Tuesday 31 March 2009

Friendship never ending

สองวันแล้วที่เคนจิจากไป........แม้ว่าร่างของเคนจิจะถูกนำไปฝังแล้ว การเดินทางของเคนจิถึงจุดหมายไปแล้วครับ ..............การเดินทางที่ฝ่าฟันมาเป็นเวลานานได้จบลงแล้ว สมุดบันทึกชีวิตของเคนจิได้ถูกเขียนมาจนถึงหน้าสุดท้ายแล้ว และได้ถูกปิดลงอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว


แต่สำหรับสมุดบันทึกชีวิตของผมและทุกคนที่รู้จักและผูกพันกับเคนจิ ยังคงไม่ได้เดินทางมาถึงหน้าสุดท้าย หากแต่เพียงในช่วงเวลานี้ยังคงปรากฏว่าเคนจิโลดเล่นอยู่ตลอดเวลา คงต้องอาศัยเวลาสักพักจริงๆ


เคนจิไม่ใช่หมาที่ฉลาดล้ำเลิศ หรือแสนรู้เหมือนหมาอัจฉริยะ แต่ด้วยนิสัยซื่อๆ ว่าง่าย นี่แหละคือเสน่ห์ที่สำคัญของเคนจิ


สำหรับผมแล้วตอนนี้ตอบได้เต็มปากว่าอีกสักพักมันคงจะดีขึ้น


แต่สำหรับบรรดาเพื่อนๆ ของเคนจิแล้ว มันจะรู้สึกอะไรกันบ้างหนอ.............เฟรโด้ โคลบี้ และฮ็อกกี้ยังคงดำเนินชีวิตต่อไป เพียงแต่ช่วงนี้พวกมันอาจจะพบว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น คือพี่ใหญ่สมาชิกของมันหายไปไหน

สิ่งนี้คงจะเป็นคำถามที่ยังคงคาใจพวกมันอยู่

เฟรโด้ยังคงนอนมองเหม่อออกมาที่ประตูบ้านทุกวัน เพราะวันก่อนมันเห็นพี่ชายผมพาเคนจิขึ้นรถไป มันคงคิดว่านี่ก็คงเหมือนกับครั้งก่อนๆ เคนจิพี่ชายใจดี คงไปนอนพักที่ไหนสักแห่ง สักพัก อีกไม่นานก็กลับมา มันคงทำได้เพียงนอนรออย่างมีความหวังว่าอีกไม่นานเคนจิจะกลับมาและมันจะได้้ออกมาวิ่งเล่นกับเคนจิพี่ชายใจดีอีกสักครั้ง

สำหรับโคลบี้แล้ว บ่อยครั้งที่โคลบี้นั่งเหงา นอนเหงาเพียงตัวเดียว ไม่กระชุ่มกระชวย ใครกันหนอที่เคยบอกกันว่าหมาน่ะลืมเร็วจะตาย สักพักมันก็ลืม แสดงว่าคุณคงไม่รู้จักหมาดีพอกระมัง โคลบี้ยังนั่งมองเหม่อตามองออกไปหน้าบ้าน มันคงยังคิดถึงภาพวันที่พี่ชายขนนุ่มของมันนอนและพี่ชายผมยกขึ้นรถออกไป ก็คงเหมือนทุกๆ ครั้ง สักพักเคนจิก็กลับมา แต่มันคงคิดว่าทำไมหนอคราวนี้เคนจิถึงออกจากบ้านไปนานจัง หลายคืนหลายวันแล้วที่มันไม่ไม่ได้นอนหนุน และรับไออุ่นจากขนนุ่มๆ ของเคนจิ เพราะทุกวันมันจะต้องเดินออกมาแล้วไปนอนหนุนตัวเคนจิแทนหมอนอุ่นๆ แล้ววันนี้เคนจิหายไปไหน?

สำหรับฮ็อกกี้เอง คงแปลกถ้าฮ็อกกี้ไม่รู้สึกอะไรเลยกับการหายตัวไปของเคนจิ ทุกวันมันต้องทะเลาะกัน ยิ่งช่วงหลังๆ ที่เคนจิลุกไม่ไหว บ่อยครั้งที่ฮ็อกกี้คาบตุ๊กตามาหา เพื่อชวนเล่น เคนจิก็คงรู้จุดประสงค์ของเพื่อนดี แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อร่างกายมันไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการเลย ทุกวันนี้ฮ็อกกี้ยังนอนรอการกลับมาของเพื่อนที่แม้ว่าภายหลังจะไม่สามารถลุกมาแย่งชิงตุ๊กตากับมันได้ก็ตาม แต่การที่เพียงมองเห็นเคนจินอนอยู่ใกล้ๆ มันก็คงยังคิดว่าอย่างไรเสียเพื่อนมันยังอยู่ที่นี่ ตรงหน้ามันนี่เอง แต่นี่หลายวันแล้วนะ ที่ไม่มีแม้แต่เงาของเพื่อนรักของมัน ใ้ห้เห็นเลย แล้วมันจะแย่งข้าวแย่งของกับใคร เล่นชักกะเย่อกับใคร แม้แต่จะแย่งอาบน้ำกับใคร???


คุณคิดว่าขึ้นชื่อว่าหมา มันไม่มีความรู้สึกหรือครับ เพียงก็แต่มันไม่รู้เท่านั้นว่าการจากไปของเคนจิคืออะไรวันนี้เพื่อนๆ ทกตัวยังคงนั่งรอ นอนรออย่างมีหวังรอวันที่เคนจิจะกลับมา เฟรโด้ยังรอที่จะได้วิ่งเล่นกับพี่ใหญ่ใจดี โคลบี้ยังรอไออุ่นจากเคนจิ ฮ็อกกี้ยังคงรอเพื่อนซี้ที่ะเลาะกันมากว่าสิบปีกลับมาเล่นด้วยกัน ทั้งสามตัวจะรู้ไหมหนอว่าเพื่อที่พวกมันนั่งรอน่ะ จากไปแล้ว จากไปอยู่ในที่ที่ไม่ใครรู้ว่าคือที่ไหน

หมาทุกตัวคงต้องการเวลาสักพัก เพื่อที่จะกลับมาสดใสร่าเริงดังเดิม แต่คงไม่ใช่เพราะว่ามันลืมเพื่อนของมันไปนะครับ หากแต่เพราะว่าการรอคอยของมันยังมาไม่ถึงกระมัง แม้สมุดบันทึกชีวิตของเคนจิจะปิดลงแล้ว แต่สมุดบันทึกชีวิตของเพื่อนทุกตัวมันยังคงต้องเดินทางต่อไป ไม่ได้จบตามเคนจิไปด้วย เพื่อนทั้งสามตัวนั้นล่ะ มิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนนั้น มันไม่ได้ถูกทำลายลงเพราะการจากไปของเคนจิ แต่อีกนานเท่าไรที่การคอยอย่างมีความหวังของเพื่อนทั้งสมจะสัมฤทธิ์ผล หลายคนคงตอบได้ว่าคงไม่มีวันนั้น


