Sunday 10 January 2010

Brake smell

อยู่สวีเดนมาปีครึ่ง เชื่อไหมว่าการเดินทางไปแลปแลนด์ครั้งนี้เป็นการเหยียบสต็อกโฮล์มครั้งแรกของผมเลยนะเนี่ยะ


แถมการมาเหยียบครังแรกของผมนี้ยังเป็นการเหยีบยภายในระยะเวลาอันจำกัดจำเขี่ยอีกต่างหาก เพราะเนื่องจากการนั่งรถไฟจากลุนด์ไปคิรูน่านั้น ผมต้องนั่งรถไฟ X 2000 จากลุนด์ไปสต็อกโฮล์ม แล้วไปเปลี่ยนเป็นรถนอน Nattåg เพื่อเดินทางต่อไปยังคิรูน่า












รูปร่างหน้าตา ทั้งภายนอกและภายในของ X 2000 ก็เป็นดังรูปเนี่ยะครับ ว่าไปมันก็เหมือนๆ กับรถไฟทั่วฟ ไปนะผมว่า แต่หากจะเทียบกับรถไฟที่ประเทศไทยบ้านเราแล้วคงจะเทียบยาก ทั้งสมรรถภาพของหัวรถจักร และรางรถไฟซึ่งที่สวีเดนสร้างด้วยเหล็กคุณภาพสูง ดังนั้นการวิ่งฝ่าลมหนาว ความสะดวกและรวดเร็ว สามารถทำเวลาอย่างรวดเร็วในการวิ่ง ก็คงเป็นจุดขายสำคัญประการหลักของการเดินทางด้วยรถไฟในประเทศนี้



ภายในขบวนก็มีตู้เสบียงด้วยครับ ขายอาหารราคาบวกค่าบริการ ก็ย่อมสูงกว่าทั่วไปเป็นปกติ และมีไมโครเวฟให้สำหรับลูกค้าอุ่นอาหารที่ซื้อด้วยครับ


ส่วนรถนอนที่ผมมาเปลี่ยนขบวนที่สต็อกโฮล์มก็หน้าตาไม่ต่างกันมากหรอก เอาเข้าจริงผมว่ามันนั่งสบายกว่า X2000 เสียอีกนะ








แต่เรื่องที่จะเขียนนี้ไม่ได้เกี่ยวโดยตรงกับรถไฟที่ผมนั่งหรอก แต่มันก็เดี่ยวโดยอ้อมน่ะครับ เรื่องของเรื่องก็คือ ด้วยเวลาอันจำกัดที่ผมต้องย้ายขบวนรถไปจาก X2000 ไปรถนอนกลางคืน ทำให้เราต้องเร่งขบวนกัน เดินทางเปลี่ยนชานชลากันเต็มที่ ด้วยเหตุที่ว่าที่สต็อกโฮล์มเป็นสถานีใหญ่ เราก็ต้องเร่งทำเวลากันน่ะครับ แต่ขณะที่เราเดินลงมาชั้นล่าง เพื่อไปขึ้นด้านบนของอีกฝั่งของสถานี เราก็ต้องเดินผ่านกลิ่นและควันที่ฟุ้งตลบอบอวลไปทั่ว ก็เลยชวนให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น นึกว่าจะเกิดวินาศกรรมทำให้เราอดไปแลปแลนด์เสียแล้วนะเนี่ยะ 555


แต่เอาเข้าจริงไอ้กลิ่นและควันที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณด้่kนล่างนั้น ก็คือกลิ่นและควันจากการเบรกของรถไฟที่มาจอดที่สถานีสต็อกโฮล์มนั่นเอง เฮ้อนึกว่าอะไร แต่เอาเข้าจริงมันเป็นมลพิษทางจมูกดีจริง


เล่นเอาเสียตกใจเลย 555

Friday 8 January 2010

Freezing

ความหนาวกับการอยู่ประเทศสวีเดนเป็นของคู่กัน จำได้ว่าตั้งแต่ก่อนมาเรียนที่ประเทศนี้ก็รู้มาบ้างจากข่าวทั้งหลายที่เสพ หรือจากคำบอกลเ่าปากต่อปาก ถึงความหนาวเย็นของประเทศแถบสแกนดิเนเวีย และแล้วความไม่ตั้งใจในรับรู้เท่าไหร่ครั้งนั้นเพราะคิดว่าคงไกลตัว ก็กลับต้องมาประสบกับตัวเองจริงๆ เมื่อมาอาศัยอยู่ที่ประเทศนี้ เข้าปีที่ 2 แล้ว


