Wednesday 31 December 2008

Scientist

สมัุยมัธยมในชั่วโมงวิทยาศาสตร์ เราต้องทำการทดลอง ซึ่งต้องเริ่มจากการตั้งสมมติิฐานไง ก่อนที่จะพิสูจน์แล้วสรุปผล



แถมผมเคยอยู่ในชมรมวิทยาศาสตร์ด้วย แหมนักกิจกรรมตัวยงซะขนาดนั้น ดังนั้นผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่น่าจดจำของผมมีหลายอย่างนะ ที่น่าสนใจ


อย่างแรกก็คือ การทำการทดลองเรื่องของ Super Conductor โดยการนำมาวางในภาชนะที่ใส่ไฮโดรเจนเหลว เราก็จะเห็นว่าวัตถุนั้นก็จะลอยขึ้น ประหนึ่งเล่นปาหี่ทีเดียว (เรื่องนี้ต้องขอบคุณ ศ.ถัง ที่บางมดนะ ถ้าจำไม่ผิด)



เรื่องต่อมาก็คือการทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ต้นอัฟริกัน ไวโอเลท ซึ่งสมัยนั้นเป็นเรื่องใหม่มาก (เรื่องนี้ต้องขอบคุณม.มหิดล)



การหมักไวน์มะขาม และสับปะรด เป็นผลงานที่ผมยังจดจำได้ดี ผลิดขายกันไม่ไม่หวาดไม่ไหว



ทอดมัน ซึ่งเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ตรงไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าหาเงินให้ชมรมเยอะมาก




การทำดอกไม้ประดิษฐ์



การสานตะกร้ากระดาษาหนังสือพิมพ์ วิทยาศาสตร์จริงๆ



อีกผลงานที่น่าจดจำ คือการนั่งนับถุงยางที่ลอยตามคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อพิสูจน์สมมติฐานว่าคงมีสถานขายบริการทางเพศที่ตลาดโบ๊เบ๊แน่ๆเลย




นอกนั้นยังมีการทำโครงการวิทยาศาสตร์อีกสองอย่างคือ เรื่องสารฟอมาลดีไฮด์ หรือฟอมารีน ในอาหาร กับ การทำปุ๋ยจากถั่วประเภทต่างๆๆ



นึกแล้วยิ้มได้



ชอบๆๆๆ

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๒

ตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ที่ประเทศไทยแล้ว



ปีนี่เป็นปีแรกที่ผมอยู่ต่างประเทศในช่วงคืนข้ามปี อิอิ



เลยอยากเขียนฝากบอกไปยังทุกคนที่เมืองไทยว่า สวัสดีปีฉลู นะครับ อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเราจริงๆ ยื่งปีนี้ด้วยแล้ว เราก็ฉลองมันคนเดียวนี่แหละ นั่งเล่นอยู่ในห้อง ไม่ได้ไปไหนมากมาย แต่วันนี้ไปซื้อของมาตุนไว้กินแล้ว เพราะพรุ่งนี้ร้านรวงมันปิดกันอีกแล้ว



โอ้ย ออกไปคุ้งไปแควอีกแล้ว



เอาเป็นว่าปีใหม่นี้ ขอให้ทุกคนมีปัญญาประดุจแก้ว ฉลาดปราดเปรื่องทุกเรื่องทุกสิ่ง มีความสุขบนความพอดีของชีวิตนะครับทุกคน



เคเจ

Saturday 27 December 2008

Julmust

แหมวันนี้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับเครื่องดืมสำหรับเทศกาลคริสต์มาสสำหรับที่ประเทศสวีเดนกันหน่อย



พอเข้าใกล้คริสต์มาสที่สวีเดน เขาก็จะต้องดื่มเครื่องดืมสำหรับเทศกาลนี้ ก็คือ Julmust (หยู่ลมู๊ส) ซึงจะมีขายเฉพาะในช่วงนี้เท่านั้น




หน้าตาก็คล้ายโค้ก แป๊บซี่ เทือกๆนั้นน่ะ





แต่ถ้าถามเรื่องรสชาดแล้ว โอ้ย อย่าให้ said ใครเคยไปหาพ่อหมอแม่หมอ เจ้าพ่อเจ้าแม่สำนักต่างๆ หรือไปหาพระแล้วได้เคยกินน้ำมนต์ที่มีน้ำตาเทียนลอยอยู่สักอึกละก้อ นึกออกมั๊ย



รสเหมือนเอาโค้กเปิดขวดทิ้งไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เพื่อเอาไว้กินตอนธันวาคม แล้วเอาเทียนมาหยดน้ำตาเทียนลอยนิดหน่อย รสแบบ แปล่มๆอ่ะ



เฮ้อ อร่อยตรงไหนเนี่ยะ แต่ก็นะ เทศกาลเขาก็เอาซะหน่อย

หมอนขนเป็ด

แหม ไอ้เราน่ะได้ยินมานานเรื่องหมอนขนเป็ดว่ามันดี แพง




เมื่อวานนี้สบโอกาสช็อปปิ้งมาเพราะลดราคาจากใบละ 149 โครน เหลือขายสองใบ 99 โครน ถูกมาก แถมเป็นของ Hemtex เลยนะ ที่นี่ยี่ห้อนี้ ไม่ลดราคาซื้อไม่ลง เพราะแพงมั่กๆๆๆๆๆ




มีรึจะไม่ถอยหมอน (อุ็้้ยยยยย++++ น่าเกลียดได้โล่) ใหม่มาสองใบ หมอนจริงๆๆๆๆๆๆ




กะว่าคืนนี้จะนอนหมอนใหม่ซะหน่อยคงจะหลับสบาย




แกะหมอนใส่ปลอกเรียบร้อย ง่วงได้ที่ปีนเตียงไปเอาหน้าซบหมอน กะนอนหลับปุ๋ย




ต้องสดุ้งเฮือก!!! ประหนึ่งโดนฆาตรกรรม เพราะนังหมอนขนเป็ดนะสิ มันเหมือนกันทุกประเทศหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ขนเป็ดสวีเดนทำไมมันเหม็นได้โล่ขนาดนี้




นอนไปเนี่ยะ นึกว่าเดินอยู่ตลาดขายเป็ดไก่ ที่ซอยคาเธ่ย์ี่เยาวราช เลย




สรุปว่ามันดีหรือเปล่าเนี่ยะ




แต่ที่แน่ๆ ผมนอนคว่ำไม่ได้เลยตั้งแต่เปลี่ยนหมอน




เซร็ง

เหมยขาบบุกเมือง

เหมยขาบน่ะ มันไม่ใช่สายพันธุ์ของตะขาบนะ !!!!