แต่ความหวังที่มองไม่เห็นปลายทางนั้นก็คือแรงผลักดันที่จะทำให้เฟรโด้ โคลบี้ และฮ็อกกี้ ยังต้องคงเดินทางต่อไป


เมื่อใดก็ตามที่สมุดบันทึกชีวิตของทั้งสามเดินทางมาถึงหน้าสุดท้าย ผมคิดว่าความหวังนั้นคงเป็นจริง มันคงได้เจอกันสักวันเป็นแน่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เช่นเดียวกันกับผม เมื่อวันนั้นมาถึง ผมก็หววังว่าความหวังที่จะได้เจอได้ลูบหัว หรือพูดคุยเล่าอะไรให้เคนจิฟังบ้าง จะเป็นจริงขึ้นมา


สำหรับผมแล้วแม้ว่าผมไม่ได้มานั่งหวังเหมือนเพื่อนๆของเคนจิ เพราะผมรับรู้ถึงการจากไปของเคนจิแล้ว แต่การได้มานั่งเขียนเรื่องราวเหล่านี้ ก็เพื่อได้มานั่งคิดถึงความทรงจำดีๆ มากมายที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเคนจิ

หลายครั้งผมไม่พอใจเคนจิที่มันชอบดื้อและไม่ฟัง หลายครั้งที่มันเลอะเทอะไปด้วยโคลน.... แต่ก็บ่อยครั้งเช่นกันที่เคนจิเดินมานั่งใกล้ๆ เอาคางมาเกยขาผม หรือราวเหล็ก เพียงเพื่อให้ผมได้ลูบหัว และเล่าเรื่องราวให้มันฟัง แล้วก็นอนอยู่ข้างๆ ผมเองก็คิดถึงสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน ขนนุ่มๆ ของเคนจิที่ผมเคยลูบเล่น หวีเล่น ผมไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะบอกลามัน ผมไม่คิดที่จะบอกลามันเลยตอนผมมาที่นี่ เพราะผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นในช่วงที่ผมไม่อยู่ ผมได้เพียงบอกให้พวกมันช่วยกันดูแลบ้านและรอวววันที่ผมกลับมา ซึ่งหากมันเข้าใจจริงๆ เคนจิมันคงรอผมจนเหนื่อยมากแล้ว จนไม่สามารถรอได้อีกแล้วทั้งๆ ที่เวลาอีกเพียงสองเดือนเท่านั้น


แต่มาถึงวันนี้มันคงจะสายเกินที่มานังคร่ำครวญในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าตอนนี้เคนจิจะอยู่ที่ใด มันคงรับรู้ได้ว่าผมคิดถึงมันมาก...............


หนุ่ย

Monday 30 March 2009

ความคุ้นชิน

บางทีการที่เราจะทำอะไรสักอย่างที่คิดว่าง่ายแต่กลับทำได้ยากเพราะว่าคุณค่าของมันมากกว่าการบอกเพียงว่าทำได้ หรือไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากสิ่งนั้นมีเกี่ยวเนื่องด้วยความรู้สึกของเราไงครับ


นี่เวลาผ่านมาหนึ่งวันแล้วที่เคนจิจากผมไปอย่างไม่มีวันกลับ


ณ เวลานี้รอยยิ้มของผมเมื่อคิดถึงมันยังคงมีริ้วรอยน้ำออกมาตาทั้งสองข้างอยู่ครับ คงต้องอาศัยเวลามากกว่านี้ในการที่จะรับรู้ถึงการจากไปของเคนจิ และคิดได้อย่างเป็นสุขใจจริงๆ


บางคนอาจสงสัยว่าก็แค่หมาหนึ่งตัว มันจะเสียใจอะไรกันมากมายขนาดนั้น


ผมอยากบอกว่าบางครั้งการตัดสินว่าเรารู้สึกอย่างไรเมื่อเราสูญเสีย มันคงขึ้นอยู่กับคุณค่าของสิ่งที่เราเสียไป เราคงไม่สามารถเอาตัวเราไปประเมินคุณค่าของความสูญเสียของผู้อื่นได้แน่


ดังนั้นความรู้สึกสูญเสียคงไม่อาจหายไปได้ในเร็ววัน แต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะเราต้องรู้สึกชืนกับความรู้สึกนี้ไงครับ รู้สึกชินในความสูญเสีย ความรู้สึกสูญเสียยังคงอยู่ แต่เราเองที่ต้องปรับตัวยอมรับมัน


เหมือนที่ผมเคยเขียนเอาไว้ครั้งหนึ่งนานมาแล้วว่า คนเราต้องการเวลาสักพักเพื่อให้คุ้นชินกับสิ่งใหม่ที่เข้ามา....สักพัก.......แล้วเราก็จะสามารถดำเนินชีวิตควบคู่ไปกับสิ่งนั้นโดยไม่รู้สึกแปลกแยกอีกต่อไป

Life and Hope


เคนจิ (Kenji) เป็นสุนัขพันธุ์โกลเดน รีทรีฟเวอร์ของผมครับ มันแก่แล้วก่อนที่ผมจะมาสวีเดน ผมก็คิดอยู่ว่ามันจะสามารถอยู่รอให้ผมกลับไปหามันหรือเปล่า แต่ชีวิตเราก็ต้องอยู่กับความหวัง เพราะความหวังต่อให้น้อยนิดมันก็คือแรงผลักดัน ให้ชีวิตเราดำเนินต่อไป การเดินทางโดยไม่มีความหวัง สำหรับผมก็คงหมายถึงการที่เครื่องจักรขนาดใหญ่เดินเครื่องไปโดยที่ฟันเฟืองหนึ่งอันขาดไป


เคนจิเป็นหมาที่น่ารัก สุภาพ อ่อนโยนครับ ผมรักมันมาก เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นหมาที่โดนย้ายที่บ่อย ตั้งแต่เด็กเคนจิเป็นหมาที่อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง พอจะลงหลักปักฐานสักที่ ก็มีอันจะต้องย้ายเสียร่ำไป เลยต้องย้่ายที่อยู่ตามเจ้าของที่เปลี่ยนหน้าเข้ามาหลายคนก่อนที่เพื่อนรุ่นน้องจะนำมาให้ผมเมื่อสิบปีก่อน