จากที่อยู่เมืองไทย นานๆ ทีอากาศหนาวจะมาเยือน จำได้ว่าเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้วอุณหภูมิที่บ้านผมที่รังสิตลงไปแตะเพดานที่ 10 องศา ตอนนั้น โอ้ยคิดว่ามำไมมันหนาวได้ขนาดนี้ ต้องใส่ถุงเท้าอยู่ในบ้านเลยทีเดียว แต่งองค์เต็มที่เลยทั้งแขนสั้น แขนยาว เสื้อหนาว เสื้อกั๊ก ขนออกมาประโคมเต็มที่ นานๆ ทีจะได้ใช้เก็บไว้ในตู้จนเก่าหมดแล้ว

ปีที่แล้วตอนที่มาสวีเดนใหม่ๆ กะว่าอากาศหนาวเย็นก็ดี เพราะตอนมาครั้งแรกก็ประมาณ 15 แต่ตอนนั้นยังไม่เข้าฤดูใบไม้ร่วงเลยนะ ต่อมามันก็ลดลงเรื่อยๆ ๆ ๆ จนกระทั่งเข้าหน้าหนาว ก็ลงไปต่ำกว่า 0 ติดลบลงไปเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่จะไปอยู่แถว -10 หรือไม่ก็วูบวาบไปแตะ -18 ครั้งนึง เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น

แต่ปีนี้ความหนาวแบบวิกฤตปกคลุมไปทั่วยุโรป ไม่เว้นแม้แต่ประเทศสวีเดน อากาศหนาวปีนี้จึงมาไวกว่าปกติ หนาวกว่าปกติ หิมะมากกว่าปกติ และหนาวนานกว่าปกติ

อุณหภูมิปกติตอนนี้ก็ประมาณไม่ต่ำเกิน -10 หรอก

แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนศิ ไปเที่ยวทางตอนเหนือมามันหนาวมาาก มากเสียจนคิดว่าไม่สามารถอธิบายออกมาให้ เข้าใจด้วยตัวหนังสือ หรือคำพูดว่ามันหนาวขนาดไหน โดยอุณหภูมิอ้างอิงที่ Abisko มันอยู่ที่ -35 ถึง -30 ซึ่งแค่นี้คงสรุปได้ว่ามันหนาว

ความหนาวขนาดไหนนั้น อธิบายแบบรูปธรรมก็คือ เสื้อผ้า 5 ชั้น ก็ยังหนาว หนาวจนถุงมือแข็งไปเลย ขนตาก็เป็นน้ำแข็ง กระพริบตาทีนึงเย็นวาบเลย คิ้วก็เป็นน้ำแข็ง หนวดก็เป็นน้ำแข็ง ไม่เว้นแม้แต่ผมก็ไฮไลท์ด้วยน้ำแข็งไปเลย เม้าท์ไปน้ำลายกระเด็นออกมายังเป็นเกล็ดได้ 555

แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมาได้จนเอามาเล่ามาคุยถึงความหนาวเย็นที่เจอมาได้ แต่ตอนนั้นมันไม่ได้หอมหวานเลย มือแข็งเย็น ปลายนิ้วเย็นไปหมด แต่มันก็เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่จะไม่ลืม และไม่คิดจะลืมเลย

Wednesday 6 January 2010

Björnens mat (bear's food): ภาคไฮโซ

นอกเหนือไปจากอาหารภาคโลโซตามมีตามเกิดของบรรดาหมีู้ร่วมเดินทางแล้ว มีอีกหลายมื้อที่พวกเราได้ลิ้มรสอาหารไฮโซกัน ซึ่งตลอดทริปนับแล้วนับเล่าก็ได้แค่ 3 มื้อเอง


อาหารหรูมื้อแรก ก็คืออาหารไทยที่ร้าน Kiruna Thai Take Away ของพี่ไพรวรรณ ที่จัดมาตามออเดอร์ตามภาพ ไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน พะแนง ต้มยำ ผัดพริกทะเล ผัดผักกับเต้าหู้ แถมยังมีของแถมเป็นมัสมั่นอีกด้วย เสริฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ มื้อนี้เลยทำให้พวกเราอ่มท้องก่อนที่จะเดินผจญอากาศหนาวกลับที่พักกันต่อไป






















หลังจากมื้อนั้นเป็นต้มมาก็เข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง หาซื้อของกินไม่ได้เลย T.T เลยเข้าสู่ยุคอาหารโลโซ ก่อนที่ปรอทจะทะลุอีกครั้งเมื่อพวกเราเดินไปเจอบุฟเฟต์ที่ Abisko tourist station การเข้าตะตบอาหารของบรรดาหมีจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ยิงยาวยันพระอาทิตย์ตกดิน อาหารประกอบไปด้วย พาสต้าราดไวท์ซอสซาลมอน หอย และกุ้ง ขนมปัง สลัด ผลไม้ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต



ส่วนอาหารไฮโซมื้อสุดท้ายของการเดินทางก็คือการเข้าจู่โจมร้านแม่ใหญ่ในเมืองลุนด์นั่นเอง ทั้งพะแนงไก่ ผัดพริกทะเล ผัดไทย sping roll และยำวุ้นเส้นทะเล พร้อมข้าวสวย ถูกเสิร์ฟจนอิ่มจุกยอดอกกันทั่วหน้า

จากนั้นก็ถึงเวลาแยกย้านสลายโต๋ กลับที่พักเพื่อจำศีลทำงานส่งกันต่อไป

เอาเข้าจริงไม่ว่าจะอาหารไฮโซ หรือโลโซในทริปนี้ ล่วนแต่น่าจดจำทั้งนั้นแหละ เข้ากับทฤษฏีอาหารที่ผมยึดถือครับ คือ อาหารที่ทำกินหรือซื้อกินจะอร่อยหรือไม่อร่อย ไม่ได้อยู่ที่หน้าตาอาหาร รสชาติอาหาร แต่มันอยู่ที่ว่ากินกับใคร

หากกินกับคนที่เราพอใจต่อให้กินข้าวต้มกับเกลือมันก็อร่อยได้ จริงม๊ะ ฮ่าๆๆๆ (เน่าได้อีก) หรือใครจะเถียง เดี๋ยวพ่อกระโดดถีบยอด-อกเลย ฮึ่มๆๆๆ

Björnens mat (bear's food): ภาคโลโซ

ขึ้นชื่อว่าอาหารแล้ว ขาดไม่ได้ไม่ว่าคนหรือหมี ฮ่าๆๆ

การเดินทางไปแลปแลนด์ครั้งนี้ก็เช่นกัน สัมภาระและเสบียงถูกจัดเตรียมกันได้อย่างลวกๆ มาก เนื่องด้วยก่อนเดินทางผู้ร่วมเดินทางหาได้้ใส่ใจกันไม่ เพราะมัวแต่ช็อปปิ้งในวันบ็อกซิ่งเดย์เป็นหลัก และหมดเวลาพร้อมเงินไปหลายโครนกับการช็อปปิ้ง ดังนั้นอาหารการกินในการเดินทางจึงกลายเป็นเรื่องรองไปเลย

เนื่องด้วยการเดินทางเราต้องโตกันบนรถไฟไปกลับก็เกือบ 2 วันเต็มๆ ดังนั้นอย่างน้อยอาหารการกินที่ต้องสำรองในการเดินทางก็สำคัญใช่ย่อยเช่นกัน

จากการสำรวจอาหารในเบื้องต้นที่บรรดาเหล่าหมีบียอร์นนำขึ้นรถไฟมา ของหลักๆ ที่มีอยู่ทุกกระเป็าก็ไม่พ้นขนม ช็อกโกแลต สนิกเกอร์ KEX แครกเกอร์ น้ำ กล้วย ส้ม และอาหารหลักมื้อเย็นแรกของทุกคนซึ่งแตกต่างกันออกไป


เส้นหมี่ผัดซีอิ้วของผม









ข้าวกับไข่ต้ม และไก่เค็มที่ทำผิดสูตรของหมีขี้อิจฉา









ข้าวเนื้อกระเทียม ไข่ต้ม น้ำพริกนรก ของหมีแข็งแรง และหมีอ่อนแรง



ผัดหมีของหมีจำศีล (ฤๅษี) และอาหารแช่แข็งของหมีบ้าตัวเลข กะหมีบีบี (ที่ไม่ได้บันทึกภาพไว้)

อาหารมื้อแรกของพวกเราผ่านไปได้อย่างอิ่มท้อง สบายใจ กินได้บ้างไม่ได้บ้างตามแค่รสมือของแต่ละคน แต่ก็ทำให้อิ่มท้องและนอนหลับกันได้ในคืนแรกบนรถไฟ

เช้ารุ่งขึ้นด้วยเหตุที่หิมะตกแรง รถไฟก็เลทไปเกือบ 2 ชั่วโมง ดังนั้นอาหารเช้าก็ถูกจัดหากันอีกมือ แต่บางคนที่ไม่ได้เตรีมมาเผื่อก็ต้องอิ่มท้องกันด้วยพิซซ่าของ SJ ราคา 40 SEK


SJ vegetarian pizza 40 SEK









ส่วนอาหารมื้ออื่นๆ ที่ปรุงกันกินก็มีแตกต่างกันออกไป แต่เมนูหลักบนรถไฟก็ไม่พ้น มักกะโรนี กับทูน่าซอส

มักกะโรนี ทูน่า ซอสมะเขือเทศ เมนูหลักบนรถไฟ












ส่วนมื้ออื่นๆ จากที่ได้บอกเล่าไปบ้างแล้วถึงภาวะขาดแคลนอาหารดังนั้นเมนูหลากเลยตามมีตามเกิดจึงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมื้อแรก บะหมี่เนื้อกวางเรนเดียร์