อากาศที่ลุนด์ช่วงนี้ก็ผีเข้าผีออก ไม่รู้ว่าอากาศเป็นฤดูไหนกันแน่



เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวครึ้ม เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหิมะ เดี๋ยวลม เดี๋ยวแห้ง เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ บางวันดีหน่อยเจอมันครบทุกอย่างเลย



แต่ตอนนี้อากาศโดยทั่วไปของลุนด์นั้นเป็นฤดูหนาวครับ อากาศโดยรวมตอนนี้ก็ติดลมอยู่ เฉลี่ยตามปรอทวัดอุณหภูมิก็ประมาณ -5 ถึง -2 แล้วแต่วัน




แต่อากาศแบบนี้น่ะ มันแห้งมาก ตื่นมาเช้าๆ สนามหญ้ากลายเป็นสีขาวโพนไปหมด ไม่ใช่เพราะหิมะตกนะ แต่เป็นเพราะน้ำค้างยอดหญ้ามันแข็งน่ะ ก็เล่มหนาวต่ำกว่าจุดเยือกแข็งนี้นา



ช่วงนี้ไปไหนๆ ในเมืองนี้ ก็จะเจอเหมยขาบหรือแม้คะนิ้งอยู่ทั่วเมืองร่ำไป

Haj då min vänner

เวลากว่าอาทิตย์ เร็วจริงๆ วันนี้บิ๊กก็เดินทางกลับไทยไปแล้ว



อาทิตย์นึงที่ผ่านมาผมได้ไปเที่ยวโน่นนี่ และทำอะไรมากมายกว่าสี่เดือนที่ผมอยู่ที่นี่มาครับ อย่างนี้มั้งการเที่ยวกับเพื่อน มันก็คงดีกว่าเที่ยวคนเดียวแหละนะ







แถมช่วงคริสต์มาส ถ้าอยู่คนเดียวคงเหงาเง่กพิกล



เอาเป็นว่าต้องยกความดีความชอบให้เพื่อนคนนี้ครับ



ยูบิ๊ก

Boxing day & Shopping day & Köpendagen

เมื่อวานนี้เป็นวันบ็อกซิ่งเดย์ของที่สวีเดนเช่นกัน ผมกับบิ๊กวางแผนช็อปปิ้งกันแต่เช้าโดยจะเดินทางไปมาลเมอ และตอนบ่ายกลับมาต่อที่ลุนด์



เช้านี้อากาศที่ลุนด์ดีเลยครับ เหมาะกับการเดินช็อปปิ้ง



แต่พอถึงมาลเมอ ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม อากาศขมุกขมัว หมอกหนา อากาศชื้น เปียกไปหมด หายใจไม่ค่อยออก



แต่ทุกอย่างก็มาขางการเลือกซื้อของไม่ได้ วันนี้ร้านรวยส่วนใหญ่เปิดลดราคาวันแรก ทั่วๆ ไปก็ครึ่งราคา ผมก็เลยได้ของตัวเองและของฝากหลายชิ้น ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า



จากนั้นกลับมาต่อที่ลุนด์ ได้โน่นนี่ติดมือไปอีกนิด


แถมวันนี้วันที่ 27 ผมยังไปเดินที่ลุนด์อีกรอบ ได้รองเท้ามาอีกคู่



เฮ้อ ช็อปจนเหนื่อยเลยอ่ะ

God Jul: Juldagen in Lund

สุขสันต์วันคริสต์มาส



โห้วๆๆๆๆ เมอร์รี่คริสต์มาส



วันนี้เป็นวันคริสต์มาสแรกในต่างแดน เฮ้อมาอยู่ประเทศใกล้บ้านเกิดซานต้าเสียที คาดว่ามันคงมีอะไรให้ทำบ้างละ ที่ไหนได้



ป่าช้าชัดๆ




ไม่มีอะไรทำ ร้านค้าปิดหมด นั่งๆนอนๆ กินข้าวดูหนังไปสิ้นเรื่องสิ้นราว




ตกเย็นก็ขอนิดนึง นั่งรถออกไปฟังเพลงในโบสถ์ซึมซับบรรยากาศเสียหน่อย หนาวก็หนาวกว่าจะถึง นั่งก็ก้นไม่ทันร้อน ออกกลับบ้านดีกว่า



มันง่วง





สรุปแล้ว Christmas เสียที ไม่มีไรเลยซิพับผ่า!!

Julafton (24 December 2008)

วันนี้เป็นวันคริสต์มาสอีฟ หรือวันก่อนวันคริสต์มาส วันนี้ร้านค้าต่างๆ มักเปิดกันครึ่งวัน ช่วงบ่ายก็ปิดกันแล้ว แถมวันรุ่งขึ้นก็ปิดกันทั้งเมืองอีก วันนี้จึงเป็นวันจับจ่ายตุนของกินไงครับ



สายๆ ผมกับบิ๊กก็เลยต้องตะลุยช็อปแหลก เพื่อเอาของกินมาบรรจุเข้าตู้เย็ไว้ ประหนึ่งว่าต่อให้ผมติดอยู่ในห้อ
งอีกเดือนก็รอกตายได้ ว่างั้น



ตกเย็นกะว่าวันนี้จะไปโบสถ์ ไปฟังเพลงประสานเสียงเสียหน่อย




ออกจากหอตอนหกโมงเย็น ถนนที่ไร้รถเลย ก็น่าหวิวๆ ดี ไม่มีแม้กระทั่งรถประจำทาง ต้องอาศัยสองขาเดินเข้าเมือง




ลุ้นด์วันนี้ผู้คนต่างหายไปหมด เอาง่ายๆ เดินไปในเมืองก็มีกันอยู่สี่ขาสองคน นานๆๆๆๆๆ จะมีคนเดินสวนมาสักคน แถมกว่าจะเดินไปถึงโบสถ์แสนเหนื่อย ก็ไม่มีงานอะไรซะงั้น




ว่าแล้วก็เดินกลับห้องอีก



สรุปกลับมาหุงหาอาหารกินฉลองดีกว่า คนอื่นเขากินไก่งวง แต่เมนูวันนี้คือ ส้มยำ ไก่ย่างครับ

From Helsingborg to Helsingør 6 (End): At Malmö and Lund

และแล้วก็มาถึงบทส่งท้ายการเดินทางมาเฮลซิงบอย เฮลซิงเยอร์ของผม




จากสถานีรถไฟเฮสซิงเยอร์เกือบๆ ชั่วโมงผมก็มาลงที่สถานีรถไปมาลเมอ เพื่อลงไปหาซื้อของกิน แทนที่จะรีบกลับไปห้อง ก็นะตั๋วมันยังใช้ได้อีกหลายขั่วโมง แวะไหนได้ก็แวะไปก่อน นี่ดีนะตอนแรกกะว่าจะแวะช็อปปิ้งที่โคเปนเฮเกนเสียให้สิ้นเรื่งสิ้นราวไป



วันนี้เป็นวันก่อนหน้าคริสต์สาวอีฟ ดังนั้นผู้คนยังพอมีอยู่บ้างสำหรับเมองมาลเมอ ซึ่งต่างจากลุนด์สิ้นดี ป่านนี้คงใกล้เป็นป่าช้าเต็มแก่


ผู้คนยังออกมาเลือกซื้อของขวัญกันมากทีเดียว แต่ผมกลับลำได้ว่าหลังคริสต์มาส มันเป็นเทศกาลช็อปปิ้งนี่นา ดังนั้นทุกอยู่จึงถูกหยุดเพื่อรอวันนนั้นที่จะมาถึงในไม่ช้า


ดังนั้นวันนี้จึงแค่เป็นการเดินดู ให้อยากได้ก่อนที่อีกสามวันผมจะกลับมามาลเมออีกครั้ง