เมื่อเคนจิเดินเข้ามาในชีวิตผม

เคนจิเป็นหมาของเพื่อนที่เป็นรุ่นน้องที่ธรรมศาสตร์ครับ ผมเจอเคนจิครั้งแรกตอนนั้นย้อนไปสิบเอ็ดปีก่อนครับ วันนั้นเป็นตอนกลางคืน ผมนั่งรถไปกับเพื่อน และรุ่นน้องคนนี้ ถ้าจำไม่ผิดไปบ้านใครสักคนนี่แหละ แล้วรุ่นน้องผมก็อุ้มลูกหมาพันธุ์โกลเดนท์รีทรีฟเวอร์เข้ามาในรถ บอกว่าเพิ่งไปเอามาจากปัทมาฟาร์ม ตอนนั้นเคนจิตัวเล็กนิดเดียวเองครับ ส่วนชื่อก็มาจากเพื่อนของพี่เพื่อนสมัยนั้นอีกทีมั้ง เป็นคนญี่ปุ่น หรือมีเชื้อญี่ปุ่นเนี่ยะแหละ เขาเลยตั้งชื่อแบบสไตล์ญี่ปุ่นว่า เคนจิ

หลังจากนั้นเคนจิก็ออกจากสารบบผมไป กระทั่งเคนจิต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ และรุ่นน้องผมต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ เคนจิจึงถูกยกให้เพื่อนที่เป็นรุ่นพี่ที่คณะไปครับ


ตอนแรกนั้น เคนจิได้ถูกยกให้เพื่อนรุ่นพี่ผมไปแล้วครับผมจำได้และยังเคยบอกเพื่อนผมและเพื่อนรุ่นน้องเจ้าของเคนจิในตอนหลังเลยว่า ผมผูกพันกับหมาตัวนี้ วันหนึ่งผมนั่งรถผ่านศาลเจ้าพ่อเสือ ผมจึงคิดขึ้นมาว่า "ถ้าหมาตัวนี้ผูกพันกับผมจริงทำไมมันถึงไม่ได้มาอยู่กับผมล่ะครับ?"

หลังจากนั้นสองสามวันรุ่นน้องโทรมาหาผมว่าผมยังต้องการเคนจิอยู่ไหม เพราะรุ่นพี่ที่รับเคนจิไปเลี้ยง เขาเลี้ยงไม่ไหว ผมก็เลยบอกตกลงรับเคนจิมาครับ เลยเป็นอันว่าผมคงผูกพันกับเคนจิจริงๆ แหละ

วันที่ไปพบเคนจิอีกครั้ง เคนจิโตเป็นหนุ่มแล้วครับ ตัวใหญ่แล้ว แต่ผอมนิดหน่อย ผมไปรับที่บ้านรุ่นพี่ แล้วก็พากลับไปโรงเรียน เพื่อไปเอาข้าวของเครื่องใช้ และเสื้อผ้าของเคนจิมา

วันมาที่บ้านแรกๆ เคนจิก็โดนหมาเจ้าถิ่นอย่างฮ็อกกี้ หมาพันธุ์เกรตเดนของผมข่มเข้าให้ แต่มันก็ยอมมาตลอด ไม่เคยมีปากเสียง เหมือนเจียมตัวยังไงไม่รู้ ว่าไม่สู้ด้วยหรอก ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ผมว่าเคนจิเนี่ยะคงรู้สึกบ้างแหละว่าต้องย้ายอีกแล้วเหรอพอเริ่มคุ้นกับใครต้องมีอันต้องจากกันทุกทีไป แต่ตอนนั้นผมมั่นใจและให้สัญญามันว่ามาอยู่กับผมนะ ที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายของมัน มันจะไม่ต้องย้ายไปไหนอีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้แหละครับผมจึงพยายามให้ความอบอุ่นกับเคนจิ เล่นกับมันเสมอๆ เท่าที่โอกาสอำนวย


เคนจิกับฮ็อกกี้อริตัวฉกาจ

เคนจิไม่ค่อยถูกชะตาหมาเจ้าถิ่นอย่างฮ็อกกี้ แต่แม้ว่าจะไม่ถูกชะตากับฮ็อกกี้ แต่บ่อยครั้งมันก็ลืมความไม่ชอบหน้าหันหน้ามาเล่นชักกะเย่อสู้ก็อยู่บ่อยๆ ซึ่งฮ็อกกี้มันชนะ เพราะว่าแรงมันเยอะกว่า

เวลาผ่านไปผมมีหมาอีกตัวนึงชื่อโคลบี้เป็นหมาพันธุ์ปั๊ก โคลบี้มันรักเคนจิครับ เพราะมันนอนกรงเดียวกัน เวลาหน้าหนาวโคลบี้ก็จะมีที่นอนที่สบายกว่าใคร เพราะมันจะทุ่มตัวลงนอนบนขนปุยๆ ของเคนจิไงครับ โคลบี้จึงกลายเป็นเพื่อนคู่ใจเคนจิ ไปไหนก็ไปด้วย นอนตรงไหนก็นอนด้วย เวลาฮ็อกกี้รังแกเคนจิ มันก็คอยเห่าช่วย หรือไม่ก็มาเห่าเรียกผมหรือพี่ให้ไปช่วยเคนจิครับ

ต่อมาผมมีสุนัขอีกตัวชื่อเฟรโด้ พันธุ์ชิส์สุ โด้ก็ชอบเล่นกับเคนจิ หลายครั้งก็ปล่อยมันไปเล่นด้วยกันบ้างแต่ไม่บ่อย เพราะโด้เป็นหมาอภิสิทธิ์ เพราะผมเลี้ยงมันไว้ในบ้านน่ะครับ มันเลยมีอภิสิทธิ์กว่าหมาตัวอื่นๆ แต่ถ้าลองปล่อยออกไปเล่น มันก็อยู่ฝ่ายเคนจิอีกครับ ปล่อยให้ฮ็อกกี้หมาบ้าพลังเป็นหมาหัวเน่าตัวเดียว เวลาเคนจิโดนฮ็อกกี้รังแก โด้ก็จะช่วยโคลบี้เห่าเรียกพวกผมมาห้ามฮ้อกกี้เสมอๆ

เวลาผ่านไป แต่ฮ็อกกี้กับเคนจิยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน เคนจิยังเป็นลูกไล่่ให้ฮ็อกกี้เสมอๆ บ่อยครั้งอาจถึงเลือดตกยางออก อย่างครั้งหนึ่งใบหูเคนจิโดนฮ็อกกี้กัดจนเป็นรู จนสามารถเอาตุ้มหูมาใส่ได้เลย ครั้งหนึ่งฮ็อกกี้เหนียบขาเคนจิ จนมันขาหลังเดินกระเผลกไปหลายวันและไม่สามารถกระโดดได้อีกเลย ต้องอาศัยอุ้มมันเอาแทนเวลาจะเอาขึ้นบนที่นั่ง อีกหลายครั้งที่พอมันทะเลาะ ผมไปห้ามกลับโดนลูกหลง ไม่ว่าจะโดนเหยียบขาเคล็ด หรือชนมือซ้นจนต้องไปเอ็กซเรย์ โดนลูกหลงจากเขี้ยวจนเสียเลือด และต้องทำแผลไปหลายวัน

