Friday 27 February 2009

Storage

ไอ้ตอนที่สมัครหอที่นี่น่ะ รายละเอียดมันก็บอกว่ามีสโตเรจให้ด้วย ไอ้ตอนนั้นก็คิดอยู่ว่ามันคืออะไรวะ ที่เก็บของ งง??




ผ่านมาเกือบครึ่งปีพ่อเจ้าประคุณเพิ่งจะรู้ว่าที่นี่เขามีห้องเก็บของสำหรับทุกห้องที่ที่ชั้นใต้ดิน




ไอ้เราก็เป็นคนปากหนัก ไม่เคยถามใครแล้วอย่างที่บอกหอนี้มันเป็นหอคนสวีเดน ดังนั้นทุกอย่างมันเป็นภาษาสวีดิชไปเสียหมด




แล้วผมไปรู้ได้ยังไงน่ะเหรอว่ามีห้องอยู่ที่ชั้นใต้ดิน




ก็ชั้นนี้มันมีห้องซักผ้าไง ทีนี้ไอ้ช่วงรอผ้าที่ซักอยู่ก็ไม่มีอะไรทำ ชั้นนี้มันมีประตูเยอะแยะไปหมด ไอ้เราไม่มีอะไรทำก็ลองเอากุญแจห้องไขประตูเล่น ไขไปไขมา ดันไขได้ห้องนึง



ในใจตอนนั้นกะว่าเอาวะ พอเปิดประตูไปข้างใน ว่าเป็นอะไร พอเปิดไฟก็พบว่าด้านในถูกจัดเป็นห้องซอยเล็กๆ ด้วยตาข่าย แล้วมีเลขที่ห้องติดเอาไว้



ไอ้ผมก็เดินหาไปจนเจอเลขที่ห้องผม ด้านในมีของอยู่หลายอย่าง ไม่มีกุญแจล็อก คาดว่าหลายอย่างคงถูกหยิบฉวยออกไปแล้วแหละ




แต่ตอนนั้นยังไม่มีอารมณ์ค้นอะไร ได้แต่ดูคร่าวๆ มันมีเสื้อผ้าสองถุงใหญ่ โต๊ะรีดผ้า โต๊ะนั่งแค่นี้เอง



ดังนั้นเลยรีบมาเอาแม่กุญแจไปใส่ก่อน กลัวของโดนยักย้ายถ่ายเท

หายหน้าหายตา

เอ่ออออ หายหน้าหายตาไปนานครับ พอกลับมาเขียนเนี่ยะ ต่อไม่ติดเอาเลยครับ



ที่หายไปไม่ได้เข้าอาอัพเดทชีวิตความเป็นอยู่ที่นี่มาสักพักก็ไม่ใช้เพราะอะไรนะครับ เพียงแค่ว่าอากาศมันหนาว หิมะก็ตก อากาศเป็นใจมากๆ ในการจำศีล ไม่อยากออกไปไหนเลยซิพับผ่า



ตอนนี้ก็เลยต้องมานั่งเล่าเรื่องย้อนหลังกันหลายงานเลยทีเดียว




เอาเป็นว่าจะพยายามเข้ามาอัพเดทเรื่องราวที่นี่บ่อยๆ ก็แล้วกันครับ แวะเวียนกันมาอ่านบ้างก็แล้วกัน

Thursday 19 February 2009

-14 degree

อากาศช่วงนี้มันหน๊าวววหนาว




น่าจะหนาวที่สุดแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ วันนี้ยามเช้าอากาศล่อเข้าไป -14 เล่นเอาหนาวเข้าใส่ ไม่อยากกระดิกลุกขึ้นจากเตียงเลยนะซิ




ทั้งนี้ทั้งนั้นตอนนี้เข้าใจความรู้สึกของไอศกรีมแระ

Wednesday 18 February 2009

หนาวอีกแว้วว

โอ้ยอากาศที่นี่เอาไงแน่เนี่ยะ งงอีกแระ



อาทิตย์ก่อนเริ่มดีขึ้นไปอยู่ที่ -1 ถึง 0 องศา แต่ไปๆ มาๆ หิมะตกมาซะสองวัน เล่นเอาหนาวอีก ลงไป -5 ถึง -4