รวมไปถึงเนื้อกวางมูซผัดซอสหอยนางรมพริกไทยดำ มาม่าผัดเนื้อกวางมูซ มาม่าผัดเนื้อกวางเรนเดียร์กินกับข้าวต้มขาว

โอ้ววว มากมาย แม่ว่าจะตามมีตามเกิดแต่อย่างน้อยก็เป็นไปตามเป้าหมายในการเดินทางของผมในครั้งนี้ก็คือการกินเนื้อกวางมูซ และกวางเรนเดียร์สักครั้งในชีวิต

ที่จริงหากไปถามดูว่าคนที่ไปแลปแลนด์จะสักกี่คนที่จะได้กินเรนเดียร์กะมูซเยอะเท่าพวกเรา เพราะพวกเรากินไป 5 มื้อเชียวนะ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องแยกให้ออกระหว่าง "ได้กินกับได้กลิ่น" จิงม๊ะ 5555

Tuesday 5 January 2010

Starving

ภาพจำในทางบวกเกิดขึ้นมากมาย ไม่แพ้ภาพจำในทางลบที่ทำให้ประสบการณ์ร่วมครั้งนี้น่าจดจำอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่หนาวเหน็บกว่า -30 องศา ความยากเย็นในการยัดตัวลงไปในเสื้อผ้ากองใหญ่ซึ่งเยอะตลอดเวย์ ความรู้สึกเมื่อหนาวจนฝน ขนตา ขนคิ้ว เป็นน้ำแข็งน่ะ มันหนาวขนาดไหน บรรยากาศการทำตัวเป็นสัมภเวสี หาที่ลงไม่ได้ล่องไปมาหาที่นั่งกินข้าว หรือที่เม้าท์ยามค่ำคืนบนรถไฟ การถูกไล่ออกจาก restaurant เพราะเอาสปาเก็ตตี้ ไปนั่งกินอย่างสบายใจเฉิบ การคัดสินใจผิดในการทุบหม้อข้าวทิ้งเสียหายครั้ง ที่นำไปสู้ภัยพิบัติเสียหลายหน ซึ่งก็หาได้ใส่ใจไม่


แต่การไม่พูดถึงหายนะเรื่องขาดแคลนอาหาร ก็คงผิดไป ซึ่งหากจะย้อนเรื่องนี้แล้ว คงโยงเข้ากฎเหล็กการแบ็กแพ็กของผมได้ดีทีเดียว ข้อหนึ่งของกฎนั้นก็คือ การอย่าหวังน้ำบ่อหน้า หลายเหตุการณ์ในทริปนี้ เราหวังจะไปพึ่งน้ำบ่อหน้ามากไป ทำให้ตั้งแต่เหยียบเท้าถึงอบิสโก หน้าตาทุกคนที่ยิ้มแย้ม กลับหุบลงอย่างมิได้นัดหมาย เมื่อพบว่าร้านค้าทุกร้านปิดหมดแล้ว และพวกเราจะไม่มีอะไรกินไปอีก 2 วัน หน้าแต่ละคนนี่เกินบรรยาย แอบฮา!







ดีที่ลุงเอลีออน แกใจดีเอาบะหมี่มาขายต่อ แถมให้สาวไทยบริหารเสน่ห์เล็กน้อยลุงก็ใจอ่อนให้แครอทมาสองหัว พริกปาปริกา 3 เม็ด กะหล่ำปลีอีกนิด น้ำมันหอยอีกหน่อย แถมหาเนื้อกลางเรนเดียร์ให้เราครึ่งกิโล พอให้เราประทังหิวไปได้


วันต่อมายังเอาเนื้อกวางมูซมาให้เราอีกครึ่งกิโล และแบ่งเอาข้าวบาสมาติมาขายให้อีกแก้วนึง ราคา 7 โครน (ลดลงมาจาก 14 หลังการบริหารเสน่ห์ของสาวไทย) ทำให้เรามีข้าวต้ม กินกับเนื้อกวางมูซผักน้ำมันหอยพริกไทยดำกิน เป็นอาหารฉลองปีใหม่มื้อยอดเลยทีเดียว


วันต่อมาวันปีใหม่ พวกเราก็ได้ไปฉลองมื้อใหญ่ที่ Abisko tourist information สวาปามบุฟเฟต์ราคา 80 SEK ไปเต็มคราบเลย....








