Tuesday 23 March 2010

Legitimacy II

ได้อ่านคอมเมนต์ของเพื่อนๆ เรื่องความชอบธรรมแล้ว ก็เลยคิดเห็นด้วยในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องราวในประเทศไทย ประเด็นของการชอบด้วยกฎหมายถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้ง จนเป็นชนวนที่นำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมอย่างไม่สิ้นสุด

บางทีการศึกษาเรื่อง legality กับ legitimacy อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม อาจนำไปสู่ทางออกที่น่าสนใจทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า "It is illegal, but still legitimate"

เอาเป็นว่าช่วงที่นั่งจับเจ่าเขียนไปเนี่ยะ จะลองเอาเรื่องนี้มาปรับใช้กับเหตุการณ์ในประเทศไทยดู แล้วจะลองมาเขียนบทสรุปให้อ่านกันอีกครั้งละกัน ถ้าไม่จมกองหนังสือตายไปเสียก่อน ฮ่าๆๆๆ

Legitimacy

ตอนนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาเขียนอะไรเลยครับ เพราะมัวแต่ขลุกอยู่กับการทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งตอนแรกก็ว่าไม่น่าจะหนักมาก เพราะว่าใช้เวลาเตรียมตัว และเตรียมข้อมูลมานานแล้ว แถมเรื่องที่ทำเนี่ยะ ก็ได้หยิบเอาประเด็นย่อยๆ ไปทำเปเปอร์บ้างแล้ว เพียงแค่เรียงร้อยเข้ากัน เพิ่มข้อมูลอัพเดทเสียหน่อยก็เสร็จแล้ว กำหนดเขาให้สอบเดือนพฤษภาคม โอ้วๆๆๆๆ ไม่น่าจะต้องใช้เวลานานขนาดนั้น เมษาก็สอบได้แล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ


เวลาผ่านมาสักพัก เรื่องที่คิดว่าง่ายเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะประเด็นของวิยานิพนธ์ ที่ยิ่งศึกษาไปเรื่อยๆ เริ่มเห็นได้ว่าไอ้ประเด็นที่ผมเลือกเขียนเนี่ยะ มันเริ่มยุ่งยากขึ้นเรื่องๆ จนมันน่าจะไปทำเป็นปริญญาเอกแล้ว


จากที่จะเอาเรื่องง่ายๆ เป็นรูปธรรม จับต้องได้ง่ายๆ กลับกลายตรงกันข้ามไปเสีย


เดิมผมตั้งใจจะเขียนเรื่องหลักความรับผิดที่เรียกว่า Joint Criminal Enterprise ในศาลเขมรแดง (The Extraordinary Chambers in the Court of Cambodia) เพราะมันชัดๆ อยู่แล้วว่าการเอามาใช้ของศาลเนี่ยะ มันไม่ชอบด้วยกฎหมาย โอ้ว เจอบทสรุปแบบนี้สบายมาก


และแล้วเวลาแห่งการพลิกผันก็มาถึง เนื่องจากคำเพียงสองคำ คือ legality and legitimacy (ชอบด้วยกฎหมาย กับชอบธรรม)


จากเดิมผมเพียงพิสูจน์ว่าเรื่องนี้มันชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ (ซึ่งได้คำตอบแล้ว) ยื่งพอศึกษาลึกลงไปเรื่อยๆ กลับเริ่มเห็นแววปริญญาเอกเลย เพราะประเด็นของเรื่องมันมีนัยทางการเมืองเข้ามาด้วย ดังนั้นจากเรื่องชอบด้วยกฎหมาย กลับถูกแทนที่ด้วยความชอบธรรม


หลายคนคงเริ่มงง ว่าแล้วมันแตกต่างกันยังไง ง่ายๆ ครับ ถ้าเป็นทาง legal sense ถ้าเรื่องนั้นๆ ขัดกฎหมายก็ illegally ถ้าอันไหนไม่ขัดกฎหมายก็จะ legally ทีนี้ได้เรื่องที่ผมทำมันต้องพอสูจน์ สามเรื่อง ผลออกมาว่าสองในสามกรณีศาลสามารถใช้ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนอีกหนึ่งส่วนหากศาลใช้แล้วมันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นหายนะจึงมาเยือน เพราะผมต้องสรุปให้ได้ว่าศาลจะใช้หรือไม่ใช้ ????