จากนั้นก็หนาวสะสมมาเรื่อยๆ




มาเมื่อวันก่อนอยู่ๆ หิมะก็ตกอีก ชั้นหิมะที่เหลืออยู่ก็หนาขึ้นอีก




เมื่อวานนี้อุณภูมิไปอยู่ที่ -7 ก็หนาวแสบทรวงเลย พอมาวันนี้เพิ่งดูมาที่นอกห้อง ตายๆๆๆๆๆ -12




โอ้วววว วันนี้ไม่ไปไหนแระ เซ็ง หนาวจิต

Saturday 14 February 2009

Makabuja Day

แม้ว่าวันมาฆบูชาจะผ่านมากว่า 5 วันแล้ว แต่สำหรับชาวไทยที่แถบสกอเน่ทางตอนใต้ของสวีเดน เพิ่งได้จัดงานวันมาฆบูชา ในวันนี้ครับ วันวาเลนไทน์ของฝรั่งนี่แหละ






วันนี้ผมก็ตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังวัดสังฆบารมี ที่เมือง Eslöv ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะลุกเลย เพราะอากาศยามเช้าที่ชวนนอน และไม่อยากออกไปไหนเลย ทั้งหิมะก็ยังปกคลุมอยู่ อุณภูมิยอดหญ้าเมื่อเช้านี้วัดได้ -8 องศา เห็นอุณหภูมิแล้วอยากมุดเข้าใต้ผ้านวมทันที




แต่ด้วยฉันทะแล้ว ต้องลุก!!!!




วันนี้กว่าจะถึงวัดก็ราวๆ 10.30 น. ได้ ก็ได้มีโอกาสไปนั่งสวดมนต์ ฟังเทศน์ และใส่บาตรด้วย แหมที่นี่น่ะมันยากที่จะใส่บาตรกันแต่เช้า ด้วยหลายๆ อย่างมันไม่อำนวย ก็เลยมีการใส่บาตรอาหารเพลเอาเลยน่ะ







หลังจากการตักบาตรเรียบร้อยก็กินข้าวกัน หลังอาหารกลางวันก็เป็นพิธีการเวียนเทียนเลย เวียนกันตั้งแต่บ่ายโมง แค่นี้อุตส่าห์เอาซะกลางวันยังหายอยากเลย เพราะรอบวัดก็เต็มไปด้วยหิมะ ไหนต้องมาเดินเวียนเทียนกันอีก โอ้ย หนาวมากๆๆ









แต่ก็มีญาติโยมมาร่วมงานกันจำนวนหนึ่ง ทั้งไทย เทศ และลูกครึ่ง ก็เป็นกิจกรรมดีๆ แหละครับ ดีกว่านอนอุดอู้อยู่ในห้องน่ะ




ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เวียนเทียนแล้วไม่มีเหงื่อเลยสักหยด

Happy Valentine's Day

สวัสดีวันวาเลนไทน์ครับ



วาเลนไทน์แรกในต่างแดนครับ ปีนี้แม้ว่าจะไม่ได้อยู่เมืองไทย แต่สำหรับผมวันวาเลนไทน์ก็ยังมีความหมายเช่นเดิม คุณค่าของวันวาเลนไทน์ ไม่ได้ลดลงไปเพราะระยะทางครับ




วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความรัก ดังนั้นผมก็เลยอยากบอกนะครับว่า "ผมรักทุกคนนะครับ"




ตอนเด็กๆ วันนี้เป็นวันที่ต้องเหนื่อยหน่อย เพราะว่าต้องวิ่งไปแปะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่กระเป๋าเสื้อนักเรียนเพื่อนๆ น่ะครับ (แต่ผมก็รับการแปะด้วยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีคนรัก คนรักผมน่ะเรือนแสน แต่เกลียดเนี่ยะท่าจะเกือบล้านมั้ง 555+)




แถมอีกอย่างตอนเด็กๆ เนี่ยะเวลาเขาถามว่าวันวาเลนไทน์คือวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร เชื่อไหมผมไม่เคยจำได้เลยว่าวันวาเลนไทน์น่ะคือเมื่อไหร่ จนกระทั่ง.......