ผมสัญญา



ดังนั้นที่มาลเมอผมก็ได้แต่ถ่ายรูปไฟยามค่ำคืนแหละครับ สวยดี

From Helsingborg to Helsingør 5: At Kronborg Castle

ปราสาทโครนบอย เป็นปราสาทที่อยู่ในรายชื่อมรดกโลกด้านวัฒนธรรมของยูเนสโก



ปราสาทนี้เดิมเป็นที่สำหรับเก็บค่าธรรมเรียมการเดินเรือผ่านออกไปยังทะเลบอลติก ปัจจุบันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพิพิธภัณฑ์การเดินเรือที่สำคัญของเดนมาร์กเลย








หลายคนรู้จักปราสาทนี้ในชื่อปราสาท Hamlet เพราะที่นี่ใช้เป็นฉากสำคัญ คือปราสาท Elsinore ในการถ่ายทำภาพยนต์เรื่องแฮมเล็ตซึ่งเป็นบทประพันธ์ของวิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ เมื่อปี 1964



ปราสาทนี้เดิมถูกไฟไหม้ไปเกือบหมดเหลือเฉพาะในส่วนของโบถ์ที่รอดพ้น ดังนั้นตัวปราสาทส่วนใหญ่นั้นถูกสร้างขึ้นมาใหม่



ในปราสาทการจะเข้าต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วย สำหรับค่าธรรมเนียมในการเช้าชม 4 ที่คือปราสาท โบสถ์ เคสเบส (Casebase คล้ายๆ ห้องใต้ดินที่เป็นที่ทำงานของทาส) Maritime Museum สนนราคา 85 โครนเดนมาร์ก แต่ตั๋วที่ผมซื้อนั่งรถมาลดได้ 20 โครย ก็เลยเหลือคนละ 65 โครน



ที่แรกที่ไปชมก็คือตัวปราสาท ห้องต่างๆ ห้องนอน ห้องอาหาร ห้อง่านหนังสือ ห้องนั่งเล่น และห้องโถงครับ ก็สวยดี ขัดก็ตรงห้องโถงใหญ่ในภาพ ก็สวยดี แต่กลับปรากฎต้นคริสต์สาสต้องบึ้นมาบดบังทัศนียภาพซะงั้น แถมตามแชนเดอเรีย สวยงามดันมีสโนว์เฟลกมาห้อยโน่นนี่ ไม่เข้ากันเลยซิพับผ่า





ต่อมาก็เดินทางไปในส่วนของโบสถ์ในพื้นที่ของปราสาท ที่รอดพ้นจากการถูกไฟไหม้







ที่ต่อมาเป็นเสมือนคุกใต้ดินเลย เคสเบสทั้งมืดและแถมบังมีจัดหุ่นมายืนอีก ประหนึ่งว่า เอ๊ะ นี่เราอยู่ที่ปราสาทบ้านผีสิงหรือนี่






จากนั้นก็เดินทางไปที่สุดท้ายคือพิพิธภัณฑ์การเดินเรือ Maritime Museum เดินหาจนเมือย จนเกือบปิดก็ยังหาไม่เจอ เดินออกมาจนรอบตัวปราสาท จนที่สุดเข้าไปในปราสาทอีกครั้งค่อยรู้ว่ามันอยู่ในปราสาท อ้าวเซ็ง แถมตอนนปิดไม่ให้เข้าแล้ว เลยอด แต่เขาว่าตั๋วสามารถเก็บไว้ต่อไปได้นะ เอาวะ คราวหน้าก็ได้


จากนั้นก็เลยออกมาถ่ายภาพแราสาทสวยงามยามบ่ายได้อีกหลายภาพครับ สวยดี ดูฟ้าสิ เอาเป็นว่าผมเลือกวันมาไม่ผิดจริงๆ อากาศดี ฟ้าสวยมากครับ






เมื่อเที่ยวเกือบครบทั้งปราสาทแล้ว ผมก็ออกมาเดินในเมืองอีกนิดหน่อย ก็คิดว่ากลับดีกว่า เผื่อจะได้ไปแวะที่ไหนอีกก่อนที่จะกลับไปลุนด์


จากปราสาทผมต้องเดินอ้อมอีกครั้งเพื่อกลับมา ผ่านเมืองกลับมาที่สถานีรถไฟเฮลซิงเยอร์ครับ

From Helsingborg to Helsingør 4: At Helsingør

ไม่นานเรือเฟอร์รี่ก็มาเทียบท่าที่เฮลซิงเยอร์ ประเทศเดนมาร์กเป็นที่เรียบร้อย เป็นการเดินทางข้ามประเทศที่เร็วดีจริง



เมื่อเดินทางมาถึงแล้ว จุดหมายการเดินทางของผมก็คือปราสาทโครนบอย หรือปราสาทแฮมเล็ต แต่ก่อนการเดินทางที่ดูคาดว่าคงยาวจะต้องอิ่มท้องก่อน อาหารกลางวันนั่นเอง ตอนแรกกะว่าจะนั่งกินบนเรือเฟอร์รี่ซะหน่อย ยังไม่ทันได้นั่งพัก เพียงแค่เดินสำรวจเรือก็ถึงซะแล้ว



ท่าเรือที่นี่ เมื่อเดินออกมาก็จะถึงสถานีรถไฟที่เฮลซิงเยอร์เลย ซึ่งก็เป็นที่ที่ผมต้องมาขึ้นรถไฟในขากลับนั่นเอง






อาหารกลางวันนี้ก็เลยลงมือกันที่สถานีรถไฟเนี่ยะแหละครับ สถานีรถไฟที่นี่ก็สวยดีนะครับผมว่า



ข้าวราดกระเพราเลยกลายเป็นประหนึ่งกินกระเพราในวังเก่าเลยครับ







พอกินเสร็จเราก็ออกเดินทางเพื่อไปยังปราสามแฮมเล็ต ซึ่งก็สามารถมองเห็นได้จากสถานีรถไฟแหละ แต่ว่าต้องเดินอ้อมไปอีกทาง เพราะทางเดนมาร์กกำลังก่อสร้างท่าเทียบเรือใหม่ การเดินทางที่ดูเหมือนไกลอยู่แล้ว ก็ต้องไกลกว่าเดิมไปอีก


ก็ยังดีที่การเดินนี้ต้องเดินตัดผ่านกลางเมือง ผ่านตลาด ซึ่งแม้ว่าใกล้เทศกาลทำให้มีคนน้อย แต่ว่าก็ให้อารมณ์ไปอีกแบบหนึ่ง





เดินมาสักพักใหญ่ผมก็เดินทางมาอยู่ที่หน้าปราสาทโครนบอยเป็นที่เรียบร้อบแล้วครับ

From Helsingborg to Helsingør 3: At the Scanline Ferry

หลังจากเดินเที่ยวเล่นในเมืองเฮลซิงบอยได้ที่แล้วก็ตัดสินใจว่าข้ามไปฝั่งเฮลซิงเยอร์เร็วหน่อยดีกว่า เพราะว่ามีที่จะไปไม่หลายที่ก็จริงแต่ เท่าที่รู้มามันต้องเดินไกลน่ะ แถมวันนี้ที่ที่จะไปคือปราสาทแฮมเล็ต หรือ โครนบอยมันจะปิดตอนบ่ายสาม เลยรีบไปก่อนเที่ยงดีกว่า ก็เลยเดินย้อนกลับมาที่ท่าเรือของสแกนไลน์ครับ