ดังนั้นประเด็นจากเดิมเรื่องว่าชอบด้วยกฎหมาย ก็ไหลไปกลายเป็นเรื่องชอบธรรม (Legitimacy) เพราะว่าในบางกรณีแม้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ว่ามันชอบธรรมที่จะใช้


หายนะที่ผมว่าก็คือ ผมต้องเพิ่มเนื้อหาเรื่อง legitimacy เข้ามาในวิทยานิพนธ์ ซึ่งมันนามธรรมมาก แถมมีเอกสารต้องอ่านเพิ่มอีกกว่า 500 หน้า เฉพาะเรื่อง legitimacy ตายๆๆๆๆ


ถ้าทำเสร็จสงสัยจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้วย Legitimacy 555+

Monday 15 March 2010

Princess Diana's Tunnel@Paris

เมื่อ 13 ปีที่แล้วเหตุการณ์หนึ่งที่ทุกคนน่าจะยังจำกันได้ ก็คือการสิ้นพระชมน์ของเจ้าหญิงไดอาน่า ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส


การมาปารีสในครั้งนี้ของผมก็เลยได้ไปที่อุโมงที่เกิดเหตุนี้ เพื่อรำลึกถึงเจ้าหญิงไดอาน่าด้วย ตอนแรกนึกว่าจะเป็นอุโมงใหญ่อยู่ไกลเมือง ที่ไหนได้เป็นอุโมงค์รถลอดแยกไม่ใหญ่ ไม่ยาว ไม่โค้ง และไม่น่าอันตราย อยู่กลางเมืองปารีสเลย ตรงกันข้ามเยื้องๆ กับหอไอเฟลครับ









ที่บริเวณด้านบนอุโมงค์มีสัญลักษณ์คบไฟสีทองอยู่ แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าหญิงไดอาน่าเลย แต่ที่ทำำให้เรารู้ได้ว่ามาไม่ผิดอุโมงค์ ก็คือข้อความระลึกถึงเจ้าหญิงไดอาน่าที่ถูกเขียนอยู่ตามขอบด้านบนอุโมงค์น่ะครับ แต่อ่านไปๆ มาๆ ปาะดุดตรงที่ไหงมีข้อความ “RIP, Michael Jackson” ด้วยฟะ ฮ่าๆๆๆ




ก่อนกลับได้นั่งรถลอดอุโมงค์เจ้ากรรมมาด้วย ดูซิว่ามันไม่ได้ใหญ่เลย สั้น ไม่โค้งมากมาย และดูปลอดภัยกว่าอุโมงค์ลอดแยกดินแดงบ้านเราอีก 555




















ดังนั้นใครได้มาปารีสครั้งหน้า อย่าลืมไปรำลึกถึง Princess Diana, Princess of Wales กันนะครับ

Statue of Liberty in Paris



เมื่อเราเอ่ยถึง เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) เราก็คงต้องนึกถึงนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอนุสาวรีย์นี้ออกแบบโดยเฟรเดรีค โอกุสต์ บาร์โทลดี โครงร่างเหล็กออกแบบโดย เออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค และกุสตาฟ ไอเฟล ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีสประเทศฝรั่่งเศสมอบเทพีเสรีภาพเป็นของขวัญให้แก่สหรัฐอเมริกา

แต่ที่ผมจะบอกก็คือ หากมาที่ปารีส อีกสิ่งที่เราน่าจะไปดูให้เห็นก็คือเทพีเสรีภาพ ตัวต้นแบบของฝรั่งเศสที่สร้้างขึ้น เป็นต้นแบบของการก่อสร้างตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่นิวยอร์คไงครับ