ความหิวที่ Lappland นอกจากจะสร้างประสบการณ์ให้ผมจดจำมากมายแล้ว หลายคนอาจคิดว่าเป็นภาพจำด้านลบ แต่สำหรับผม ณ เวลานี้มันเป็นภาพจำด้านบวกที่ทำให้ผมยิ้มได้เสมอเมื่อคิดถึง :)

Beauty

ขึ้นชื่อว่าความสวยงาม ทุกคนก็อยากมอง อยากจับต้อง อยากสัมผัส และอยากจับจองเป็นเจ้าของ ผมมีความคิดว่าการมาเที่ยวแต่ละครั้งเราต้องหาภาพจำของการเดินทางครั้งนั้นให้ได้ เพราะว่าภาพถ่ายแม้จะมีแต่มันไม่ได้ให้ความรู้สึกแก่เราเท่าที่เรารู้สึกเอง และภาพทุถ่ายมากหากไม่เปิดมามันก็คงเป็นเพียงกระดาษ หรือไฟล์ภาพที่ไม่ได้มีความหมายมากนัก การบันทึกภาพและความรู้สึกที่ดีที่สุดในการเที่ยวคือการจำภาพด้วยตา และบันทึกไว้ด้วยความรู้สึก หากทำเช่นนั้นได้แล้วการเดินทางครั้งนี้มันจะติดตามเราไปทุกที่ นึกถึงเมื่อไรก็จะมีความสุขทุกครั้งไป หากแต่ภาพจำนั้นไม่จำเป็นต้องสวยงามเสมอไป ภาพดีและไม่ดีตลอดการเดินทางจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราระลึกได้เสมอครับ แต่เรื่องที่จะเขียนนี้เป็นภาพจำเรื่องความสวยงามครับ ซึ่งคงเป็นภาพจำที่ดีเสียมากกว่า








การมา Lappland ครั้งนี้ ผมได้มอง ได้จับต้องและสัมผัสความสวยงามมากมาย แม้ว่าไม่อาจเป็นเจ้าของ หากแต่เพียงการมอง จับต้อง หรือสัมผัสก็ทำให้ผมประทับได้ได้อย่างมากมายไม่รู้ลืม ความสวยงามของเมืองคิรูน่าที่ปกคลุมได้ด้วยหิมะทั้งเมือง บ้านไม้สีแดง ตัดกับหิมะสีขาว Ice hotel ที่สร้างขึ้นจากก้อนน้ำแข็งที่ตัดและลำเลียงมาจาก Trone River ก็เป็นความสวยงามที่บรรยายได้ยาก ความสวยงามของฟยอร์ดตลอดทางไปยังนาร์วิก ที่ภาพถ่ายไม่สามารถบรรยายและบันทึกได้ทั้งหมด ความสวยงามยามเช้าของ Abisko Mountain ที่สวยกว่าภาพวาดในฝันของหลายคน ความสวยงามของแสงเหนือที่มาให้เราเห็นอย่างเกินความคาดหมายทั้งที่ถอดใจที่จะได้เห็นไปแล้ว บรรยากาศการใส่ชุดหมีลุยหิมะเล่นสกี แล้วหยุดลงด้วยการนอนบนหิมะดูแสงเหนือจนกระทั่งแสงนั้นจากไปก็เป็นอีกความสวยงามที่น่าจดจำ


แต่ที่สำคัญ.......ความสวยงามของมิตรภาพของเพื่อนๆ รวมการเดินทางทุกคนในครั้งนี้ ที่ยากที่จะบรรยายได้ แม้ว่ามันจะบันทึกเป็นภาพไม่ได้แต่พวกเราน่าจะรับรู้ได้ด้วยใจ จริงไหม?


น้องๆ ร่วมการเดินทางสรุปว่า แต่อย่างไรเสียหากเทียบแล้วความสวยงามของโรงแรมน้ำแข็งที่มนุษย์สร้างขึ้น ก็ไม่อาจสวยไปกว่าความสวยงามตามธรรมชาติของฟยอร์ด หรือที่อบิสโกได้เลย ซึ่งผมก็เห็นด้วย


สำหรับผมผมคิดว่า เพราะความสวยงามที่สร้างขึ้นนั้นมันอยู่บนฐานที่ต้องให้ผู้พบเห็นตัดสินความสวยงามเหล่านั้น หากแต่ความสวยงามธรรมชาติถูกแต่งแต้มมา อยู่ที่ว่ามนุษย์จะเห็นถึงมันหรือไม่ต่างหาก

Traditional mountain sauna

การเดินทางไป Lappland ครั้งนี้ทราบอยู่แล้วครับว่าพวกผมจะต้องไปซาวน่าต้นตำรับที่นั่น และที่สำคัญการซาวน่าเนี่ยะมันเป็น naked sauna แต่ก็นะครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราจะได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมของคนสวีเดน

เคยมีคนถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่สวีเดนนานแล้ว และมีคนกล่าวตอบว่า เมื่อคุณสามารถแก้ผ้าอบซาวน่ากับคนที่คุณไม่รู้จักหรือรู้จักได้อย่างเป็นปกติ ดังนั้นหลังจาด กลับจาก Lappland ผมก็สามารถกล่าวได้ว่าทั้งผมและเพื่อนๆ ร่วมเดินทางครั้งนี้ทั้ง 7 คนคงอยู่สวีเดนมานานกันแล้วจริงๆ 555+

ทันทีที่เข้าพักที่ Abisko hostel คุณลุง Elian housekeeper ก็เข้ามาถามพวกเราเกี่ยวกับการเข้าซาวน่าในรอบค่ำของวันนี้มีว่าพวกเราจะเข้าไหม วันนี้ฝ่ายหญิงทั้งสามปฏิเสธการเข้าซาวน่า ดังนั้นฝ่ายชายทั้ง 4 คนก็เลยต้องเข้าไปสัมผัสกันก่อนเลย ในวันแรกซึ่งจะเริ่มขึ้นอีกประมาณ 2 ชั่วโมงนี้

ห้องซาวน่าของที่นี่อยู่ที่อาคารอีกหลัง เป็นอาคารชั้นเดียวอยู่ถัดจากบ้านสามชั้นที่ใช้เป็นที่พัก เดินออกจากประตูบ้าน ฝ่าหิมะมานิดเดียวก็ถึงอาคารที่เป็นสถานที่ซาวน่าแล้ว ซึ่งมองไปข้างบนจะพบว่ามันอยู่ตรงกับห้องพักของเรามากเลย โอ้วแม่เจ้า.......

น้องที่ได้ไปอบิสโก บอกผมว่าที่นั่นไม่ต้องกังวล เพราะในห้องมืด มีเทียนแค่สองเล่มเองที่ช่วยจุดประกายความสว่าง เฮอๆๆๆๆ

ทันทีที่ถูกต้อนเข้ามาในห้องแรก ลุงเอลีออน ก็บอกให้พวกเราทั้งสี่คนไปนั่งโต๊ะที่วางเทียนไว้ ส่วนที่เหลืออีก 5 คนก็นั่งอีกฝั่งซึ่งไม่มีเทียน แล้วก็แจ้งให้ทุกคนถอดเสื้อผ้าออกให้หมด ๖คิดแล้วก็เจ็บใจ ไหงว่าไม่สว่าง ไอ้เทียนเนี่ยะสองเล่มก็จริงแต่มันสว่างนะ แถมลุงให้แก้ผ้าหน้าเทียนอีก อารามตกใจนิดหน่อย ทุกคนซึ่งเป็นหน้าใหม่ทั้งหมดก็ปลดปลื้องพันธนาการแห่งแฟชั่นแฃะความหนาวออกหมดทุกชิ้นเดินหน้าเรียงตัวรับผ้าขนหนูผืนเล็กจากลุง เข้าประตูไปยังห้องซาวน่าด้านใน

ทันทีที่เข้ามาด้านในก็มีเตาไฟสำหรับเผาก้อนแร่ และยกพื้นอีกด้านเป็นที่นั่ง ดังนั้นเป้าหมายแรกก็คือการจับจองที่นั่งที่ (ตอนนั้น) คิดว่าเป็นมุมอับแสงที่สุดแล้วนั่งส่วนเสียงต่อมาจากลุงก็คือ ผ้าที่ให้นั้นสำหรับรองนั่ง ไม่ได้สำหรับปิดบัง กรุณาเอาไปรองนั่งบัดนาว ตอนนี้สภาพทุกคนเลยนั่งอายม้วนบิดไปมามีเพียงผ้าหนึ่งผืนรองก้นมิให้ร้อนเมื่อยามกระทบกับพื้นไม้

จากนั้นลุงซึ่งตอนนี้ก็ยืนเปลือยอยู่ก็ผสมน้ำอุ่นให้ทุกคนเพื่ออาบก่อนเริ่มซาวน่าอยู่ ก็เริ่มให้ผู้ร่วมชะตากรรมแต่ละคนเดินเปลือยออกไปด้านหน้าแล้วก็อาบน้ำถูสบู่ทีละคนๆๆๆๆ จนครบแล้วการซาวน่าจึงเริ่มขึ้นด้วยการเอาน้ำราบก้อนแร่ที่วางบนเตาไฟ อุณหภูมิในห้องซาวน่านั้นประมาณ 60 องศา เมื่อเหงื่ออกได้ที่ลุงก็ไล่ให้ทุกคนออกไปด้านนอกเพื่อรับไปเย็นที่ -30 ถึง-25 เพื่อปิดรูขุมขน แล้วก็กลับเข้ามาซาวน่าใหม่ สลับไปมาอย่างนี้ รอบต่อมาผมก็ได้ไปลองกลิ้งกับหิมะแบบเนื้อแนบหิมะทั้งตัวก่อนเข้ามาซาวน่าใหม่ โอ้วจอร์จมันยอดมากกกก