แต่อย่างไรเสีย เคนจิมันมีทางเลี่ยงครับ มันเห็นว่าฮ็อกกี้ตัวสูง ดังนั้นที่ๆ ปลอดภัยสำหรับมันก็คือที่เตี้ยๆ ใต้กรง ใต้โต๊ะ ใต้ต้นไม้ หรือใต้ท้องรถ (ซึ่งอันสุดท้ายนี่คือที่ประจำ) ซึ่งเมื่อจนแต้มทีไร มันจะค่อยๆ กระดึ๊บๆ เข้าไป ฮ็อกกี้ก็หมดปัญญาตามฆ่ามันได้ แต่ที่น่าปวดกะโหลกคือ พอมันออกมาขนสีครีมของมันจะกลายเป็นสีดำเสมอ เพราะคราบฝุ่น คราบน้ำมันใต้ท้องรถจะติดบนตัวมันเป็นแถบ ต้องมาอาบน้ำมันอีก


คุณชายเคนจิ

เคนจิเป็นหมามีการศึกษาเพราะก่อนมาอยู่กับผม เพื่อนรุ่นน้องเจ้าของเดิมพามันไปเข้าโรงเรียน ดังนั้นไม่แปลกใจว่าทำไมมันเรียบร้อย และว่าง่าย นี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งนั้นเอง สั่งนั่งก็นั่ง สั่งหมอบก็หมอบ สั่งคอยก็ไม่เคยคอยเลย เดินตามอย่างเดียว เพราะว่าพอดียังเรียนไม่ครบคอร์สน่ะครับ มันมาอยู่กับผมเสียก่อน แต่มันก็เป็นหมาที่ว่าง่ายจริงๆ นะ นี่ถ้าให้เรียนต่อจะคาบตะกร้าได้แล้วนะ ได้เอาไปจ่ายตลาดด้วย







เคนจิในความทรงจำของผม
  • เคนจิมีความสุขมากเวลาหน้าหนาว เพราะด้วยเขาที่หนานุ่ม เพียงแค่เสื้อกล้ามลายลิเวอร์พูลสีแดงตัวเดียว ก็ทำให้มันเท่ห์แล้ว ไม่ต้องอาศัยเสื้อผ้ามากมายเหมือนหมาขนสั้นตัวอื่นๆ
  • เวลากินข้าวหมาตัวอื่นจะสวัสดีกันครับ แต่สำหรับเคนจิเป็นที่รู้กันว่าเราจะสั่งให้มันเห่าแทน ดังนั้นถ้าหิว หรืออยากกินข้าวมันจะเห่าๆๆๆๆๆๆ
  • เคนจิมีความสุขมากเวลาอาบน้ำ (เหมือนฮ็อกกี้) เวลาจะอาบน้ำสักทีต้องระวังเพราะมันกับฮ็อกกี้จะแย่งกันว่าใครจะได้อาบก่อน และเคนจิมักถูกอาบก่อนเสมอเพราะขนเยอะ เลยทำใ้ห้ฮ็อกกี้ไม่ค่อยพอใจ เลยแค้นฝังหุ่นอยู่บ่อย จนสะสมเรื่อยๆ
  • เคนจิชอบกินผลไม้ครับ ก่อนมาอยู่กับผมมันชอบกินแอ๊บเปิ้ล แต่พอมาอยู่กับผมมันมาชอบกินกล้วย (หมาทุกตัวที่บ้านผมชอบกินกล้วยหมดแหละ) ประหยัดแถมได้คุณค่า
  • เคนจิเป็นหมาแพ้น้ำลายครับตัวเองครับ พอมันเลียมากๆ ตรงไหน ตรงนั้นก็จะอักเสบ แล้วก็ต้องพึ่งยาม่วง ตลอด ดังนั้นเคนจิมันมักตัวด่างด้วยสีม่วงตลอดเวลา พอเมื่อไหนทายาม่วง เราก็จะเอายาแต้มที่หน้าผากมัน (เป็นแต้มเจ้าแม่) มันคงคิดว่าเท่ห์มากเลย
  • เคนจิเป็นหมาชอบน้ำครับ ที่ไหนมีน้ำเจิ่งนอง ที่ไหนเป็นโคลนชื้นๆ หามันได้ที่นั่น จนบางทียอมขุดดินเพื่อฝังตัวนอนให้เย็นสบายในหลุมเลย
  • เคนจิเป็นหมาขี้กลัว (คงมีความหลังฝังใจมั้งครับ) อย่าว่าแต่ฮ็อกกี้เลย บางครั้งให้อาหารเม็ดมัน นกมาแย่งมันยังหนีไปมุดใต้โต๊ะแล้วเห่าไล่เลย จนบางทีคนถามว่าเคนจิเห่าอะไร ผมยังเคยตอบไปเลยว่า มันคงได้ยินเสียงใบไม้น่ะ
  • เคนจิจะมีความสุขมากเมื่อเราเล่นกับมันโดยไม่มีฮ็อกกี้อยู่ร่วมด้วย มันจะเป็นตัวของตัวเอง ร่าเริง กระโดดวิ่งแบบมีความสุขสุดๆ
  • เวลาเคนจิมีเห็บจะหาง่ายมาก เพราะขนของมันจะตั้งขึ้นบริเวณที่เห็บอยู่ แค่เอามือลูบๆ ไปก็จะเจอได้โดยง่ายครับ แถมเห็บชอบขึ้นบนหัวมัน จนเราคิดกันว่าที่มันชอบทำเบลอๆ เนี่ยะคงเพราะเห็บกินเลือดจากหัวสมองมันไปหมดแล้ว
  • เคนจิเป็นหมาทดลองการตัดผมของผม ผมบรรเลงฝีมือการตัดขนเคนจิมาหลายครั้ง บางครั้งแหว่งจนมันไม่กล้าเดินออกไปหน้าบ้านเลย คงคิดในใจว่าทำไมทำกับมันแบบนี้....ตัดได้อุบาทว์มาก
  • เคนจิโดยปกติ จะไม่ยอมถ่ายในกรงเลย ทั้งเบาและหนัก ทุกครั้งที่ถ่ายมันจะเป็นเพราะท้องเสีย หรือถ้ามันปวดท้องมันจะเห่าเรียกให้มาเปิดกรงให้มันเสมอๆ มาช่วงหลังๆ ที่แก่ตัวมันกลั้นไม่ค่อยได้ เลยถ่ายบ่อย ซึ่งถ่ายแต่ละครั้งเราก็ต้องล้างกรงทั้งหมด มันคงเห็นใจเราด้วยน่ะครับ
เหล่านี้เป็นเพียงความทรงจำของผมส่วนหนึ่งเท่านั้น เกี่ยวกับเคนจิ ยังมีสิ่งดีอีกมากมายที่อยู่ในความทรงจำของผม


เคนจิกับความหวังของผม

ก่อนมาที่สวีเดน ผมก็รู้อยู่แล้วว่าเคนจิน่ะ ไม่ค่อยแข็งแรง ด้วยวัยที่มากขึ้นด้วย ตาเริ่มฝ้าฟาง มองไม่เห็น แต่ก็ยังหวังไว้ว่าแค่แปดเก้าเดือน มันคงยังน่าจะอยู่รอจนผมกลับมาได้