แต่การจะชมเพพีเสรีภาพต้นแบบนี้อาจจะยากสักหน่อย เพราะถ้าอยากเห็นชัดก็นั่งเรือชมก็ได้ แต่ผมไม่มีเวลา ได้แค่นั่งรถผ่านครับ เลยได้ภาพไกลมาอย่างที่เห็น ภาพใกล้เลยต้นพึ่งวิกิพีเดียวไปก่อนครับ

Wednesday 10 March 2010

Tour de Eiffel

กลับมาเรื่องของปารีสกันสักหน่อย กะว่าจะมาเขียนย่อยๆ เพื่อให้จบเรื่องของปารีส แต่ก็ไม่ค่อยว่างเข้ามาเขียนเลย


วันนี้มีโอกาสดีก็เลยกะว่าจะมาเขียนเรื่องราวของหอไอเฟล หนึ่งในแลนด์มาร์กของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

หอไอเฟลเนี่ยะถูกสร้างขึ้นมาเพื่องาน World fair ตั้งแต่ปี 1889 สะระตะแล้วก็มีอายุร้อยกว่าปีแล้ว โดยแรกๆ หลักการออกแบบของนาย Gustave Eiffel เนี่ยะ พอสร้างเสร็จประชาชนก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนเอาเศษเหล็กมาต่อๆ หันขึ้นไป ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร พอต่อมาถึงได้เอามาใช้ประโยชน์ด้วยการสื่อสารโทรคมนาคม แถมปัจจับันผมคิดว่าประโยชน์หลักของหอไอเฟลคงจะเป็นการท่องเที่ยวนี่แหละ


สำหรับการมาปารีส ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรวไหน คุณก็จะมองเห็นหอไอเฟลเสมอ ดังนั้นหากมาปารีส การจะดูหอไอเฟลให้ครบถ้วยทุกมุมนั้น เราอาจต้องเดินทางไปหลายที่เสียหน่อย วันนี้ผมเลยลองเอามาไล่ ให้ดู














มุมจากสะพาน Pont d'lena










มองจากหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟร์









มองจากบนยอด Arc de Triomphe









มองจากลานคองคอร์ด














มองจากEcole Militaire














มองจากลานด้านหน้าฝั่งแม่น้ำแซน














มองจาก Trocadero














มองจากสวน Champ de Mars













มองจากเรือขณะล่องแม่น้ำแซน


เท่าที่ลองไล่มาดูเนี่ยะ เสน่ห์ของหอไอเฟลบางทีมีทันก็ขึ้นอยู่กับโอกาส อากาศ เวลา และสถานที่จริงๆ

Sunday 7 March 2010

Corridor party

ตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่คอร์ริดอร์นี้น่ะ ยังไม่เคยเข้าร่วมคอร์ริดอร์ปาร์ตี้เสียที ครั้งนี้ก็เลยหนีไม่รอดต้องเข้าร่วมกับทุกคนเสียหน่อย


ไอ้ปาร์ตี้เนี่ยะ ทุกคนตกลงกันตั้งแต่เมื่อครั้งผมกลับไปเมืองไทย ดังนั้นหน้าที่ของผมคือแค่รับทราบและปฏิบัติตามเท่านั้น

กลับจากเมืองไทยมา ก็แค่เจอกระดาษแปะเอาไว้ในครัว ว่าจะจัดคอร์ริดอร์ปาร์ตี้ วันที่ 6 มีนาคม 2553

เอาแล้ว แล้วมันต้องทำต้องเตรียมตัวกันบ้างล่ะนี่


ที่นี้ก็เลยต้องนั่งคิดเมื่อครั้งที่แล้ว จำได้ว่าผมกลับมา เจอว่ามีคนนั่งกินเหล้าเบียร์ในครัว บ้าง ในห้องบ้าง ที่สำคัญห้องทุกห้องยกเว้นผม (เพราะเพิ่งกลับมา) ถูกเปิดประตู แล้วแต่ละห้องก็มีคนนั่งไปหมด เลยคิดว่าเอาแล้ว ตายหละ ไอ้คอร์ริดอร์ปาร์ตี้ของสวีดิช เนี่ยะมันจะเหมือนแบบไทยหรือเปล่า เพราะนั่นน่ะแค่กินแล้วก็เม้าท์เท่านั้นเป็นพอ เม้าท์ไม่จบไม่สิ้น