ที่เรือแห่งนี้เป็นท่าเรือสำคัญ เพราะมีเรือสินค้ามาจอดมากมาย และในนั้นรวมถึงเรือเฟอร์รี่ของสแกนไลน์ เพื่อบรรทุกคน รถ ข้าวของสินค้า ต่างๆ ข้ามไปมาระหว่างเฮลซิงบอย และเฮลซิงเยอร์ด้วย





ผมขึ้นไปบนเรือไปอยู่ด้านบน ข้างหน้าเรือประหนึ่งหัวเรือไททานิค
"Every night in my dream I see you I feel you...." แจ็คกะโรสชัดๆ อิอิ




ว่าแต่วันนี้อากาศมันหนาว แถมดันอุตริขึ้นมายืนโต้ลมหนาวอีก โอ้ยจะบ้าตาย



เรือแล่นประมาณ 20 นาทีก็มาถึงฝั่งเดนมาร์ก แล้วผมก็เห็นปลายทางของผมแล้ว ปราสาทหลังใหญ่ริมทะเล ปราสาทโครนบอย






ว่าแต่เห็นจากเรือเนี่ยะ เดินอานเลยนะเนี่ยะ

From Helsingborg to Helsingør 2: At Helsingborg & Kärnan

นั่งรถไฟมาประมาณ 25 นาที ผมก็เดินทางมาถึงเฮลซิงบอย เมื่อออกมาด้านอกของอาคารซึ่งใต้ดินเป็นสถานีรถไฟ และด้านบนเป็นท่าเทียบเรือเฟอร์รี่




สิ่งแรกที่เห็นก็คงเป็นทะเล และอาคาร Helsingborg City Hall ที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า





มาถึงแล้ว ตอนนี้ก็ต้องมานั่งวางแผนว่าครึ่งเช้าที่อยู่ที่เฮลซิงบอยเนี่ยะจะไปไหน ก็ได้มาสองสามที่ คือ ป้อม Kärnan โบสถ์ St Maria และเดินเล่นในเมือง



ป้อม Kärnan เป็นป้อมที่ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งของเฮลซิงบอย ที่ป้อมนี้ด้านบนสามารถมองไปเห็นฝั่งเดนมาร์กอย่างชัดเจน เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของสวีเดน The Kärnan Tower is situated on the heights above the main square (Stortorget). The tower is the remains of the castle which was situated in Helsingborg from the early Middle Ages until 1676 when most of the castle, with the exception of tower, was pulled down. Today the tower is open for visitors, and the reward for walking the stairs all the way up to the top is a splendid view of the City and the sound! On your way up the stairs you can learn more about the city and its defences.)



จากนั้นก็เดินต่อไปที่โบสถ์ St Maria












และเดินเล่นตามร้านรวงในเมืองเฮลซิงบอย ก่อนที่จะเดินทางไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ เพื่อข้ามไปยังฝั่งเฮลซิงเยอะ เพื่อไปยังปราสาทโครนบอย (Kronborg) หรือปราสาทเฮมเล็ต (Hamlet Castle)

From Helsingborg to Helsingør 1: At Lund

เช้าวันนี้เป็นวันที่ผมจะเดินทางไปเที่ยวเมือง helsingborg and helsingør เฮลซิงบอยเป็นเมืองที่อยู่ในฝั่งประเทศสวีเดน ส่วนเฮลซิงเยอะ อยู่ในประเทศเดนมาร์ก น่ะครับ อยู่คนละฝั่งทะเลกัน การเดินทางก็คงต้องนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามจากเฮลซิงบอยไปเฮลซิงเยอะ นั่นเองครับ



เช้านี้ตื่นขึ้นมาแต่เช้า กะว่าจะออกแต่เช้าไง เตรียมตัวเสร็จออกจากหอ พอเปิดประตูออกไปเท่านั้นแหละ แทบอยากจะล้มแผนเลยอ่ะ เพราะอากาศหนาวมาก อุณหภูมิยอกหญ้าเช้านี้ไม่ต่ำกว่าลบห้าองศา



เดินยังไม่ถึงป้ายรถเมล์เลย น้ำไหลออกจมูกซะแล้ว



เช้านี้ท้องฟ้าที่ลุนด์สีสวยทีเดียว ผมเลยต้องชักภาพมาเก็บไว้ซะหน่อย






แต่จากที่ดูพยากรณ์อากาศเขาว่าวันนี้ที่เฮลซิงบอยอากาศดี ก็เอาน่าคิดว่าน่าจะเป็นตามนั้น กลับเหมือนกันถ้าฟ้าปิดขึ้นมา ถ่ายรูปไปคงไม่สวย



จากนั้นก็เดินไปนั่งรอรถไฟ Öresundtåg เพื่อนั่งไปลงที่ Helsingborg Central Station ก็ใช้เวลาประมาณ 20-25 นาที เท่านั้นเอง

From Helsingborg to Helsingør 0: Preparation

อย่างที่บอกว่าตอนนี้ผมต้องวางแผนการเที่ยวที่เฮลซิงบอย กับเฮลซิงเยอร์ซะหน่อย ก็เลยมีหลายอย่างต้องคำนึ่งถึง




เรื่องแรกเลยจะเดินทางวันไหนดี

เป็นเรื่องยากมากในการที่จะเลือกวันเดินทางไปทั้งสองเฮล เพราะว่าช่วงนี้อากาศมันเดายากมาก เปลี่ยนตลอด แล้วการเดินทางไปครั้งนึงก็ไม่ใช่แค่บาทสองบาท ดังนั้นเราก็ต้องเอาเรื่องดินฟ้าอากาศมาเป็นตัวแปรด้วย เดี๋ยวไปถึงฟ้าปิด มืดสลัวมัวหมอก ก็จบเห่ซินอกจากนั้นนี่ก็ใกล้เทศกาลคริสต์มาสอีก ก็ต้องมาเช็คอีกว่าที่จะไปน่ะเขาปิดกันหรือเปล่า เดี๋ยวจะเสียเที่ยซะซิ ก็เลยตกลงได้ว่าเอาละ ไปวันที่ 24 ธันวาคมนี่แหละ ที่เที่ยวไม่ปิด แล้วดูจากพยากรณ์อากาศแล้วเป็นแค่วันเดียวที่ฟ้าใส แดดออก



เรื่องต่อมาก็คือพาหนะการเดินทาง

ก็รู้แหละว่าการเดินทางไปน่ะ ต้องไปด้วยรถไฟจากลุนด์ไปเฮลซิงบอยแล้วข้ามเรือไปเฮลซิงเยอร์ แต่ก็ต้องหาอะไรที่คุ้มสุดน่ะ ตอนนี้มันมีตั๋ว Around the Sound ราคา 199 โครน ตั๋วนี้ใช้ได้สองวัน เป็นตั๋วรถไปออกจากลุนด์ไปเฮลซิงบอย ตั๋วข้ามเรือเฟอร์รี่ และตั๋วรถไปจากเฮลซิงเยอร์อ้อมกลับมาข้าม สะพาน Öresund กลับมาที่ลุนด์ แถมยังใช้เป็นส่วนลดราคาค่าเข้าชมปราสาทโครนบอยด้วย ก็โอเค แถมที่สำคัญมันใช้ได้สองวัน เพียงแต่ข้ามเฟอร์รี่ได้ครั้งเดียว และข้ามสะพานเออเรซุน ได้ครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นไหนๆ ก็ ไหนๆ วันที่ 23 ผมต้องไปมาลเมออยู่แล้วก็สามารถเอาบัตรนี้ไปใช้ได้ เท่ากับใช้ไปมาลเมอฟรีอีกครั้ง ก็เลยตกลงเอาอันนี้แหละครับ