ทำวนไปเรื่อยๆ จนหนำใจแล้วก็ต้องอาบน้ำเปล่าอีกครั้ง ก่อนออกกลับไปห้องได้ ถือเป็นการเสร็จขั้นตอนการซาวน่าครับ ครั้งนี้ผมได้ซาวน่าไปวันแรกกับวันสุดท้ายครับ จนคิดว่าการนั่งต่อหน้าคนโดยปราศจากอาภรณ์ก็ไม่ได้น่ากลัวหรือน่าอายมากมายอย่างที่คิดเลยนะครับ นี่แหละครับคนเราที่มักจะคิดอะไรไปในทาง negative เสมอๆ อย่างน้อยการได้เรียนรู้วัฒนธรรมนี้ของชาวซามิ ก็ทำให้ผมได้ประสบการณ์มากมาย อย่างน้อยก็กลายเป็นคนที่อยู่สวีเดนมานานแล้ว เพราะเริ่มไม่ได้กระดากมากมายแล้วครับ ฮะๆๆๆๆ

ป.ล. อีกนิดที่ผมลงเล็บไว้ว่าตอนนั้นผมคิดว่าด้านที่ผมนั่งน่ะมันเป็นมุมอับแสง ทำให้คนนั่งตรงข้ามอาจมองไม่ค่อยเห็น ในที่สุดแล้วผมก็ได้ไปทดสอบแล้วว่า ที่จิงมันสว่างเท่ากันแหละครับ ฮา....

สรุปว่าไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ เห็นจุดยุทธศาสตร์ครบถ้วน เข้าตำราพิชัยสงครามที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยคครั้งชนะร้อยครั้งเลย ฮ่าๆๆๆๆ

Fjord

การเดินทางครั้งนี้เป้าหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งของผมก็คือการได้ดูฟยอร์ดระหว่างเส้นทางจากคิรูน่าไปยังนาร์วิก









ไอ้คำว่าฟยอร์ดเนี่ยะจำได้คลับคล้ายคับคาว่าได้ยินมาตั้งแต่สมัยเรียนเรื่องโลกของเราตอนที่อยู่ ม.3 ตอนนั้นอาจารย์สอนว่าแถบประเทศสแกนดิเนเวีย โดยประเทศนอร์เวย์นั้นมีขอบประเทศแบบเว้าแหว่งเรียกว่าฟยอร์ด ไอ้ตอนนั้นก็เด็ก และนานมามากแล้ว เลยจำไม่ค่อยได้แล้วว่าสงสัยขนาดไหนว่าไอ้ฟยอร์ดเนี่ยะหน้าตามันเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าให้นั่งรำลึกในวันนี้ก็คิดว่าคงสงสัยไปไม่ต่างไปจากคำอื่นๆ ในวิชานี้ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้าฮาวาน่า ทุ่งหญ้าสเต็ป มั้ง



ดังนั้นเมื่อการเดินทางในครั้งนี้ต้องผ่านไปยังนอร์เวย์ก็จึงถือเป็นโอกาสอย่างดีในการที่จะดูเสียหน่อยว่าไอ้ฟยอร์ดเนี่ยะ หน้าตาเป็นยังไง



การเดินทางเพื่อดูฟยอร์ดครั้งนี้ ผมต้องเดินทางโดยการนั่งรถไฟออกจาก Kiruna C ไปที่ Narvik Stn รถไฟออกตอน 0930 แต่ก็ตื่นกันเช้ามาแต่งตัวเตรียมอาหารการกิน ประหนึ่งจะไปปิกนิคกันประมาณนั้นเลยทีเดียว


เช้านี้รถไฟที่คิรูน่ามาช้าออกไปสัก 15 นาที ซึ่งไม่นานเท่าไหร่ถ้าจะเทียบกับที่เมื่อวานที่ช้าไปเกือบ 2 ชั่วโมง แถมเช้านี้หิมะก็ตกอยู่อย่างต่อเนื่อง พวกเราต้องเดินฝ่าหิมะเพื่อโบกมือลาคิรูน่า เมืองแห่งสโนว์บอลล์กันแล้ว ไม่รู้ว่าในชีวิตจะมีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนเมืองนี้กันอีกหรือเปล่า แต่นี่แหละคือปรัชญาสำคัญในการเที่ยวของผมที่ว่า "ควรจากมาอย่างเสียดาย ให้รู้สึกอยากกลับมาอีกสักครั้ง" ซึ่งผมใช้ปรัชญาการเที่ยวอย่างนี้ของผมตลอดมา....