เมื่อวานก่อน ความคืบหน้าก็มาครับ มีกระดาษแปะเพิ่มในครัวว่า สำหรับปาร์ตี้ ทุกคนทำอาหารมากินกัน และที่สำคัญมันแจ้งว่า ให้ทุกคนเตรียมเครื่องดื่ม ไว้ด้วย เพราะว่าจะมี "Tour de Chamber" ??????


ผมแจ้งไปว่าผมจะทำ Noodle Spicy Salad หรือง่ายๆ บ้านเราคือ "ยำมาม่า" 5555+


วันนี้ผมก็ออกไปทำยำมาม่าครับ ตอนแรกว่าจะใส่กุ้งด้วย แต่เอาเข้าจริงเกิดเสียดาย เลยใส่ไปแค่หมูสับกับไส้กรอกไก่ เกิดอาการเสียดายขึ้นมาน่ะครับ



เมนูอื่นๆ เอมิลี่ ทำเกี๊ยวซ่าครับ หรือที่นี่เรียกว่า Fried Dumpling กับหมูผัดเปรี้ยวหวาน พร้อมชาไข่มุกไต้หวัน อิอิอิ


เอมม่า ทำหลายอย่าง เริ่มจากมันฝรั่งต้ม ปลาแฮริ่งทั้งแบบสดไม่ผสมอะไร แบบผสมมัสตาร์ด แบบผสมเครื่องแกง ซึ่งเคยได้ยินสรรพคุณมาเหมือนกันว่ามันเหม็นคาวมาก กับการกินแฮริ่งสดๆ และตบท้ายด้วยเค้กช็อกโกแลต พร้อมวิปครีมและซอสราสเบอร์รี่



พอได้เวลาเสิร์ฟเป็นไปตามคาด บรรดาสวีดิช เหงื่อตกกับยำมาม่าของผมเป็นแถบ เรียกว่าขอทิชชูกันใหญ่ ดีแระให้มันเหงื่อออกกันบ้าง ไอ้ผมก็ดันลืม เพราะดันทำรสชาดซะไทยจ๋าเลย ฮ่าๆๆๆ

อาหารต่างๆ ถูกลำเลียงออกมา โดยเมื่อมาถึงแฮริ่งมมาบอกให้ผมลองอันเป็นแฮริ่งสดๆ โอ้วว สุดยอดคาวเลย แบบใส่ในน้ำมัน คาวมาก แถมพอกินเสร็จต้องกระดกเหล้าตาม แต่แฮริ่งในมัสตาร์ด กับเครื่องแกง รสชาดโอเค ครับ



หลังกาแฟ และขนม เวลาของ Tour de Chamber ก็เริ่มขึ้น เอมม่าอธิบายว่า เป็นธรรมเนียมที่ทุกคนในคอร์ริดอร์จะเข้าไปในห้องของทุกคนทีละห้อง เพื่อไปนั่งเล่นในแต่ละห้อง ส่วนเข้าของห้องก็จะเตรียม Welcome drink ไว้ให้กับทุกคน

โอ้วววว ไม่นะ ผมไม่ชอบให้ใครมาอยู่ในห้อง ยิ่งบรรดาพวกในคอร์ริดอร์ด้วยแล้ว ไม่อยากเลย T_T

เราเริ่มไปที่ห้องเอมม่าก่อน ห้องก็เหมือนกันครับ แต่ต่างออกไปคือการตกแต่ง ที่สะดุดตาที่สุดในห้องนี้ก็คือ มีอ่างอาบน้ำตกแต่งห้องไว้อ่ะ เฮ้อออออ