ร้องเพลงหนึ่งปีที่ทรมาน ของพี่เป้า สายัณห์ สัญญาได้ เพราะว่ามีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งร้องว่า ".....สิบสี่กุมภา วันวาเลนไทน์ ของขวัญจากใจ ฉันเคยให้่้เธอ......." นั่นแหละผมถึงตอบได้ซะทีว่าเมื่อไหร่เป็นวันวาเลนไทน์ เหอๆๆๆ



Thursday 12 February 2009

Seng Swedish Ped

โอ๊ยย!!!!!!! เบื่อมาก เซ็งเป็ดสวีดิชครับ เซ็งมากๆๆ



อย่างที่เคยบอกอ่ะครับว่าที่หอที่อยู่เนี่ยะ แปดห้องก็จะมีเวรทำความสะอาดทั้งเช็ดถู ห้องครัว ทำความสะอาดเตา ไมโครเวฟ ฯลฯ








และแล้วก็มาถึงเวรทำความสะอาดของไอ้จอมสกปรก *&#^%#%&(*&})((&^&*




นี่เพิ่งครึ่งสัปดาห์เท่าันั้น แต่ความสกปรกของครัวนี่ ไม่ต้องพูดถึง เกิบบรรยาย แบบว่าพอเห็นแล้วอนุมานได้ว่ามันเกินกว่าความหมายของคำว่าสกปรกไปแล้วครับ มันไปถึงโสโครกแล้ว




ธรรมดาตัวมันกินเองมันยังเก็บไว้ล้างสองครั้งต่อสัปดาห์ได้มั้ง มาคราวนี้เลยไม่ต้องพูดถึง ครัวนี่กลายเป็นห้องเก็บสิ่งปฏิกูลทีเดียว ทั้งคราบอาหาร น้ำมัน ถ้วยโถโอชามของมันเอง ขยะ แก้วน้ำใช้แล้ว เศษขนมปัง ฯลฯ โอ้ยแบบว่าไม่กล้าจะถ่ายรูปเลย กลัวมองเห็นว่าเป็นภาพ Abstract เพราะแยกอะไรไม่ออกเลย กองพะเนินเทินทึก




วันนี้เดินไปทำอาหารกินสองครั้ง แบบว่าสุดบรรยาย เตานี่มีเศษอาหาร คราบอาหารตั้งแต่วันจันทร์ ยังปรากฏอยู่เลย สงสัยมันคงเก็บทีีเดียวตอนสิ้นอาทิตย์ วันนี้ก็เจอ มันก็เดินไปมา ทำอาหารกลางวันก็เจอ แต่มันก็ไม่เห็นเก็บล้างอะไร



โฮะๆๆๆ อยู่บ้านแม่ชอบว่าผมเป็นตัวสกปรก ไม่มีระเบียบ แต่พอมาอยู่ที่นี่กลายเป็น เทพแห่งความสะอาดและระเบียบรัตน์ซะงั้น




เลยเป็นที่มาว่าตอนนี้ เห็นหน้ามันแล้ว เซ็งเป็ด

Wednesday 11 February 2009

หิิมะขาว ร่วงพราวเต็มลุนด์

นับถึงปัจจุบัน ตอนนี้เมืองลุนด์ก็ปกคลุมไปด้วยหิมะิีสีขาวแล้ว หลังจากตกลงมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ชั่วโมง



วันนี้เลยมีความคิดบรรเจิดในการออกเดินถ่ายรูปเมืองสวยๆ ในยามที่ถูกหิมะปกคลุมมาฝากกัน (กลัวประวัติศาสตร์ซำ้รอย เพราะคราวที่แล้วขี้เกียจ ผ่านไปวันเดียวหิมะละลายเป็นโคลนดำไปหมดซะงั้น)



วันนี้เริ่มออกตัวเร็ว เลยรีบถ่ายเก็บไว้ก่อนเลย พอดีว่าเอาเข้าจริงที่ลุนด์เนี่ยะหิมะมันตกไม่มากหรอก เพราะอุณภูมิมันต่ำเกินจุดที่หิมะตกไปแล้ว มาสองสามวันนี้อุณหภูมิมันอยู่ที่ -1 ถึง 0 องศา หิมะเลยตกลงมาอย่างต่อเนื่องน่ะครับ