รถไฟฝ่าหิมะจากคิรูน่า มุ่งหน้าสู่นาร์วิก ในขณะที่ผู้โยสารเช่นพวกผมจับจองโบกี้สุดท้ายของขบวน เพื่อเปิดปาร์ตี้ กินข้าวและเม้าท์อย่างเมามัน ก่อนที่รถไปจะได้เข้าสู่พรมแดนของประเทศนอร์เวย์


ทันทีที่เข้าสู่ประเทศนอร์เวย์ทัศนียภาพสองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นภูเขาหินสีดำตัดกับหิมะที่ปกคลุมสีขาวตลอดทาง ดีที่พวกเราจับจองที่นั่งและหน้าต่างกันแล้ว ดังนั้นจึงเป็นการง่ายมากที่จะเปิดหน้าต่างและชักภาพที่สวยงามตลอดทางสู่นาร์วิก

รถไปวิ่งไปเรื่อยๆ ผมเริ่มเห็นแล้วหละว่าไอ้ฟยอร์ดเนี่ยะหน้าตามันป็นแบบไหน





ผมเริ่มต่อสู้กับความหนาวเย็นเบื้องนอกด้วยการเก็บภาพสวยงามเบื้อหน้าทั้งโดยกล้องและตา อย่างต่อเนื่อง






ความสวยงามและยิ่งใหญ่ของฟยอร์ดที่รถไฟวิ่งผ่าน แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนน้อย แต่มันก็ยิ่งใหญ่สำหรับคนเราผมหนึ่งคนที่ได้ส้มผัสมันด้วยสายตาของผมคู่นี้


ภาพสวยงามของฟยอร์ดที่ถ่านมาได้อาจไม่สวยงามนักเพราะว่าต้องถ่ายขณะที่รถไฟวิ่งไปเรื่อยๆ แต่ภาพของฟยอร์ดที่ผมบันทึกไว้ด้วยตาของผมยังคมชัดและสวยงามเสมอ.......





Monday 4 January 2010

Lappland Trip

กลับมาแล้วครับ กลับมาถึงลุนด์ตั้งแต่เมื่อวาน เป็นการเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตในการเดินทางไปเที่ยวที่ Lappland โดยไปทั้งหมด 3 เมืองหลักๆ คือ Kiruna, Narvik and Abisko


การเดินทางครั้งนี้มีเรื่องราวและภาพจำมากมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทกครั้งที่ผมต้องระหกระเหินเดินทางไกลไปเที่ยว ต่างตรงที่ครั้งนี้เดินทางไปเป็นกลุ่มครับ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แบบสนุกสนาน จากเดิมที่เดินทางคนเดียวจะเป็นแบบอินกับมิวสิควีดีโอ ประมาณเหงา เศร้าๆ เคล้าน้ำตา ประหนึ่งคนหนึ่งคนที่ต้องเดินทางท่องไปในโลกกว้างเพียงลำพัง ส่วนครั้งนี้ดูเหมือนมีพรรคพวกซึ่งเป็นการสร้างอำนาจต่อรองที่ดูท่าจะมีน้ำหนักมากขึ้นมากทีเดียว เพราะครั้งนี้กลุ่มเราเดินทางกันไปทั้งสิ้น 7 คน ครับเหล่า Björnทั้งหลาย ทั้ง Björn ผู้พี่ (ผมเอง) Björn ผู้น้องทั้งหก ได้แก่ Björnแข็งแรง Björnอ่อนแรง Björnขี้อิจฉา Björnบ้าตัวเลข BjörnฺBB และ Björnฤๅษี ฮ่าๆๆ


ตามตำราการท่องเที่ยวของผมแล้วการเที่ยวแต่ละครังต้องให้เกิดภาพจำ เพราะเราจะได้จดจำการเดินทางครั้งนั้นได้ตลอดไป และหวนระลึกได้ทุกครั้งที่อยาก






หลังจากการท่องเที่ยวครั้งนี้เสร็จสิ้น สำหรับผมภาพจำที่เกิดขึ้นกับผมมีมากมาย เพราะหากถามผมตอนนี้ว่าการเที่ยวที่ไหนหิวที่สุด หนาวที่สุด นั่งรถถึงที่สุด การเดินทางที่แต่งตัวจัดที่สุด เยอะที่สุดและอึดอัดที่สุด และทำกิจกรรมได้มากที่สุดภายในวันที่มีแสงแดดน้อยแค่ 4 ชั่วโมง ผมก็คงนึกถึงทริปนี้แหละครับ ผมได้ทำกิจกรรมมากมายทั้ง dog sledding, snowmobiling, trekking, skiing, traditional moutain sauna, visiting Ice Hotel, chatting, cooking and etc...





ดังนั้นคงเป็นอีกหนึ่งการเดินทางในชีวิตที่จะเป็นภาพจำกับผมตลอดไป