ห้องทิมเป็นห้องต่อไป ตามด้วยห้องเอมิลี่และอลัน ห้องของโยนัส และปิดท้ายด้วยห้องผม


ผมต้องรับทุกคนด้วย Apple cider และฮอลล์ครับ บอกว่าเป็นไทยแคนดี้ อิอิอิ


พวกเราทัวร์ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนสองทุ่ม จนถึงเกือบเที่ยงคืนแน่ะ


จากนั้นทุกคนก็ออกไปต่อที่ผับ แต่สามเอเชี่ยน ผม อลัน และเอมิลี่ ขอตัวครับ เหนื่อยแล้ว


สรุปจนตอนนี้ผมเดินกลับมาเข้าห้อง ห้องทุกห้องประตูถูกเปิดอ้าไว้หมด เปิดไฟทิ้งไว้ เหมือนภาพที่ผมเจอเมื่อตอนกลับมาครั้งที่แล้ว


แต่ที่ต่างไป คือครั้งนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมทุกคนจึงเปิดประตูห้องไว้อย่างนั้น


สรุปแล้ว ไอ้ Tour de Chamber เนี่ยะมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก ดีเสียอีกที่ทำให้พวกเราสนิทกันมากขึ้น เพราะตลอดวันนี้กว่าหกชั่วโมง ผมได้คุยกับทุกคนในคอร์ริดอร์มากกว่าปีนึงที่ผ่านมาเสียอีก


ดังนั้น ถามตอนนี้ ผมประทับใจไอ้ Tour de Chamber นี่แหละครับ ใครจะเอาวิธีตามสวีดิชธรรมเนียมนี้ไปใช้ก็ไม่ว่ากัน

ป.ล. ผมถามโยนัสที่มาจากสต็อกโฮล์ม มันเองยังไม่เคยรู้เลยว่าสวีดิชมีธรรมเนียมนี้ด้วย เฮ้อๆๆๆๆ สงสัยจะเป็นธรรมเนียมของสกอเน่ ฮ่าๆๆๆ

Friday 5 March 2010

สัญญา กับความหมายว่าไม่มีลืม

ใครๆ เขาก็ว่ากันว่า เวลาจะรักษาให้จิตใจเราดีขึ้น และจิตใจเราจะหายเป็นปกติในวันหนึ่ง


แต่


เมื่อไหร่ล่ะ ที่มันจะดีขึ้นและหายเป็นปกติ 1 วัน 1 เดือน หรือ 1 ปี


หรือว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีทางหรอกที่บาดแผลในใจของคนเราจะหาย


สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อเสมอว่า บาดแผลที่เกิดขึ้นในใจเรานั้น มันไม่มีวันที่จะหายไปหรอกหรือแม้แต่บาดแผลกาย


ขึ้นชื่อว่าแผล ก็คือแผล ต่อให้แผลนั้นหายแห้งสนิท จนตกสะเก็ด จนสะเก็ดหลุดไปแล้ว บาดแผลนั้นอาจหายไป หรือไม่ก็เลือนลางไปจนอาจมองไม่เห็นร่องรอยของบาดแผลนั้นเลย


กับคนทั่วไป อาจไม่รับรู้ถึงบาดแผลนั้นของเราเลย ทั้งด้วยสายตา และสัมผัส หากแต่ตัวเราล่ะ.......


สำหรับตัวเราเองนั้น หากมองไปยังตรงนั้นทีไร ความรู้สึกก็จะแปลบขึ้นมาทันใด แม้ว่าร่องรอยบาดแผลไม่เหลืออยู่แล้ว แต่ความรู้สึกในใจ ทำไมมันไม่ได้หายไปตามบาดแผลนั้นเลย


ครึ่งเดือนแล้วที่ฮ็อกกี้ จากผมไป เพื่อนหลายคนอาจแปลกใจว่าทำไมผมไม่เคยพูดคุยกับเพื่อนๆ ถึงฮ็อกกี้เลย หรือหลายคนอาจสงสัย ว่าทำไม่บางครั้งพูดถึงฮ็อกกี้กับผม แล้วผมเพียงแค่รับรู้แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยไป







สำหรับคำตอบนี้ สำหรับผม คือ บาดแผลนั้นมันยังไม่แห้งด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าไปคิดถึงขั้นของการไม่มีร่องรอยบาดแผลปรากฎให้เห็นเลย


บางคนอาจคิดว่าเรื่องราวบางเรื่องสามารถที่จะทำใจ และลืมได้ง่าย


จริงครับ ผมเห็นด้วย ว่าเราสามารถลืมเรื่องราวบางอย่างได้ง่าย แต่นั่นเป็นเพราะว่าคุณอยากจะลืมเรื่องราวเหล่านั้นหรือเปล่า ?


สำหรับผมคนเราไม่สามารถลืมเรื่องราวอะไรได้หรอกครับ แต่บางครั้งเราจัดลำดับความสำคัญในชีวิตแล้ว เรื่องราวที่เป็นอดีตเหล่านั้นมันจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเรามากนัก เราเลยให้ลำดับความสำคัญของมันลดลงไปกว่าอย่างอื่น เลยดูเหมือนว่าเราลืมมันไป แต่เราลืมมันได้จริงหรือ ?


เวลาจึงไม่ได้ทำให้เราลืมเรื่องราวต่างๆ หรอก ครับ หากแต่เรื่องราวที่เข้ามาในชีวิตเราต่างหาก ที่เบียดบังเอาเวลาแห่งการคิดถึงนั้นไป จนทำให้เราชินชา จนถึงขั้นไม่ได้ฉุกคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นเลย.....


สำหรับผม ณ ปัจจุบัน ผมยังคงต้องปล่อยให้เรื่องราว ต่างๆ เข้ามาในชีวิตของผม เพื่ออย่างน้อย มันจะทำให้ผมไม่ได้มีเวลาไปนั่งคิดถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นมากนัก


เพราะสำหรับผมแล้ว เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม และผมรับรู้ถึงเรื่องราวเหล่านั้นมันมิใช่ความทรงจำครับ แต่มันคือ "สัญญา"

Thursday 4 March 2010

เหล็กดัด และคาเฟ่ เสน่ห์ของปารีส

หากใครได้เคยเดินทางไปปารีส หรือได้เคยอ่านเรื่องราวของปารีสมาบ้าง คงจะเคยได้ผ่านหูผ่านตามาบ้าง ถึงความสวยงามของอาคารบ้านเรือนในกรุงปารีสโดยเฉพาะในตัวกลางเมืองปารีส



สถาปัตยกรรมที่ผู้ที่เดินทางมาปารีสมักเดินทางชื่นชม ไม่เพียงแต่อาคาร หรือสถานที่สำึัญๆ โบสถ์ หรือหอไอเฟล เท่านั้น แต่เสน่ห์อีกอย่างของกรุงปารีสก็คือ อาคารบ้านเรือนที่เรียงรายอยู่โดยทั่วไป โดยเฉพาะมุมตึกตามหัวมุมแยกถนนต่างๆ มีความสวยงาม น่าตื่นตาทีเดียว





หากมีเวลาสักนิด ได้เดินชมอาคารบ้านเรื่อนในตัวเมืองไปเรื่อยๆ จะเริ่มสังเกตุเห็นสิ่งสวยงามอีกหนึ่งอย่างของปารีส ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ของบ้านเรือนในปารีสเลยทีเดียว สิ่งนั้นก็คือ"เหล็กดัด"หรือที่ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า "กาเต้อ" บ้านเรือนในปารีสจะมีเหล็กดัดอยู่ตามนอกชาน หรือกน้าต่างบ้าน แต่ที่สวยงามกว่าที่อื่นก็คือ แต่เดิมนั้นการจะทำเหล็กดัดจะต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐบาล โดยเจ้าของบ้านต้องออกแบบเหล็กดัดของตน ไม่ให้ซ้ำกับที่ได้มีการจดทะเบียนไว้แล้ว ดังนั้นบ้านแต่ละหลังจะมีลวดลายเหล็กดัดที่แตกต่างกันออกไป