เมื่อเดือนที่แล้ว พี่ผมเริ่มแจ้งข่าวมาบ้างว่าเคนจิสุขภาพไม่ค่อยดี ไม่ค่อยกินข้าว เท่าไหร่ ลุกไปไหนไม่ค่อยไหวแล้ว สามอาทิตย์ที่แล้วเคนจินอนมากไปจนเกิดแผลกดทับ และแผลอักเสบจากการที่ช่วงท้องอับชื้น เพราะมันไม่ยอมลุกไปไหน ต่อมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อนหมอเข้ามาดูอาการและเอาเคนจิไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล เพราะมันอ่อนแอไม่ค่อยยอมกินข้าวกินน้ำ หลังจากนอนได้สามวันผลตรวจร่างกายใหญ่ออกมาทุกอย่างสมบูรณ์เป็นปกติดี มันก็กลับมาบ้านครับ แล้วอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

จนกระทั่งเมื่อวานนี้มันเริ่มไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ นอน ไม่ยอมลุก แล้วเมื่อเช้านี้ เช้าวันที่ 30 มีนาคม 2552 มันก็จากไปครับ รวมอายุได้สิบเอ็ดปีเศษ


เคนจิกับการอยู่กับความหวัง

เคนจิก็คงเหมือนกับคนแหละครับ มันมีชีวิต มีจิตใจ มีความรัก มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ แม้ว่าร่างกายมันไม่ไหว แต่มันก็ยังคงยืนหยัดที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไป ไม่ท้อแม้หมดหวัง ยังคงกินเพื่อประทังชีพ ยังคงพยายามลุกเพื่อขับถ่ายบ้าง แม้ว่าลุกไม่ค่อยไหว แต่มันก็ยังยอดกลั้นฉี่ กลั้นอึ เพื่อออกมาปล่อยข้างนอก เราจะได้ไม้ต้องล้างกรง

เคนจิยังอยู่กับความหวังจนนาทีสุดท้ายของชีวิตครับ มันอาจท้อบ้างแต่มันก็สู้ครับ

หากจะถามว่าแล้วผมรู้ได้อย่างไรว่าหมาคิดอย่างไร ผมก็จะตอบกลับได้ว่า เคยไหมครับทุกคนที่เลี้ยงสุนัข เคยคุยกับเขาไหม หมาน่ะเข้าในเราทุกคำพูดนะ มองตาพวกเขาซิ คุณจะเข้าใจว่าเขารับรู้ในสิ่งที่เราพูด หมามันมีเซนซ์ครับ เวลาผมไม่สบายใจ ต่อให้หน้าผมยิ้มยังไง ซ่อนความรู้สึกอย่างไร พอกลับไปเจอพวกมัน มันจะรู้และเข้ามาตามติด ประหนึ่งอยากบอกให้ผมไม่ต้องคิดมากน่ะครับ

หากใครเคยเลี้ยงสุนัขด้วยใจ เขาจะเข้าใจมันด้วยใจโดยไม่ต้องสื่อผ่านด้วยคำพูดก็ได้ครับ แค่สัมผัสเท่านั้นที่สุนัขต้องการ และเราสามารถถ่ายทอดคำพูดเราผ่านภาษากายนี่แหละ ที่เขาสามารถรับรู้ได้

ดังนั้นอาจพูดได้ว่าเคนจิสู้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต และอยู่ต่อสู้เรื่อยมาอย่างมีความหวัง ผมไม่รู้ว่ามันหวังที่จะรอให้ผมกลับไปพบมันหรือเปล่า ขณะที่ผมรอด้วยความหวังที่จะกลับไปพบมัน ต่อให้มันไม่สามารถลุกมาวิ่งเล่นกับผมได้ เพียงแต่ผมได้ลูบหัวมันและได้บอกเล่าความรู้สึกของผมให้มันฟังบ้างก็พอแล้ว......


เคนจิกับวันนี้ของผม

วันนี้ร่างของเคนจิถูกนำไปฝังที่บ้านผมที่อ่างทอง ข้างๆ สุนัขตัวอื่นๆ ของครอบครัวผมครับ ไปอยู่เป็นเพื่อนกับไอ้น็อต (สุนัขพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด หรือ อัลซาเชียน) ไอ้หมี (สุนัขพันธุ์ทาง) และพิกะจู (สุนัขพันธุ์ชิส์สุ)

เมื่อเคนจิจากไป สิ่งที่เหลือไว้ตอนนี้กับผมก็คือความทรงจำอันดีระหว่างผมกับเคนจิ อย่างน้อยสิ่งที่ผมสัญญาไว้กับเคนจิผมตั้งแต่วันแรกก็ทำได้แล้วครับ กับสัญญาที่ว่า "ที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายของมัน มันจะไม่ต้องย้ายไปไหนอีกแล้ว" แม้ว่าผมไม่อาจทำตามสัญญาด้วยการอยู่กับมันจนวาระสุดท้ายของมัน แต่มันคงเข้าใจผมดี และคงเข้าใจความรู้สึกของผมตอนนี้ดีเช่นกันว่าผมรู้สึกอย่างไร


.................................................

เขาว่ากันว่าการเกิดเป็นสุนัขนี้เป็นการใ้ช้กรรมในช่วงท้ายๆ ที่ใกล้จะหมดกรรมแล้ว เพราะมันได้อยู่ใกล้ชิดคนมาก ก็อาจเป็นไปได้ว่าหากมันตายแล้วอาจจะได้เกิดเป็นคน ผมไม่รู้ว่ามันจะจริงหรือไม่เพียงใด หากไม่จริงตามนั้นผมก็หวังว่าหากภพหน้ามีฉันใด ก็ขอให้มันไปเกิดในภพในภูมิที่ดีกว่านี้ และอย่าเกิดมาเป็นสุนัขอีกเลย หรือหากเป็นจริงตามที่ว่ากัน ผมก็อยากให้เคนจิเกิดมาด้วยความพร้อมในทุกด้าน และได้เกิดมาอยู่เป็นหลักแหล่งในครอบครัวที่สมบูรณ์ และมีความสุขมากๆ แต่มันก็คงจะจำผมไม่ได้แล้ว หรือหากไม่เป็นดังว่า สักวันเราคงได้พบกันไม่ที่ไหนก็ที่หนึ่งครับ

..................................................