สวยมั๊ยยยยย

Monday 9 February 2009

อ่านนิยาย แล้วย้อนดูตัว

ตอนนี้ผมก็ห่างหายจากการอัพเดทไปนานเลย ไม่ใช่เพราะว่าเรียนหนักหรอกนะ แต่เห็แค่ชื่อเรื่องก็พอจะเดาๆ ได้แล้ว



ใช่แล้วครับ ตอนนี้ติดนิยายงอมแงม เป็น นิยายออนไลน์ น่ะครับ



อ่านมันตลอดวันเลย แทบจะไม่ได้นอนเลย



แอบคิดเหมือนกันว่า หากอ่านหนังสือเรียนน่ะ ให้มันได้อย่างนี้สิ!!!!



ตอนนี้ก็อ่านจบหมดแล้ว น่าแปลกใจมากว่า ทำไมมันกลับทำให้ผมมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เริ่มอยากค้นหาสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังเผชิญอยู่ที่นี่????



วันนี้ผมก็เลยได้นั่งคิด นั่งอยู่กับตัวเองสักครู่ ก็เลยเริ่มฉุกคิด เรื่องต่างๆ รวมทั้งมันกลับสร้างหรือรื้อฟื้นความมั่นใจในตัวเองกลับมาจนเต็มเปี่ยม




จนตอนนี้ผมได้คิดเรื่องต่างๆ มากมาย (จนน่าแปลกใจ) ความมั่นใจที่เคยหดหายก็ฟื้นกลับมาจนรู้สึกว่าผมมีภูมิคุ้มกันความผิดหวังมากขึ้นมากทีเดียว




เอาละครับ วันนี้เช้าแล้ว ชืวิตวันใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว ผมพร้อมแล้วที่จะก้าวออกจากบ้าน (หรือห้องของผม) อย่างเต็มเท้า มองไปข้างหน้า และก้าวไปอย่างมั่นคงครับ



ที่มาเขียนเรื่องนี้ไว้ ก็เหมือนการแบ็กอัพความรู้สึกตอนนี้ไว้ เพราะว่า อย่างน้อยหากเมื่อไหร่ วันใดที่ผมกำลังใจหดหายไปอีก เดินแกว่งไปมา เหมือนคอมพิวเตอร์โดนไวรัส เมื่อได้ย้อนกลับมาอ่านที่แบ็กปัพนี้มันคงจะทำให้ผมกลับมาเดินได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

Tuesday 3 February 2009

อลเวง อลหม่าน ที่ร้านขายของ (มือสอง)

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเนี้ยะ ผมตั้งใจเต็มที่ว่าแหมวันนี้อากาศดี เดี๋ยววันนี้ออกไปเดินในเมืองเสียหน่อย แล้วก็ต้องลองแวะไปเดินดูของร้านขายของมือสองเสียหน่อย เพราะว่าไม่เคยได้ไปวันเสาร์มานานแล้ว




ถามว่า ทำไมไปร้านขายของมือสองถึงต้องไปวันเสาร์ด้วยเล่า?????




ประสบการณ์สอนผมมาครับ เนื่องด้วยจากว่าร้านขายของมือสองร้ายนี้น่ะ มันเป็นของบริจาค ร้านจะเปิด อังคาร-พฤหัสบดี และวันเสาร์ ดังนั้นทุกวันจันทร์ กับวันศุกร์ มันจะเป็นวันของเข้าร้านครับ ถ้าเราไปวันอังคาร หรือวันเสาร์เนี่ยะของมันจะเยอะ รวมทั้งคนก็เยอะด้วย