และเสน่ห์อีกอย่างของปารีสก็คือคาเฟ่ หรือร้านกาแฟที่เราสามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปในเมือง ทั้งนี้แต่เดิมนั้นตอนที่นายโอสมาน ออกแบบผังเมืองกรุงปารีสนั้น เขาออกแบบโดยไม่คิดที่จะให้คนสร้างสร้างบ้านอาศัยในปารีส จะมีก็เพียงตึกอาคารธรรมดาแต่ห้ามอาศัย ต่อมาได้มีการอนุญาต แต่การปรับปรุงเอาตึกมาใช้อยู่อาศัยนั้นใช้ได้แค่การนอนเท่านั้น ดังนั้นในตึกต่างๆ จึงมีแค่เพียงห้องนอน ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ คนปารีสจะกลับบ้านก็ต่อเมืองต้องการนอนเท่านั้น ดังนั้นร้านกาแฟ หรือคาเฟ่จึงเป็นที่สำหรับการพบปะ พูดคุย หรือการเข้าสังคมของคนปารีสนั่นเอง ดังนั้นทุก 100 เมตรเราจึงจะพบว่ามีคาเฟ่ตลอด หรือตามหัวมุมตึก จะถูกทำเป็นคาเฟ่ส่วนใหญ่



ในการเดินนชมค่าเฟ่นี้ ผมก็ได้ผ่านไปคาเฟ่หนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกับประเทศไทย ที่คนไทยที่มาปารีสต้องมาให้เห็นสักครั้ง คือที่นี่ครับ คาเฟ่ เดอ ลา เปร (Café de la PAIX) ที่นี่เป็นสถานที่ประชุมของเสรีไทยที่ร่วมปฏิบัติการกันในยุโรปครับ






ดังนั้นหากใครได้มาปารีสกันอย่าลืมมาชนเส่ห์อีกสองอย่างของปารีสที่ไม่น่ามองข้ามนะครับ

Monday 1 March 2010

To Paris with a headache

วันแรกก็ออกเดินทางจากเดนมาร์กไปปารีส การเดินทางของผมก็เจออุปสรรคขนาดใหญ่เลย เพราะว่าหิมะตกหนักที่ลุนด์ กว่าจะออกจากหอได้ ก็ต้องยัดตัวเข้าเสื้อผ้าเสียหลายชั้น แถมที่น่าหนักใจคือปารีสน่ะมันไม่หนาวแล้ว แต่ผมกลับต้องหอบเสื้อผ้าขั้วโลกไปเที่ยวปารีส :(


ดังนั้นกว่าจะเดิน ทางจากห้องไปถึงสถานีรถไฟก็ใช้เวลานาทีเดียว เนื้่องจากเครื่องจะออกจากเดนมาร์กตอนสิบโมง ดังนั้นต้องนั่งรถไฟจากลุนด์ตอนเจ็ดโมงเช้าครับ เช้าจริงๆ เพราต้องเช็คอินตอน 8 โมง


ผมไปถึงสถานีรถไฟก่อนเวลารถไฟแหละครับ แต่ว่าที่สถานีก็มีแต่หิมะน่ะสิครับ ตอนนั้นก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่ารถจะดีเลย์ แต่เห็นที่บอร์ดเวลายังปกติก็โล่งใจ :)







แต่พอใกล้เวลารถไฟมา เจ้าหน้าที่ก็ประกาศว่ารถไฟมาช้า เลื่อนเวลาออกไป 10 นาที พอใกล้ถึง ก็เลื่อนออกไปอีก 10 นาที และแล้วก็ 10 10 10 และ 10 ตามลำดับ สรุปแล้วรถไฟมาถึงก็ปาเข้าไปแปดโมง แถมยังจอดที่ลุนด์อีกเกือบสิบนาที ให้ได้ลุ้นอย่างนี้สิ เฮ้อ