เรื่องสุดท้าย อาหารการกิน

ด้วยการเดินทางนี้เป็นแบบทริบไปเช้าเย็นกลับ ก็เลยไม่อยากเาียเวลาหาของกินอีก ก็ต้องเตรียมตัวทุ่นเวลาทีสุดเท่าที่จะทำได้ ในที่สุดก็เลยตกลงใจทำข้าวกล่องไปกินไง ข้าวราดผัดกระเพรา โอ้ยยยยยย ขนาดนั่งพิมพ์เนี่ยะยังน้ำลายไหล หิวอีกแระ



เอาหละครบถ้วนแล้ว การเดินทางเริ่มต้นได้แล้วววววววววว

OST

อย่างที่เคยบอกว่ามาอยู่สวีเดนเยี่ยะ หาร้านขนมปังอร่อยๆ ยากมาก


ร้านนึงเคยบอกไปแล้วคือร้านมอร์มอร์เบเกอรี่




วันนี้จะมาบอกอีกร้านนึง ชื่อร้าน โอส (OST) ซึ่งเป็นภาษาสวีดิช แปลว่าเนย Cheese ร้านนี้ขายขนมปังอบจำพวกบาเก็ต แล้วก็โน่นนี่หลายอย่าง








แต่ที่สำคัญที่เอามาเขียนเล่ากันก็เพราะว่า มันอร่อยมั่กๆๆ ถ้าใครผ่านมาอย่างลืมไปกินนะ




เดี๋ยวพลาดแล้วจาเสียจายยยยยย

IKEA

วันนี้เป็นครั้งที่สองที่มาอยู่ที่ประเทศสวีเดนที่จะเดินทางไปอิเกีย หรือ อีเก้อ๋า IKEA ของที่ประเทศนี้ เพื่อไปช็อบซะเล็กน้อย




แต่ที่ต่างจากครั้งแรกคือ คร้งแรกทางร้านจัดรถมาบริการให้แต่ครั้งนี้เราต้องเดินทางไปด้วยตนเองนะสิ




ว่าแล้วก็ออกแต่เช้าจับรถไฟไปมาลเมอะ อีกแล้ว จากนั้นต่อรถบัสสาย 3 ไปลงที่ Värnhem แล้วต่อสาย 6 ไป IKEA




ไอ้การนั่งรถอ่ะไม่ยากหรอก แต่ที่ลำบากก็คือวันนี้ลมแรงมาก เดินไปมาหน้าตึงเลย แถมเดินเป๋ตัวปลิวเอาง่าย กลับมาดูพยากรณ์อากาศ โอ้วแม่เจ้า ความเร็วลม 72 km/hr พายุนะนั่น



ตายๆๆๆ หนาวก็หนาว แถมลมแรงซะขนาดนั้น

Interview in Malmö

วันที่ 21 ธันวาคม 2551



วันนี้นอกจากจะไปสัมภาษณ์ซะสองเทปที่วัดสังฆบารมี Eslöv แล้วตอเย็นยังต้องถ่อสังขารไปสัมภาษณ์ต่ออีกสองเทปที่ Malmö อีก



ไอ้ที่จะเล่าเนี่ยะก็คือ



งานนี้ต้องไปสัมภาษณ์เจ้าของร้านอาหารกับแอดมินเว็บบ้านไทย ที่ Malmö งานนี้กว่าจะไปถึงก็มีอุปสรรคมากมาย เพราะตอนแรกตีตั๋วรถไฟจาก Eslöv กลับมาลุนด์แล้ว กะว่าจะลักไก่นั่งเลยลุนด์ไปป้ายนึงเพื่อลงที่ Malmö เลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงิน (กะว่าหน้าด้านเลยอ่ะ) แต่หลังจากคำนวณไปมาถ้าโดนจับได้มันจะไม่คุ้มเพราะอาจสิ้นเนื้อประดาตัวได้ เลยไม่เอาดีกว่า ยอมเสียเวลาเป็ยคนดีศรีประจันต์



งานนี้เลยต้องลงที่ลุนด์กลับมาที่ห้องเพื่อล้างหน้าล้างตาสักนิด ออกไปใหม่จากหออีกครั้ง




วันนี้มันเป็นวันแ่ห่งการคลาด หรือพลาดตลอด เริ่มจากพอเดินเกือบถึงป้านรถเมล์รถก็แล่นผ่านหน้า ไปถึงสถานีรถไฟ รถไฟก็ออกตัวผ่านหน้าไป พลาดตลอด กะว่าจะไปให้ถึงที่มาลเมอะตอนสักสามโมงเย็น สรุปสี่โมงแล้วยังนั่งรถไฟหวานเย็นอยู่เลย



ไปถึงมาลเมอะ มืดอีกแล้ว ฝนก็ตก ดีนะโทรบอกเพื่อนที่จะมาให้สัมภาษณ์มารับที่สถานีรถไฟ เลยสะดวกหน่อย



การสัมภาษณ์วันนี้ก็สัมภาษษ์เพื่อที่เป็นแอดมินเว็บบ้านไทย กับเจ้าของร้านอาหาร เลยควบไปที่สถานที่เดียวเลยคือร้านอาหารกรพงษ์ที่มาลเมอะ




ปัญหาก็คือวันนี้อ่ะมันมืดแล้ว พอถึงร้าน ร้านก็เป็นไฟสลัวๆ อีก กะว่าชวดแล้ว เพราะลองถ่ายออกมาหน้าตาดำเหมือนกันหมดทั้งพิธีกรและผู้ให้สัมภาษณ์



เลยเปรยๆ กับเจ้าของร้านไป ที่ไหนได้ พี่แกบอกเดี๋ยวจัดการให้ ว่าแล้วแกเอาสปอร์ตไลท์ พร้อมรีเฟล็กซ์ชุดใหญ่มาจัดตั้งสาดแสงให้ซะประหนึ่งกลางวัน สร้างความงุนงงอย่างเต็มที่ว่า พี่เอาไว้ทำไรอ่ะ ชุดนี้ ทำไมถึงมีอ่ะ ร้านก็ไม่ใช่สตูดิโอถ่ายรูปซะหน่อย



เจ้าของร้านตอบให้คลายสงสัยว่า "อ๋อ ซื้อมาไว้ถ่ายรูปเล่นน่ะ"




ตายๆๆๆๆๆๆ รวยนะจ๊ะ

Interview in Eslöv

วันที่ 21 ธันวาคม 2551


วันนี้สบโอกาสดีได้เดินทางไปที่วัดสังฆบารมี ในเมือง Eslöv


เพื่อไปร่วมถวายเพล และสัมภาษณ์ผู้คนที่วัด เพื่อออกรายการคนไทยในต่างแดน จำนวนสองเทป





เทปแรกสัมภาษณ์คุณป้าพรพิมล ผู้ที่ทำอาชีพล่ามภาษาสวีเดน ในกรณีที่คนไทยในสวีเดนเข้าติดต่อหนวยงานราชการต่างๆ เราสามารถที่จะขอล่ามได้เสมอ ถือเป็นสวัสดิการที่รัฐบาลจัดให้ ซึ่งป้าพรพิมลก็ทำหน้าที่ล่ามที่สวีเดนมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ได้ช่วยเหลือคนไทยไปหลายคน แต่ไม่มีรูปป้าเขาตรงๆ มีด้านข้างน่ะครับ คุณป้าที่ใส่เสื้อชมพูทับด้วยเสื้อกั๊กนั่นแหละครับ