เชื่อไหมครับ เมื่อวานผมมีความรู้สึกว่าเคนจิจะจากไปทั้งวัน เมื่อคืนนี้ผมนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แต่ในใจกลับรู้สึกคิดถึงเคนจิ รู้สึกหวิวๆ เหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับผมสักอย่าง ผมเลยนั่งฟังเพลง "แค่ได้คิดถึง" ครับ ผมชอบและผูกพันกับเพลงนี้มานานแล้ว ยิ่งฟังยิ่งคิดถึงเคนจิ กระทั่งเมื่อเช้าพี่ผมโทรศัพท์มาที่เครื่องผม พอเห็นว่าโทรมาจากประเทศไทย ผมก็ต่อโทรศัพท์กลับบ้านทันที โดยตลอดเวลาที่รอการต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต ในใจของผมคิดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือเรื่องของเคนจิ และแล้วทันทีที่แม่ผมรับโทรศัพท์ มันก็เป็นตามที่ผมคิดครับ มันจากผมไปแล้วจริงๆ


................................................

ส่วนบทสรุปของเคนจิ สำหรับผม ณ ตอนนี้ ก็คงเหมือนตอนจบของเพลงๆ นี้ครับว่า "........แค่ได้คิดถึง ก็เป็นสุขใจ และจะคิดถึงเธอตลอดไป"


เพียงแค่หลับตา นึกถึงความทรงจำดีๆ ระหว่างผมกับเคนจิ ผมก็สามารถยิ้มได้อย่างเป็นสุขใจแล้วครับ หากเพียงแต่คงต้องอาศัยเวลาอีกสักพักที่จะทำให้ทุกครั้งที่หลับตานึกถึงเคนจิผมจะสามารถยิ้มยิ้มได้โดยปราศจากน้ำที่ไหลออกมาจากสองตา


ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ เพื่อมอบให้แก่ความทรงจำดีๆ ในชีวิตของผม กับเพื่อนของผมตัวนี้ "เคนจิ"


หนุ่ย

Sunday 29 March 2009

Time changing

วันนี้เวลาที่สวีเดน และประเทศในทวีปยุโรปมีการปรับให้เร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงแล้วครับ หลังจากปรับให้ช้าไปหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่เริ่มเข้าหน้าหนาวเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว


เมื่อเช้าก็ตกใจแหมเมื่อคืนนอนไปตีหนึ่ง ไหงตื่นขึ้นมาเช้านี้ในคอมพิวเตอร์เวลาตั้งเกือบสิบเอ็ดโมง พอไปดูโทรศัพท์เวลาเกือบสิบโมง นั่งสักพักเพราะคิดว่าคงยังงงๆ อยู่ เพิ่งตื่น เมาขี้ตาอยู่น่ะ


นั่งสักพักถึงนึกได้ว่าอ้าวสงสัยเปลี่ยนเวลาแหละ เลยไปเช็คในเว็บดู ก็ถึงบางอ้อ ตกลงตอนนี้ที่สวีเดนช้ากว่าเมืองไทยเหลือแค่ 5 ชั่วโมงแล้วครับ

Friday 27 March 2009

The exam is over!!!

เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับสำหรับการสอบรายวิชาที่ 3 ของผมที่ลุนด์



การสอบวิชานี้ทรหดมาก เพราะทั้งหมดใช้เวลาไปกว่าสองอาทิตย์ในการสอบสามประเภท ตามที่เคยมาเล่าให้ฟังกัน



แต่การสอบสุดท้ายนี่คะแนนครึ่งนึงเลย คิดเป็น 50% สอบเสร็จแล้วก็โล่งเลย



เรื่องข้อสอบวันนี้ ผ่านไปแล้วไม่อยากรื้นฟื้น อยากกระซิบบอกดังๆ ว่ามันยากเหลือหลาย



แต่เอาน่า จบไปแล้ว

Thursday 26 March 2009

รอยเท้าของก้าวย่างที่ 365

วันนี้เป็นวันที่เว็บล็อกนี้เดินทางมาเป็นเวลา 1 ปีเต็มแล้วครับ



วันนี้ เมื่อปีที่แล้วผมมีความคิดว่าผมอยากจะมีบล็อกของตัวเองสักบล็ิอกเพื่อว่าจะ ได้สามารถเขียนเรื่องราวต่างๆ ของตัวเองไว้อ่านเล่น หรืออ่านเอามาแบ่งปันเพื่อนๆ ให้อ่านกันน่ะ


ตอนแรกก็ด้วยความที่ เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องบล็อกก็จากที่นี่เลย ก็เลยค่อยเป็นค่อยไปทีละสเต็ป วันนี้ครบหนึ่งปี หรือการเดินทางมาถึงวันที่ 365 แล้ว กลับไปดูเรื่องราวต่างๆ ที่เขียนไว้ก็รู้สึกพอใจมากที่อย่างน้อยเราได้ทำอะำไรได้ต่อเนื่องมาเป็น เวลานานจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว



อย่างน้อย หนึ่งปีที่ผ่านมา บล็อกนี้ก็ได้บันทึกเรื่องราวการเดินทางของผม เรื่องที่ทั้งน่าจดจำและไม่น่าจดจำ แต่อย่างน้อยผมก็ได้บันทึกมันไว้เป็นตัวอักษรเพื่อที่ว่า วันหนึ่งสิ่งเหล่านี้จะกลับมาสร้างความสุข และความทรงจำดีๆ แก่ผม เพื่อที่ผมจะสามารถมาย้อนอ่านวันวานของผมได้ที่นี่


ก้าวสู่ปีที่สองผมก็ยังคงต้องเข้ามาเขียนเล่าเรื่องราวที่นี่อยู่ดี ทำไงได้ล่ะ ที่นี่มันก็เป็บส่วนหนึ่งของชีวิตของผมแล้วน่ะสิ

Tuesday 24 March 2009

อยู่ทนอยู่นาน

ตอนก่อนมาสวีเดน ก็สืบหาข้อมูลมาพอควร เขาว่าแถวนี้อากาศมันหนาวววว



แต่สำหรับที่ลุนด์แล้ว เขาว่ากันว่า
  1. ไม่หนาวมาก ปกติหนาวก็ 0 อย่างมากสุดก็ -1 ไม่เกินนี้
  2. แถมที่ลุนด์เนี่ยะอากาศหน้าหนาวสั้นมาก เข้าหน้าหนาวก็ราวๆ ปลายมกราคม หนาวไปถึงปลายกุมภาพันธ์ ก็หมดแล้วหน้าหนาว ราวๆ 5 สัปดาห์ ก็หมดหนาว
  3. ที่นี่หิมะไม่ตก อย่างมากตกสองวันตื่นมาก็ละลายหมดแล้ว

ไอ้เราก็สบายใจ พะยะค่ะ


เอาเข้าจริงที่อยู่นี่
  1. อากาศหนาวเริ่มมาเยือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
  2. ที่ว่าสั้นมาจนบัดนี้ ผ่านมา 5 เดือนยังหนาวอยู่เลย
  3. ที่ว่าหิมะน้อย ปีนี้โดนถล่มซะหลายระลอก
  4. ที่ว่า ไม่เกิน -1 พ่อเจ้าพระคุณล่อเข้าไป -14

จนบัดนี้มันยังหนาว ชาวบ้านเขาอุณหภูมิไป 14-15 องศากันแล้ว แต่ที่นี่วันนี้ยัง -2 แถมเมื่อคืนหิมะก็ยังตก ดูพยากรณ์อากาศอีกสามสี่วันข้างหน้าก็ยัง -2 ถึง 4 องศาอยู่เลย


อยู่ทนอยู่นานจริงๆ

The Mooting is over!