เสาร์นี้ ร้านเปิดเวลา 11 โมงก็กะว่าจะไปซักสิบโมงสี่สิบห้า




ผมเดินไปแถวร้านขายของมือสองประมาณเวลานั้นแหละ ก็ตกใจครับ เพราะว่าที่หน้าร้านมีผู้คนมายืนรอการเปิดของร้านเยอะมาก ตอนผมไปถึงมีประมาณ 50 ว่าคนได้ อากาศก็หนาวมาก ไปยืนพ่นควันเพื่อรอให้ร้านเปิด ผมก็เดินแทรกๆๆๆๆๆๆ เข้าไป สักพักคนก็เยอะขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ จนกว่าร้านจะเปิด เป็นร้อยครับ เป็นร้อย ออกันอยู่ที่หน้าร้าน




คนที่มาส่วนใหญ่จากการสังเกตุแล้วอายุส่วนใหญ่เกิน 50 บางรายอาจถึง 70 80 เดินกันมาทั้งสามขา (แบบพึ่งไม้เท่า) หกขา (แบบพึ่งคอกเดิน) แบบสี่ล้อสองขา (พึ่งรถเข็น) ทุกคนยืนดูที่หน้าร้าน ประหนึ่งมองเป้าหมาย ร้านเปิดแล้วละน่าจะมีการตบตีแย่งกัน




สำหรับผม หึหึ มีแต่คนอายุเยอะ ผมก็แบบโรคสงสารผู้สูงอายุ ก็เลยอาศัยช่วงใจอ่อน หลับหูหลับตาเบียดไปเป็นคิวที่ห้าของร้าน 5555+++ ดีนะว่าฟังคำค่าสวีดิชไม่ออก เลยยิ้มรับอย่างเดียว 5555++++




พอร้านเปิดเท่านั้น ต่างวิ่งกรูกันเข้าร้านแบบว่าลืมอายุกันเลยทีเดียว หึหึหึ ผ่านประตูก็คว้าตะกร้าแล้ววิ่งไปเป้าหมายกันสุดฤทธิ์ ไอ้ผมจะถ่ายรูปความอลเวงมาให้ดูก็ไม่ได้ เพราะดั๊นไปร่วมวงอลเวงกะเขาด้วย เข้ามาแล้วถอนตัวไม่ได้ เสียศักดิ์ศรีเจ้าพ่อช็อปปิ้ง (แหมอยู่เมืองไทยได้ข่าวว่าเคยแต่เดินสำเพ็ง หัวเม็ด พาหุรัด สะพานหัน บ้านหม้อ คลองถม อิอิ)




ว่าแล้วใจตอนนั้นไม่คิดอะไร คิดแต่ว่าเอาไงดีวางแผนอยู่ว่าจะวิ่งไปโซนไหนก่อน มาวันนี้กะจะดูกางเกงยีนส์ กระเป๋า โคมไฟ (อีกแล้ว!!!!!)




อารมณ์นั้น ถ้าไม่ไหวจริงๆ พ่ออยากจะใช้แม่ไม้มวยไทยเถรกวาดลาน เก็บไม้เท้าของบรรดาคู่แข่งสูงวัย เสียซะให้เรียบเลย




แต่พอร้านเปิดไม่มีอารมณ์คิดแล้ว รีบคว้าตะกร้าวิ่งปราดไปเลย ถือว่าจำนวนเท้าน้อยแต่ไวกว่า ไปโซนเสื้อผ้า กระเป๋าทันใด หากางเกงยีนส์ ไม่มีที่ชอบซักตัว มีลีวายส์สวยเชียว แต่พ่อเล่นมีติดเพชรด้วย โอ้ยไม่ไหว ประหนึ่งเอ ไชยา มิตรชัย มาเอง




จากนั้นเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปหากระเป๋า เอกสาร กระเป๋าเดินทาง สะดุดตากับกระเป๋าสองใบ เป็นกระเป๋าหนังขนาดกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ราคาต่างกัน ใบหนึ่ง 60 โครน(ประมาณ 250 บาท) อีกใบ 125 โครน (ประมาณ 550 บาท) ยังตัดสินใจไม่ได้ เพราะตอนนั้นชั่วโมงเร่งรีบ คว้ามันทั้งสองใบเลยถือมันไว้ก่อน เดี๋ยวบรรดาคุณปู่มาแย่ง