อีกเทปนึงได้มีโอกาสสัมภาษณ์สะใภ้ชาวไทยที่มาใช้ชีวิตคู่กับสามีที่ประเทศสวีเดนนี้ ว่ามีประสบการณ์ความลำบากอย่างไร



กว่าจะเสร็จการล่อเข้าไปบ่ายสองเห้นจะได้ เลยจับรถไปกลับมาที่ลุนด์ เจอน้องๆ เด็กแลกเปลี่ยนจากธรรมศาสตร์ ที่มีประสบการณ์ภัยในต่างแดนก็เลยไปสัมภาษณ์อีกเทปนึง



แต่ไม่จบเท่านั้น ตกเย็นยังถ่อสังขารไป Malmö เพื่อสัมภาษณ์สาวเจ้ย Admin ของ web baan thai http://www.thailandska.se กับคุณเจเจ้าของร้านอาหารกรพงษ์ ที่ Malmö กว่าจะเสร็จเกือบสามทุ่ม เล่นเอาเหนื่อย ขาเปลี้ยเลยอ่ะ



แต่ก็นะวันเดียวห้าเทป เอาซะคุ้มเลย



ตกลงมาเที่ยวหรือมาทำงานวะเนี่ยะ เริ่มงง

The first guest in Sweden

ข่าวล่าสุด โล่งหน่อยว่าอย่างน้อยจะมีผู้มาเยือนผมแล้วช่วงคริตสมาสนี้ หุหุหุ ดีๆๆ ได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว มีเพื่อนไปเที่ยวหน่อยก็ยังดี



ไม่ใช่ใครหรอก ไอ้บิ๊กนั่นเอง ตอนนี้ก็เลยกำลังสั่งให้ที่บ้านส่งของมาให้เป็นการใหญ่ กะเอาว่ามาคราวนี้ คงเอาครบคอลเล็คชั่นที่เหลือในเมืองไทยเสียที เพราะขนมาหลายครั้งยังเอามาไม่หมดเสียที





ช่วงนี้ก็เลยมีงานต้องทำเพิ่มอีกนิดหน่อยก็คือการจัดห้องเอาหน้าสักนิดว่าให้ดูประหนึ่งเป็นคนเรียบร้อย จัดข้าวของเป็นที่เป็นทาง และอีหงานก็คือการวางแผนเที่ยวตลอดอาทิตย์นึงที่ต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านและไกด์ที่ดี



เอาเป็นว่าไปเที่ยวที่ไหนอย่างไรเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังแล้วกันเน้อออออ

Lördag torget

แหม ไม่มีเรียนทั้งทีกะว่าจะเดินช็อปปิ้งตลาดขายของมือสองวันเสาร์ให้เปรมอุราเสียหน่อย



ตื่นแต่เช้าจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้ว ก็ว่าแหมวันนี้คงได้ของตรึม เดินออกไปอย่างมุ่งมั่น



ไปถึงตลาดที่ไหนได้ ไม่มีของขายเลย ตลาดขายของมือสองแปรสภาพกลายเป็นตลาดขายต้นคริตส์มาสไปซะงั้น ตันเล็ก ต้นใหญ่ เตี้ย สูง มีทุกไซด์ ทุกขนาด เห็นแล้วเซร็งจิต อุตส่าห์ตื่นมา เดินฝ่าลมหนาวมา



ไม่มีไรจะบอก นอกจากเซ็ง!!

Wednesday 17 December 2008

En brev från Sverige

วันนี้อารมณ์ประมาณว่าอยากเขียนจดหมายถึงเพื่อนๆ น่ะครับ


Hej! min vänner (เฮย! หมิ่น แหว่นเน๊อะ = สวัสดีครับเพื่อนๆ)


อุตริทักทายทุกคนเป็นภาษาสวีดิชนิดหน่อย เพื่อเป็นการบอกว่ามาอยู่ที่นี่ 4 เดือนเนี่ยะ ได้อะไรมาบ้างเหมือนกันนะ เดี๋ยวจะหาว่ามาอยู่ไปวันๆ



เขียนเมลมาตอนนี้ก็คงรู้แหละว่าเขียนมาทำไม (ใกล้เทศกาลซะขนาดนี้)



God jul och gott nytt år (Merry Christmas and Happy New Year!!) นะครับทุกคน ขอให้มั่งมีศรีสุข เงินทองไหลมาเทมาเป็นเทน้ำเทท่า



จะว่าไปข้าพเจ้าอยู่ทางนี้สบายดีนะ จะมีปัญหาอยู่บ้างก็ไม่พ้นเรื่องอากาศที่เปลี่ยนสลับไปมาประดุจไฟฟ้ากระแส สลับ วันนี้ 5 องศา วันต่อมา -2 แล้วมา 0 ลงไป -5 กลับมา 4 ลงอีกทีไป -7 เล่นเอางง???? แต่ตอนนี้โอเคแล้วประมาณ -3 ถึง 1 องศา ทุกวัน แต่ลืมบอกไปว่าอากาศที่นี่วัดได้กี่องศาต้องลดลงไปอีก 5-6 องศา แล้วแต่แรงลม ที่นี่เขาพยากรณ์แบบว่า 1 C, feel like -5 ดังนั้นเอาจริงๆ ก็ติดลบทุกวันแหละ




แถมอีกนิดสดๆ ร้อนๆ อยู่ๆ เมื่อเช้าแผ่นดินไหวซะงั้น ตกใจหมด คิดอยู่ว่าต้องมุดใต้เตียงหรือเปล่า แต่แบบว่าเตียงมันเตี้ย คงมุดไม่เข้า +555 กะว่าถ้าไม่หยุด หรือมี after shock มาก็จะวิ่งออกไปนอกตึกแล้ว ติดที่ว่ามันยังมืดอยู่เลย แล้วไม่เคยด้วย (คนมันไม่เคยอ่ะ ทำไงได้) เดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นน้องกระต่าย (Rabbit wake up TOOM) แต่ก็ยังดีที่มันไม่มีอาฟเตอร์ช็อคมาต่อท้ายอีก เลยโล่งไป



กลับเข้าเรื่องดีกว่า ไม่ได้ข่าวทุกคนเลยว่าเป็นไงกันบ้าง แต่คาดว่าคงสบายกันดีตามอัตภาพนะครับ ส่วนผมก็ไม่อยากบอกเลยว่าเป็นหวัดมาตอนนี้เข้าวันที่ 17 แล้วยังไม่หาย สงสัยไม่ถูกโฉลกกับเชื้อ Swedish Flu กินแต่ยาจากเมืองไทยเลยไม่หาย สงสัยว่าเชื้อมันจะทนทานด้านหนากว่าเชือไทย กินยาเท่าไหร่ก็ยังดื้อ จะร้ายแรงกว่า Bird flu เมืองไทย หรือเปล่าก็ไม่รู้