แต่ เอาน่า อย่างน้อยผมก็มาถึงสนามบินตอนแปดโมงห้าสิบ ลงรถไฟปุ๊บก็เร่งฝีเท้าฝ่าหิมะไปเช็คอินทันที พอไปถึง ก็ผงะ เพราะเครื่องบินเลื่อนไปออก 11 โมง ช้าไปชั่วโมงนึง เพราว่ารันเวย์ก็มีแต่หิมะ น้ำแข็งเต็มไปหมด เครื่องบินก็แทบจะดีเลย์กันยกบอร์ดเลย ดังนั้นเลยต้องมานั่งเขียนแผนเที่ยวใหม่





พอ 11 โมง ก็เพิ่งได้ขึ้นเครื่อง แต่เครื่องก็ยังออกไม่ได้ เพราะน้ำแข็งเกาะที่ปีกเครื่อง ต้องไปละลายน้ำแข็งที่ปีกอีก สะระตะแล้วผมถึงปารีสก็บ่ายโมงครึ่งครับ จึงเป็นการเดินทางไปปารีสที่ทรหดมากครับ เพราะใช้เวลาไป 6 ชม ครึ่ง เล่นเอาไมเกรนขึ้น ปวดหัว จนอยากจะนอนให้แล้วให้รอดไป ไม่อยากไปไหนเลย

Paris Trip

กลับมาแล้วครับจากการเดินทางไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประเทศที่เป็นเป้าหมายหลักในการไปเยี่ยมเยือนของหลายๆ คน แต่ช่างต่างไปจากตัวผมอย่างมากครับ เพราะว่าปารีสไม่ได้เป็นเป้าหมายในรายชื่อปรเทศที่อยากไปของผมเลย แต่แล้วก็กลับจับพลัดจับผลูได้เดินทางไปประเทศนี้เสีย


ด้วยเหตุที่ไม่เคยอยากไป ดังนั้นการรู้ข้อมูลต่างๆ ของปารีสในสมองของผมเลยน้อยมากๆ เพราะตามที่คิด หากพูดถึงปารีสก็คงนึกถึงหอไอเฟลแหละครับ ซึ่งก็คงถือว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส


ดังนั้นก่อนไปเพียงไม่กี่วันผมเลยต้องทำงานหนักในการค้นคว้าหาข้อมูลการเดินทางไปปารีสของผม


เอาเป็นว่าง่ายๆ ผมต้องเดินทางไป 4 วัน ระหว่างวันที่ 22 - 25 กุมภาพันธ์ 2553 ครับ


วันแรกก็ออกเดินทางจากเดนมาร์กไปปารีส ก็ได้ไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟครับ เพื่อเป้าไปดูโมนาลิซ่า กับวีนัส เป็นหลัก จากนั้นเดินไปที่ลานคองคอร์ต สถานที่ประหารพระนางแมรี่ และพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เดินต่อไปชองเซลิเซ่ย์ ไปสุดที่ประตูชัย

















วันที่สอง ได้ไปที่สถารทูตไทยในกรุงปารีส เพื่อสัมภาษณ์ท่านทูต ก่อนที่จะไปขึ้นเรือล่องแม่น้ำแซน ไปเยี่ยมอุโมงค์ไดอาน่า วิหารนอเตอร์ดัม










วันที่สาม ไปพระราชวังแวร์ซายน์ กลับมาที่โอเปร่าเฮ้าส์ หอไอเฟล ไปคาเฟ่เดอลาเปร มองมาร์ต






















วันที่สี่ เดินทางกลับแล้วครับ

การเดินทางสี่วัน แม้ว่าจะไม่นานแต่มันได้เปลี่ยนความคิดของผมกับกรุงปารีสไปมากทีเดียว บางทีการมีประสบการณ์ไม่ดีกับคนฝรั่งเศสแค่คนสองคน กลับเกือบทำให้ผมไม่ได้มาเยือนประเทศอีกประเทศที่มีความสวยงามนี้ไปแล้ว


เอาเป็นว่าผมจะค่อยๆ เล่าการเดินทางครั้งนี้ให้ฟังแล้วกันนะครับ