พอความเร็วของบรรดาคุณปู่คุณย่าลดลง เพราะเริ่มเหนื่อย ผมก็ค่อยๆ เอากระเป๋ามากางดูว่าสภาพเป็นอย่างไร อย่างไม่ต้องกลัวคุณปู่ คุณตามาแย่ง (เพราะกระเป๋ามันแบบว่าออกแนวโบราณนิดนุง ประมาณคุณตายังหนุ่ม เรโทรหน่อยๆ )



แล้วแล้วจนรอด ก็ได้ถอยกระเป๋าใบแพงมา เพราะว่าสภาพดีมาก มุมยังไม่ช้ำเลย ที่ล็อกรหัสยังใช้การได้ดี เอามาก่อน จะได้เอาไปใช้หรือปล่าวเดียวว่ากันอีกที (โอ้ววว โรคจิตบ้าซื้อของได้อีก) จากรูปแอบเห็นหน้อหุงข้าวด้วย เหอเหอเหอ






โอ้ยสรุปแล้วชีวิตที่นี่ของผมผ่อนคลายความเครียดได้โดยการซื้อของ(เก่า) จริงๆ เพราะอารมณ์ดีเดินกลับบ้านลืมหิวไปเลย ทั้งที่ยังไม่ได้กินทั้งข้าวเช้ากับข้าวกลางวัน หุหุหุ

Sunday 1 February 2009

ถูกโฉลกกับหิมะ

ที่บอกไปนะครับว่าสัปดาห์นี้ผมมีหน้าที่ทำความสะอาดครัวและห้องนั่งเล่น แต่หน้าที่มันไม่ได้มีเท่านั้นครับ คนทำความสะอาดต้องรับผิดชอบปัดกวาดเช็ดถูพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด และที่สำำคัญคือต้องเป็นผู้เอาขยะไปทิ้งด้วย




ว่าด้วยเรื่องของการทิ้งขยะ ขยะที่จะต้องทิ้งนั้นมีสองส่วนครับ คือขยะเปียกก็คือพวกเศษอาหาร ทั้งหลาย อันนี้เต็มถุงเมื่อไหร่ก็ต้องเดินเอาไปทิ้งที่ที่ทิ้งขยะที่จัดไว้ให้ โดยจะอยู่นอกอาคาร เป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทิ้งขยะ จะมีตู้แยกกันไปเลยว่าขวดแก้ว พลาสติก กระดาษ เศษอาหาร ขยะรีไซเคิล




ขยะเปียกเนี่ยะทิ้งเมื่อเต็มถุง ทั้งอาทิตย์ก็ประมาณ สี่ครั้ง





ส่วนขยะแห้งอันประกอบไปด้วยกล่องนม กล่องกระดาษ กระดาษหนังสือพิมพ์ ขวดพลาสติก ขวดแก้ว อันนี้จะรวบรวมเอาไว้แล้วใส่รถเข็นเข็นเอาไปทิ้งวันอาทิตย์ครับ



แต่ไอ้เรื่องที่จะเขียนเนี่ยะ มันก็คือ ดวงผมมันถูกโฉลกกับหิมะ หรืออากาศเย็นทุกครั้งไป




ทุกครั้งที่เป็นเวรผมเข็นรถเอาขยะไปทิ้งอากาศจะไม่เคยเป็นใจเลยสักครั้ง




ครั้งแรก จำได้เลยว่าอยู่ๆ เช้าวันอาทิตย์นั้น อากาศจาก 5 องศา กลายเป็น 0 องศา
ครั้งที่สอง อยู่ๆ วันเสาร์หิมะก็ตก ลามมาวันอาทิตย์ก็ไม่หยุด ต้องฝ่าหิมะออกไป
ครั้งที่สามจำได้ว่าหิมะหยุดแล้ว แต่เป็นน้ำแข็งไปหมดเลย



แล้วมาวันนี้หิมะที่หยุดไปเกือบเดือน ดันตกมาเมื่อคืนซะงั้น




ตกลงว่าวันนี้ต้องเข็นรถฝ่าหิมะออกไปอีกแล้ว




เว็งมาก สงสัยมันรู้ว่าบ้านตูที่เมืองไทยไม่มีหิมะ