขบวน ไปถึงฟูเซ่นก็ประมาณ 8.45 ได้ นั่งประมาณสองชั่วโมงครับ





เมื่อถึงฟูเซ่นเราต้องรอรถบัสเพื่อไปยังปราสาท เช้านี้รถจะมาราวๆ 9.15 ผมเลยต้องนั่งรออีกพักใหญ่


ประมาณสิบนาทีได้ รถบัสก็จะพาเราไปส่งถึงตีนเขา เราต้องเดินต่อไปยังที่ขายตั๋วเพื่อเข้าชมปราสาทครับ


ทรานี่จะมีปราสาทสองปราสาท ก็คือ Hohenschewangau และ Neuschwanstein ครับ ผมซื้อซั๋ว Royal castles ก็คือเข้าชมทั้งสองปราสาทครับ แต่ภายในประสาทไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ เซ็ง



ปราสาทแรกที่ไปชมก็คือ โฮเฮนชวากัว ครับ เป็นปราสาทของพ่อกษัตริย์ลุทวิด ผู้ที่สร้างนอยชวานสไตน์ครับ ที่ปราสาทนี้อยูาไม่สูงมาก จากปราสาทเราสามารถมองออกไปที่ทะเลสาบด้านหลัง ซึ่งจะมีหงส์อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ชื่อปราสาทนี้จึงชื่อว่า โฮเฮนชวานกัว (the Highland of Swans)


ปราสาทที่สองก็คือ นอยชวานสไตน์ ปราสาทนี้กษัตริย์ลุดวิค ให้มร้างขึ้น แต่เสียดายที่ยังสร้างไม่เสร็จ การชมก็เลยชมได้แค่บางส่วนของปราสาทครับ ปราสาทแห่งนี้ของการสร้างปราสาทเทพนิยายของดีสนีย์ ด้วยนะครับ ปราสาทของเจ้าหญิงนิทราไงครับ หรือไม่ใครยังพอจำปราสาทของแดนเนรมิตได้ ก็ประมานนั้นครับ


กลับจากปราสาท ผมก็ได้ไปนั่งพัก เดินเล่นในเมืองฟูเซ่น เพราะด้วยที่ว่าไม่รู้จะรืบกลับมิวนิคไปทำอะไร

เพราะผมกลับชอบฟูเซ่นมากกว่ามิวนิคนั่นเองครับ

Summer trip 3: The Wombat's Hostel

ตอนนี้มาถึงมิวนิคเป็นที่เรียบร้อย แต่สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อมาถึงที่นี่ก็คือการเดินทางตามแผนที่เพื่อหาที่พัก ก่อนมาผมได้จองโฮสเทลเอาไว้แล้วครับ สำหรับที่มิวนิคนี่ ชื่อว่า "วอมแบทโฮสเทล"


ถามว่าทำไมต้องเป็นที่โฮสเทลนี้ ง่ายมากเลยคำตอบ เพราะว่าไม่รู้จักเลยไง ก็หาข้อมูลตามเว็บต่างๆ ไป เห็นว่าที่ตั้งไม่ไกลจากสถานีรถไฟมาก แค่นี้ก็เข้าทาง เพราะการมาแวะที่มิวนิคนี้จุดประสงค์หลักคือการไปปราสาท ซึ่งต้องนั่งรถไฟไป และการเดินทางไปซาลบวร์กก็ต้องนั่งรถไฟไป ดัวนั้นการจะแบกสัมภาระประหนึ่งย้ายบ้านกระเตงๆๆๆๆ ไปไกลๆ คงจะไม่ใช่เรื่อง ดังนั้นมันเลยมาจบที่โฮลเทลนี้ครับ อีกอย่างมันก็ไม่ได้แพงมากจนรับไม่ได้ ตกราคาคืนนึงประมาณ 25 ยูโร สะระตะแล้วก็จิ๊บๆ คืนละพันบาท แต่ว่าเป็นห้อง 6 เตียงมีห้องน้ำในห้องครับ






ตามแผนที่กูเกิลแมป มันไม่ได้ไปไหนไกลจากสถานีรถไฟ แต่พอมาถึง กลงซิครับ ตกลงมันทิศไหนเป็นทิศไหนกันเนี่ยะ ภาษาอังกฤษซักป้ายก็ไม่มี มีแต่ภาษาเยอรมัน



อย่างที่บอกต้องอาศัยลากกระเป๋าไปมามันทุกทิศ จนมาเจอเข้ากับป้ายวอมแบท นั่นก็คือ ถึงแล้ว ที่ที่ผมจะมาฝากผีฝากไข้เสียสองคืน


รีบตรงดิ่งไปเจรจา พนักงานก็ให้กุญแจและปลอกที่หนอน หมอน ผ้าห่มมาให้แล้วบอกให้ไปห้อง 121 แค่ชั้นหนึ่งโอเคมาก คาดว่ามันคงเห็นของกองโตที่แบกมาไม่กล้าให้ชั้นอื่น เกรงจะขึ้นไม่ถึง




เข้าห้องมา มันเป็นเตียงสองชั้น ด้วยความที่ไม่มีใครหน้าไหนอยู่ในห้อง เราก็รีบทันใด ดูมันทุกที่ เพื่อจะหาที่นอนชั้นล่างให้ได้ ขี้เกียจปีน เดี๋ยวมันหัก แล้วไม่มีปัญญาจ่ายมัน สรุป 5 ที่นอนถูกจับจองหมดแล้ว เหลือแค่เตียงบนอีกเตียงเดียว เซ็งสุดๆ ต้องไต่บันไดเตียงอีกแล้ว :(



เพื่อนร่วมห้องในวันแรกเป็นฝรั่งล้วนครับ ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง สารภาพได้เลยว่าเจรจากันไม่ทันห้าประโยคก็ถวายบังคมลาบรรทมแล้ว






จะว่าไปที่วอมแบทก็โอเคนะครับ มีทั้งอินเตอร์เฯ็ตให้ใช้ ราคาไม่แพง แต่ถ้ามีคอมมาเองมีไวเลสให้ใช้ฟรีครับ แถมยังมีที่นั่งเอาท์ดอร์ไว้นั่งชิวๆ ด้วย







คืนแรกในการนอนผ่านไปอย่างง่ายดาย เพราะว่ารุ่งขึ้นต้องตื่นไปเที่ยวปราสาทนอยชวานสไตน์แต่เช้า


คืนต่อมาเพื่อร่วมห้องอีกห้าคน เป็นหน้าใหม่ทั้งหมดครับ หน้าตาใหม่ มีสองเกาหลีเข้ามากับหนึ่งตุรกี แต่สารภาพอีกทีว่าคุยน้อยมาก เพราะเหนื่อยจากการเที่ยวมาทั้งวัน ก็เลยหลับอย่างง่ายดาย แถมวันต่อมาต้องเดินทางเข้าซาลบวร์กก็เลยตัดสินใจว่าเก็บแรงไว้ ท่าจะดีกว่า