เดี๋ยวต้องรีบนอน เพราะได้หายเร็วๆ นับจากวันนี้พอดีว่าเป็น Christmas Break ดังนั้นผมจะได้หาโอกาสเที่ยวซะหน่อย หยุดตั้งเดือนนึง คิดไปคิดมาประหนึ่งเป็น Harry Potter เลย เพราะไม่ได้กลับบ้านแต่ต้องอยู่ฮ็อกวอร์ด คือลุนด์ ซึ่งคงจะประหนึ่งเมืองร้างทีเดียว




เฮ้อ แล้วว่างๆ จะมาเขียนเรื่องราวใน Blog แทนแล้วกัน




ไปละนะครับทุกคน




Hej då

Tuesday 16 December 2008

Christmas break

ตอนนี้ทางคณะก็ไม่มีการเรียนการสอนแล้ว สรุปแล้วก็หยุดตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2551 ไปเปิดเรียนอีกทีก็วันที่ 12 มกราคม 2552 แน่ะ



ฤดูกาลแห่งความเงียบเหงาเริ่มเข้ามาเยือนแล้ว



เกือบเดือนของการใช้ชีวิตไปวันๆ ที่ลุนด์นี้มันจะเป็นอย่างไรหนอ นี่ผ่านมาสองสามวัน ก็เริ่มเบื่อแล้ว ไม่มีอะไรทำเลย เอาแต่เดินห้างประหนึ่งไปช่วยเขาเปิดร้านเลยว่างั้น ไปมันทุกวันแต่ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยพับผ่าซิ



แต่ก็เอาละนะ ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะฉลองคริสต์มาสที่ต่างแดน ใกล้บ้านของซานตาครอส



ว่าแล้วเดี๋ยวต้องหาถุงเท้าไปแขวนซะหน่อย



หุหุหุหุ เมอร์รี่ คริตสมาส

Earthquake = Jordbävning

ตื่นเต้น ตกใจ งงอย่างแรง


เช้าวันนี้เป็นการเรียนวันสุดท้ายก่อนที่จะปิดช่วงคริตสมาสเบรค เป็นเวลาเกือบเดือนนึง



เมื่อคืนก็ไหนต้องอ่านหนังสือ ไหนจะต้องทำโน่นนี้อีก กว่าจะนอนได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว



เช้าวันนี้ วันที่ 16 ธันวาคม 2551 ก็ตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้า เพราะเหตุว่าต้องตื่นขึ้นมาอ่านไหนังสือ ราวๆ 6 โมง 20 นาที เห็นจะได้ ก็ตกใจว่า เอ๊ะทำไมเตียงมันสั่น!!!!!



เกิดไรขึ้น ตกใจ มองมาที่โต๊ะ อ้าวสั่นกันใหญ่เลย ตายแล้วแผ่นดินไหว !!!! ทำไงอ่ะ



คิดได้ว่าต้องมุดใต้โต๊ะใต้เตียง อ้าว ทำไงดี ตัดสินใจไม่ได้ แอบตกใจด้วย เพราะไม่เคยเจอ เพราะว่ามันสั่นประหนึ่งว่ากลิ้งตกเตียง โน้ตบุคบนโต๊ะ ก็โยกใหญ่เลย ทำไงดี สักพักก็หยุด ตกลงเช้านี้สงสัยพระแม่ธรณีเป็นใจ ลงทุนปลุกผมเองเลย


ได้อ่านข่าวเช้านี้ปรากฏว่า แผ่นดินไหวทางตอนใต้ของสวีเดน หรือบริเวณที่เรียกว่า สกอเน่ เนี่ยะ แรงประมาณ 4.7 ริกเตอร์ แถมบริเวณนี้เคยเกิดแผ่นดินไหวล่าสุดเมื่อปี 1904 ผ่านมากว่า105 ปี มันก็มาอีกครั้ง



เฮอ!!! มาที่นี่ ได้ทุกอารมณ์เลย

Saturday 13 December 2008

Digitalkameror

หลังจากไปส่องกล้องมาหลายครา กล้องที่ว่าคือกล้องถ่ายรูปดิจิตอลน่ะครับ และแล้ววันนี้ก็ประสบโอกาสได้ออกไปถอยมาเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนสวีเดนแล้ว



วันนี้ก็ไปเลยดุ่มๆ ไปถอยกล้องใหม่ป้ายแดงจาก Siba ที่ NOVA LUND เป็นกล้อง CANON 450D หลังจากได้คิดสะระตะแล้วว่าราคาไม่ได้แตกต่างกับราคาในประเทศไทยเลย แถมที่นี่เผื่อมีปัญหาอะไร คงเอาเข้าโรงซ่อมได้ง่าย (ว่าแต่อิ๊บไว้แล้ว ว่าอย่านะ!!!!!!!)



เอาเป็นว่า Positive thinking แล้วกันว่าเอาเงินทุนที่เราเก็บหอมรอมริบนี่แหละมาซื้อ จบไปได้กล้อง
ติดมือกลับไทยสักตัว คงจะดีไม่หยอก


เคเจ

Tuesday 9 December 2008

Study hard period

ช่วงสองสัปดาห์นี้ การเรียนอยู่ในช่วงหฤหรรษ์ เพราะว่าช่วงคริตสมาสเบรคนั่นเอง ที่คณะนิติศาสตร์หยุดตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม เปิดเรียนอีกที ก็วันที่ 11 มกราคม ปีหน้าเลยว่างั้น



ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ตารางเรียนสองสัปดาห์นี้มันจะแน่นซะขนาดนี้ เรียนมันทุกวัน บางวันเรียนมันทั้งเช้าบ่าย



แถมช่วงนี้ร่างกายไม่แข็งเรง ป่วยอีก เลยไปกันใหญ่เลย



เอาน่าอีกไม่กี่วันเอง

My first grade in Sweden

และแล้วเวลาที่เกรดวิชาแรกออกก็มาถึงแล้ว คือวิชา International Law ผมได้ BA คงสงสัยกันว่าเอ๊ะแล้วมันหมายความว่าอย่างไรกัน



เกรดที่ประเทศสวีเดนเนี่ยะจะแตกต่างจากประเทศอื่นๆ และในลุนด์เองก็จะแตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในสวีเดน และในคณะนิติศาสตร์เองก็จะแตกต่างไปจากคณะอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยเดียวกันอีก งงมั๊ย



เกรดที่นี่มีอยู่ 4 เกรด AB=Pass with dictinction BA=Pass with credit B=Pass U=Fail แต่เราอาจจะขอให้ทางคณะเทียบเกรดเราไปเขาระบบ A B C D F ก็ได้ เพียงแค่ทำคำร้องเข้าไปเท่านั้น ไม่ยุ่งยาก



แต่ถามว่าแล้วผมจะทำไม๊ ตอบทันทีเลยว่าไม่แน่นอน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเมื่อเทียบเกรดแล้ว AB=A BA=C B=D U=F เท่ากับว่าเกรดที่ประเทศสวีเดนนี้ไม่มีเกรด B ฉนั้นถ้าเทียบเกรด เกรดผมก็จะถูกลดลงอย่างน่าตกใจทีเดียว