เสร็จสิ้นไปอีกอย่างแล้วครับสำหรับการสอบในรายวิชานี้ วิชาสิทธิมนุษยชนขั้นสูงนี้จะมีสอบ 3 อย่างก็คือ case memo, Moot Court and final paper ตอนนี้ก็เสร็จไปแล้วสองอย่างเหลืออีก 50% ก็คือการทำข้อสอบปลายภาคที่จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ ภายในกำหนดระยะเวลาทั้งสิ้น 48 ชั่วโมง



สำหรับการแข่งศาลจำลองวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ



คราวนี้ศาลจำลองที่แข่งกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายรักร่วมเพศชาวแอลจีเรีย ได้เขียนบทความโจมตีรัฐมนตรีของสวีเดน รัฐบาลสวีเดนเลยดำเนินการจะส่งตัวเข้ากลับไปแอลจีเรีย ซึ่งที่แอลจีเรีย การรักร่วมเพศเป็นความผิดอาญา เขาอาจถูกจำคุกในความผิดฐานเป็นคนรักร่วมเพศได้ คดีวันนี้ผมเป็นฝ่ายนักกฎหมายของชายรักร่วมเพศชาวแอลจีเรียนี่แหละครับ



การแข่งขันเสร็จเรียบร้อยดี สู้กันไปมา



สรุปเหนื่อยมาก เพราะกว่าครึ่งเดือนที่อยู่กับเรื่องนี้มา เลยคิดว่าวิธีการเรียนการสอนแบบนี้ถ้านำไปใช้กับเด็กๆ ที่ประเทศไทยก็คงดี เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้อสดงความคิดเห็นโดยพื้นฐานทางวิชาการ ไม่ใช่ถามไปมาแล้วก็เอาอารมณ์เป็นตัวตัดสิน เพราะว่านักศึกษาไม่เคนค้นคว้าหรืออ่านหนังสือมาจนพอที่จะแสดงความคิดเห็น หรือโต้แย้งได้บ้าง



ได้เวลาแล้ว ประเทศไทยครับ ปรับขบวนกันหน่อยเร็ววววว ระบบการศึกษาไทย

Saturday 21 March 2009

Where're my RASINs?

หากคนที่ตามอ่านมาคงพอจำได้เรื่องที่ผมพูดถึงนิสับลูกอีช่างเก็บของสวีดิชร่วมหอ ที่ขยันเก็บไว้แม้กระทั่งองุ่น เก็บแล้วในชามวางไว้บนโต๊ะกินข้าวมานานกว่าครึ่งปีที่ผมเข้ามาอยู่ที่หอนี้



และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง องุ่นซึ่งเกรงว่าจะเป็นลูกเกดได้อันตรธานหายไปโดยไร้ร่องรอย สร้างความฉงนแก่ผมเป็นอย่างยิ่ง



ต้องร้องก้องดังว่าลูกเกดหายไปไหนยยยยยยยย

Law student's life

ชีวิตการเป็นนักศึกษาที่เมืองลุนด์ช่วงนี้ของผมค่อนข้างเหนื่อยนิดหน่อยครับว่า ช่วงสองอาทิตย์นี้ผมต้องทำงานหลายอย่างด้วยกัน


งานชิ้นแรกก็คือ การย่อและการนำเสนอคดีของศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป หรือ European Court of Human Rights งานนี้ดูเหมือนไม่ยากเท่าใดนัก แต่ที่ยากก็คือความเยอะครับ แต่ละคนจะได้รับมอบหมายคดีให้เราอ่านคำพิพากษาจำนวน 100 คดี แล้วเลือกออกมาย่อและนำเสนอ เพราะกันนั้นก็มีฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ (Oponent) คอยยิงคำถามใส่เราน่ะครับ


งานชิ้นที่สอง เคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้วก็คือ การเรียนแบบสถานการณ์จริง Simulations หรือที่เรียกว่า Moot Court หรือศาลจำลองน่ะครับ คราวนี้แม้ว่ามีประสบการณ์มาบ้าง แต่ไม่ง่ายเลยในการต้องร่วมทำงานกับสมาชิกอื่นๆ ที่มีรูปแบบการทำงานที่ต่างกันออกไป เหนื่อยกายน่ะไม่มาก แต่ว่าเหนื่อยใจ


งานสุดท้ายที่ต่อกันเลยก็คือการสอบปลายภาคครับ กับการสอบแบบ 48 ชั่วโมงอีกแล้วว


ช่วงนี้เลยงอมพระรามครับ แต่ตอนนี้งานชิ้นแรกเสร็จไปแล้วครับ อาทิตย์หน้าก็พร้อมรับกับงานที่เหลืออีกสองชิ้นครับ



แต่ก็ไม่ลืมที่จะผ่อนคลายความเครียดบ้าง ยังดีที่มียูทูปให้ดู ผมเลยได้มีโอกาสคลายเครียดกับซิทคอม เมียหลวง เดอะสตาร์ 5 รวมไปถึงเดอะมาสเตอร์ด้วย



เย้ๆๆๆๆๆ เทคโนโลยีจงเจริญ

Sunday 15 March 2009

Overload

ช่วงนี้ผมไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหนนะครับ แต่เป็นช่วงจำศีลเพราะงานเยอะเหลือเกิน ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา และสองอาทิตย์ต่อจากนี้ไป จนปลายเดือนโน่นแหละครับ สถานการณืถึงจะกระเจื้องดีขึ้นมาบ้าง ทั้งงานกลุ่ม งานเดี่ยว และสอบปลายภาค อัดๆๆๆ กันเข้ามา




ช่วงนี้ชีวิตเลยหมกมุ่นอยู่กับการอ่านเอกสารต่างๆ เป็นเสียส่วนใหญ่ ปวดหัวเลยทีเดียว




เอาเป็นว่าพ้นช่วงวิกฤติก็จะมาสรรหาอะไรเล่าเล่นต่อไปครับ



ไปละ

Wednesday 11 March 2009

Fire alarm

เมื่อวานนี้เป็นการเรียนเล็คเชอร์ครั้งสุดท้ายในวิชาที่ 3 ครับ (ว่าไปก็เร็วแฮะ นี่เหลืออีกวิชาเดียวก็จะจบปีแรกแล้ว เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก)




หลังจากเรียนเสร็จก็จะเป็นการนำเสนอเรื่องราวเหตุการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั่วโลกของ Jus Humanis น่ะึครับ เขาก็จะเสนอวนไปเรื่อยๆ ที่ไหนมีอะไรเกิดขึ้น




แต่ที่สำคัญวันนี้มันเป็นเรื่อง "World Human Rights Violations: Rohingyas" ตายๆๆ งานเข้าโดยไม่รู้ตัว ดันมาแจ้งก่อนสัมมนาว่าจะนำเสนอการละเมิดสิทธิมนุษยชนของโรฮิงญาโดยรัฐบาลประเทศไทย




ว่าแล้วเลือด Nationalism ที่มีอยู่ก็สูบฉีดเต็มที่ เอาละวะ เป็นไงเป็นกัน ว่าแต่วันนี้สงสัยจะกลายเป้าหมายการถูกโจมตีเต็มที่




และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง คอมพิวเตอร์เซ็ตเรียบร้อย เตรียมพร้อมการชม และการเสนอความเห็นกันเต็มที่



แหม......นั่งกันหน้าสลอนเลยทีเดียว





ทันใดนั้น........................






กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง................................ โอ้ว Fire Alarm หรือสัญญาณไฟไหม้ดังครับ





ทุกคนรีบลุกออกจากที่นั่ง คว้าเสื้อผ้าเพื่อออกจากอาคารให้เร็วที่สุด!!!!! เรื่องพวกนี้ฝรั่งเขาถูกฝึกมา เราเลยเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามครับ รีบออกจากตึกโดยพลัน




สักครู่รถดับเพลิงมากันอย่างโกลาหล อลหม่าน แต่กลับไม่มีอะไรเลยอ่ะ ไฟก็ไม่เห็นมี ควันก็ไม่มี





สรุปการสัมมนาต้องเลื่อนออกไปโดยปริยาย




นี่แหละน๊า ฝรั่ง....... ชอบมาเล่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น อิอิอิ 55555

Sunday 8 March 2009

It's time to rotate

นี่อยู่ที่สวีเดนมาเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว วันนี้เลยได้เวลาที่ผมต้องทำอะไนสักอย่างเพื่อสร้างความแปลกใหม่ในการดำรงชีวิตที่นี่




คิดอยู่หลายตลบ ในที่สุดก็สรุปได้ว่าควรทำความสะอาดห้องอย่างเป็นกิจลักษณะและปรับเปลี่ยนห้องในมุมใหม่ๆ บ้างจะได้ไม่จำเจ




อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รู้สึกว่าชีวิตความเป็นส่วนตัวถูกเบียดบังไปโดยคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ดังนั้นจำต้องแยกคอมกับเตียงนอนออกจากกัน




กว่าครึ่งวันในที่สุดก็เสร็จเรียบร้อยครับ ตอนนี้ในห้องถูกจัดออกเป็นสี่มุมเหมือนเดิม มุมที่นอน มุมโต๊ะหนังสือและคอมพิวเตอร์ มุมนั่งอ่านหนังสือ และมุมของกิน 555



แต่ที่เป็นปัญหามากที่สุดกลับเป็นโคมไฟตั้งโต๊ะจำนวน 6 โคม (ที่ขยันซื้อมาก) กว่าจะจัดให้ลงตัวได้นานกว่าจัดห้องอีก เหอเหอ


คิดว่าน่าจะใช้ได้แระ เดี๋ยวเบื่อค่อยเปลี่ยนใหม่ ฮ่าฮ่า

Saturday 7 March 2009

Disadventage?


เคยไหมครับ



ที่เราสับสนในความคิดของตัวเอง ทั้งที่ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไปแล้ว ทั้งๆที่คิดว่าคิดถี่ถ้วนรอบคอบดีแล้ว แต่กลับมานั่งคิดไม่ตกกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป.......................



อาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีเรื่องราวต้องคิดมากมายครับ ทั้งอีกต้องตัดสินใจทำอะไรอีกหลายอย่าง แต่กลับต้องมานั่งพะวงตามหลังกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว





มันคงไม่ช่วยให้หลายอย่างดีขึ้นมากนัก เพียงแต่คิดว่า ทำไม?????



แต่บางครั้งการก้าวเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างไปจากคนอื่นมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดนี่นา



ความต่างหาได้สร้างจุดด้อยให้กับเรา หากแต่กลับอาจสร้างจุดเด่นให้เราก็ได้ จริงไหม



ณ จุดนี้จึงสรุปให้กับตัวเองได้ว่า ควรสร้างความต่างที่เราเลือก เป็นคุณค่ากับตัวเองดีกว่ามานั่งติดถึงว่าทำไมหนอเราถึงคิดต่างจากคนทั่วไป มาเลือดไอ้สิ่งที่คนอื่นไม่เลือก



ก็อย่างนี้แหละครับ ลางเนื้อชอบลางยา

Tuesday 3 March 2009

Komvux: my new Swedish course

เมื่อวานนี้เป็นวันแรกของการเรียนภาษาสวีดิชอีกแล้วครับ



หลังจากได้เคยเรียนไปแล้วครั้งนึง เพราะได้ทุนที่ Folkuniversitetet ก็ได้ไปแบบงูๆ ปลาๆ



ตอนนี้ก็สมัครเรียนใหม่ แต่อันนี้เป็นสวัสดิการเรียนฟรีของนักศึกษาที่มาเรียนที่สวีเดนหลักสูตรเกินกว่าหนึ่งปีน่ะครับ เป็นสวัสดิการที่รัฐจัดให้



ครั้งนี้ผมไปเรียนที่โคมวูก Komvux อยู่นอกเมืองออกไป ต้องนั่งรถบัสออกไปเรียนทุกวันจันทร์กะวันพุธ 17.30-19.50 น.


ไอ้เรียนวันนี้ก็ดีครับ เรียนไปสบายๆ เพราะเพิ่งเป็นอาทิตย์แรก แต่ว่าสอนเร็วมาก ประหนึ่งเป็น Intensive Course เลยทีเดียว



อ่อไอ้ที่จะเล่าคือ ด้วยว่ามันอยู่ไกลเมือง ดังนั้นรถที่จะไปก็ไม่ค่อยมีนัก ขาไปก็มีตกชั่วโมงละ 3-4 เที่ยว แต่ไอ้ตอนเลิกนะสิ มีชั่วโมงละสองเที่ยว ถ้าตกรถแล้วต้องรอคันต่อไปเกือบครึ่งชั่วโมง



รถขากลับบ้านเลิกเรียนตอน 19.50 รถออกตอนประมาณ 19.54 ดังนั้นเท่ากับว่าพอเลิกแล้วมีเวลาสี่นาทีต้องมาให้ถึงป้ายรถเมล์



วันนี้พอเลิก ก็หอบของยัดลงกระเป๋า ต่างคนต่างวิ่งกันสุดฤทธิ์ประหนึ่งแข่งวิ่งมาราธอนจากชั้นสาม ลงมาชั้นล่าง ออกประตูหน้า ข้ามสนาม ข้ามถนน ไปถึงป้ายรถเมล์ เล่นเอาเหนื่อย



เอาง่ายๆ เป็นการวิ่งของผมในรอบครึ่งปีเลย 555