ดังนั้นตัดสินใจแล้ว ไม่เอา ไม่เทียบเด็ดขาด

Illness

และแล้วสโนว์ก็ทำพิษจริงๆ ด้วย



เห็นผมหายไปนาน ไม่อยากบอกเล้ยว่าเปื่อยๆๆๆ ครับท่าน



อาการ เริ่มส่อเค้าตั้งแต่วันอาทิตย์ก่อนโน้นตอนปลายเดือน แล้วแสดงอาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากเจ็บคอ น้ำมูกไหล ปวดหัว ตัวร้อน นอนเยอะ (เอ้ย ไม่เกี่ยว อันนี้เป็นบ่อย แม้ว่าไม่ป่วย)


จากวัน ที่ 1 ธันวาคม เรื่อยมา ไม่มีวี่แวกจะลด เริ่มเจ็บคอจนปวด ดื่มน้ำร้อนแล้วร้อนเล่าไปซะหลายลิตร กว่าจะทุเลา พอคอทุเลา ไข้ขึ้นซะงั้น พอไข้ลดกลับปวดหัว พอหายปวด เสียงหาย สองวันที่ผ่านมา ไม่มีเสียงพูดเลย


อย่า สงสัยว่ากินยาหรือเปล่า ขอตอบว่าที่ขนาดกินกันเป็นกำๆ ประหนึ่งยาชุดหมอตี๋แล้ว ทั้งแห้ไข้ แก้หวัด ลดน้ำมูก แก้อักเสบ รวมไปถึงยาเม็ดฟ้าทลายโจร แถมยังดื่มน้ำหล่อฮั้งก้วยอีก ครบเซ็ตทีเดียว


จนวันนี้จะก้าวเข้าวันรัฐธรรมนูญแล้ว สะระตะรวมได้สิบวันแล้ว อาการเริ่มทุเลา แต่ยังไม่หายขาด


สรุปแล้วอยู่มาเกือบสี่เดือน ไม่ป่วย พอป่วยที่เดียวเล่นเอาคุ้มเลย



ง่อยรับประทานซะหลายวันเลยครับท่าน


เคเจ

Wednesday 3 December 2008

หย่อมหญ้ายามฝนตก

อ่านหัวข้ออย่างนี้แล้วบางทีทำให้งง และชวนให้สงสัยว่าทำไมเหรอ หย่อมหญ้ายามฝนตก



พอดีว่าวันนี้ฝนตกน่ะ เดินไปมาก็ต้องระมัดระวังเต็มที่ จิกเท้าตลอดเพื่อไม่ให้มันลื่น เดี๋ยวหน้าจะไปวัดถนนซะ




ก็เลยพาลนึกถึงความทรงจำครั้งในวัยเด็ก




ตอนชั้นประถมศึกษาโรงเรียนผมน่ะมันเป็นพื้นดิน ดังนั้นวันไหนฝนตกเนี่ยะไม่ต้องพูดถึง มันกลายเป็นขี้เลนเลยทีเดียว ดังนั้นเวลาเดิน สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายๆ ก็คือการลื่น ก้นจ้ำเบ้า หลายหลังไง ผมประสบเหตุบ่อยมาก



บางเช้าชุดนักเรียนขาวสะอาดมา เจอมั้วนเดียวเละทั้งตัว



แต่เชื่อไหมว่าการเดินจนชำนาญไม่ให้ลื่นก็คือ พยายามมองหาหย่อมหญ่าตามทางนั่นแหละ แล้วก้าวไปตามหย่อมหญ้าพวกนั้น รับรองไม่มีลื่น



ทฤษฎีนี้พิสูจน์แล้วด้วยตนเอง

Jul Collection

ช่วงนี้ใกล้เทศกาลคริสต์มาส ดังนั้นผลิตภัณฑ์ทั้งหลายก็ผลิตคอลเล็คชั่น ฉลองคริสต์มาสกันใหญ่


ไม่เว้นแม้แต่กระดาษทิชชู

Hats

ถ้าอยู่ที่ประเทศไทย ผมมองว่าหมวกมันคือแฟชั่น ใส่เวลาเดินทางไปเที่ยว โดยเฉพาะเวลาไปเที่ยวทะเล



หรือไม่ก็ใส่ได้เวลาที่แดดจัดๆ แต่เอาเป็นว่าอยู่เมืองไทย สำหรับผทซึ่งไม่ค่อยกลับแสงแดด หมวกแทบจะหมดความสำคัญไปเลย นอกเสียจากแฟชั่น



แต่มาอยู่ที่สวีเดน หมวกมีความสำคัญกับผมมาก โดยเฉพาะหมวกไหมพรม วันไหนที่ศีรษะเราปราศจากหมวกกลับมาถึงห้องไข้แทบจับเลยทีเดียว


ส่วนหนึ่งคือ สงสัยกระหม่อนจะบาง อิอิ ไม่ใช่หรอกก็คงเพราะอากาศเย็น แถมมีลม เจอลมโกรกทีนึงก็หนาวหัวแล้ว ลองลุยฝ่าลมสักพักปวดหัวเอาดื้อๆ


ว่าแล้วผมก็เลยต้องช็อปหมวกมาเสียหลายใบ



สรุปข้ออ้างซื้อของแหงๆๆ

New coat

ช่วงนี้เป็นเทศกาลลดราคาสินค้า ปิดซีซั่นออธั่ม หรือฤดูใบไม่ร่วง ผมก็ไม่พลาดไปเดินสำรวจอย่างแน่นอน


จำได้ว่าตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เสื้อหนาวไม่พอ เลยตัดใจไปซื้อเสื้อโค้ทที่นี่สักตัว ไปสอยมาแล้วของ H&M (haw och em) ราคาสุดแพงตก 998 โครน ตอนนั้นโคนรนึงตก 5.3 บาท ก็ประมาณ 5,300 บาทน่ะ


แต่ซื้อมาได้สักอาทิตย์เริ่มเสียดายเงิน เลยเอาไปคืน



อดใจจนมาถึงตอนนี้ เสื้อโค้ทเหล่านั้นได้ถูกลดราคา 50% เป็นที่เรียนร้อย ดังนั้น ข่อเย๊ ไม่พลาดรีบไปสอยมาเลย อิอิ เสียเงินไป 499 โครน แถมตอนนี้เงินตกเหลือโครนละ 4.3 บาท ก็ประมาณ 2,150 บาท


สบายใจ เชิ้บๆๆๆ

Demonstration in Lund (30 Nov 08)

อยู่ที่นี่มาสามเดือนกว่าๆ ก็เพิ่งเห็นการประท้วงที่นี่น่ะ เพื่อนๆ ที่ถ่านรูปไว้ส่งมาให้ดู เป็นเป็นการประทั้งกันระหว่างกลุ่ม Neo-nazi กับกลุ่ม Anti-racism











ก็วุ่นกันพอควร มีการระดมทั้งตำรวจม้า ตำรวจรถมาระงับความขัดแย้งกัน ศิวิไลซ์ดี







Alone under the snow

วันนี้หิมะตกทั้งวัน แถมมีเรียนอีกต่างหาก


เรียนเสร็จก็ด้วยความประหยัด ผมก็เดินกางร่มฝ่าพายุหิมะกลับบ้าน กะเอาเป็นประหนึ่งเดินกลางสายฝนไง แต่สายหิมะมันไม่เหมือนสายฝนนะสิ


กลับมาเนี่ยะมือเย็นจนแข็ง แต่ที่แน่ๆ สงสัยไข้กลับมาแน่คืนนี้


ไม่น่าหาเวรเลย

Tuesday 2 December 2008

Useful Links

Organs' links



Courts' links



Journals' links