Friday 19 February 2010

Agkung in my memory

หนึ่งเดือนในเมืองไทย นอกจากเรื่องที่สร้างความสุขกายและใจให้ผมแล้ว คงไม่อาจปฏิเสธความจริงประการหนึ่งได้ก็คือ ความสุขนั้นก็ย่อมคู่กับความทุกข์เสมอ

แต่ตามหลักพุทธศาสนาสอนว่า คนเรานั้นควรสุขให้ง่าย และทุกข์ให้ยาก เพราะที่จริงแล้วความทุกข์นั้น เราเพียงแต่เพื่อรู้ว่ามันมีอยู่ก็พอแล้ว แต่คนเราคงต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอยู่บ้างเพื่อให้ไปได้ถึงจุดนั้น

ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาสำหรับผม เอาเป็นว่าคงไม่ใช่สุขกับทุกข์ แต่เป็นสุขกับไม่สุขท่าจะดีกว่า

เรื่องความไม่สุขที่เกิดขึ้นกับผมในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ เป็นเรื่องราวที่ผมอยากนำมาเขียนที่นี่มากที่สุด แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำในชณะที่อยู่ในประเทศไทย วันนี้สบโอกาสดีเลยอยากนำเรื่องราวเรื่องนี้มาบันทึกลงที่นี่ เพื่อจดจำช่วงเวลาที่มีความสุขช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของผมไว้ที่แห่งนี้

ผมเคยบอกไว้แล้วเช่นกัน ว่าผมนั้นไม่ค่อยชอบการจากลา แต่คนเราไม่สามารถหลีกหนีสิ่งนี้ไปได้หรอกครับ เมื่อเดือนมกราคมผมได้สูญเสีย เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของผมไปอย่างไม่มีวันกลับครับ ผมจึงอยากบันทึกเรื่องราวของเพื่อนคนนี้ไว้ครับ เพื่อระลึกถึง"อั๊ก" เพื่อของผม

หากจะย้อนเวลากลับไป ผมคงต้องย้อนกลับไปราวๆ กลางปี 2547 ที่ผมได้มีโอกาสได้รู้จักเพื่อนคนนี้ เพื่อนที่เข้ามาช่วยสร้างชีวิตชีวา และสีสันให้กับชีวิตของผมได้เกือบ 5 ปี

ผมพบกับอั๊กครั้งแรกที่ Fitness first ครับ เราไปออกกำลังกายกันที่นั่น และวันนั้น เป็นวันที่พวกเราต้องไปเล่นโบว์ลิ่งการกุศลในนามของ Fitness First ตลอดเวลาที่เราไปโยนโบว์ลิ่งกัน ไอ้อั๊กไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนั่งจิบเบียร์ไปพลาง คุยเล่นไปพลาง




หลังจากนั้นกิจวัตรประจำวันขอองพวกเราก็คือการออกกำลังกายด้วยกันทุกเย็น อย่างต่อเนื่อง จนค่ำ มือ แล้วก็กินข้าวเย็น และในช่วงสุดสัปดาห์มักจะจบกันที่การฟังเพลง ร้องเพลงตามประสา จนกระทั่งผมต้องมาเตตรีมตัวเพื่อมาศึกษาต่อ เราจึงค่อยๆ ลด ละ เลิกกิจกรรมทั้งหลายเหล่านั้นไป แต่เราก็ยังคงติดต่อพูดคุยกันบ้างตามโอกาส และมีความปรารถนาดีให้แก่กันเรื่อยมา

อั๊กในความทรงจำของผม เขาเป็นคนที่ยิ้มแย้ม เป็นกันเองเสมอๆ ผมมักจะพบอั๊กพร้อมกับใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าจริงแล้ว ภายในจะมีความทุกข์มากเพียงใด

ผมกับอั๊กเราให้คำปรึกษาซึ่งกันและกันในทุกๆ เรื่อง หลายครั้งที่อั๊กมีปัญหา ผมก็รับฟังและให้กำลังใจ และในอีกหลายครั้งที่ผมไม่สบายใจ และมีเพียงแค่อั๊กเท่านั้นสังเกตออกและพูดจาให้กำลังใจผม ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นผมจดจำได้ดีเสมอมา และยังนึกขอบคุณเพื่อนคนนี้ทุกครั้งตลอดมา

ทุกวันเกิดอั๊กผมยังคงโทรศัพท์ไปทักทายเสมอ แม้ว่าผมจะมาอยู่ที่นี่ เมื่อคราปิดเทอมกลับบ้าน ก็ได้คุยโทรศัพท์กันบ้าง ตลอด 5 ปีที่รู้จักกันมีเพียง เมื่อเดือนธันวาคม 2552 เพียงครั้งเดียวที่ผมไม่ได้โทรไปอวยพรวันเกิดเพื่อนรักของผม เพราะเห็นว่าเดือนมากราก็จะได้เจอกันแล้ว เพราะเรานัดกินข้าวกันไว้น่ะ กะว่าครั้งนี้คงจะนัดกันหลายๆ คน เลย เพราะไม่ได้เจอกันนาน ซึ่งก็ได้เคยตกลงกะอั๊กเอาไว้แล้ว

ผมกลับมาเมืองไทยได้สองสามวัน ก็รู้สึกคิดถึงอั๊ก เลยโทรไปกะเซอร์ไพรส์อั๊ก และนัดววันกินข้าวกันสักหน่อ่ย แต่เสียงตอบรับที่ปลายสายกลับเป็นเสียงของผู้หญิง น้าสาวของอั๊กเพื่อนผม ที่ตอบกลับมายังผมว่าอั๊กได้จากไปแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2553 และตอนนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัด ในจังหวัดอุดรธานี บ้านเกิดของอั๊ก

ในตอนนั้น ผมบอกไม่ถูกจริงๆ ว่ารู้สึกอย่างไร แต่เมื่อยอมรับความจริงนี้ได้แล้ว เรื่องราวของอั๊กได้สอนให้ผมรู้และเข้าใจในหลายเรื่อง ซึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้นหากคิดจะทำอะำไร จงอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง จงลงมือทำแต่บัดนี้ เพราะเราไม่มีทางจะรู้เลยว่่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น

กว่าหนึ่งเดือนแล้วที่อั๊กจากไป แต่ความทรงจำดีๆ ของผมกับอั๊ก จะยังคงชัดเจนในความรู้สึกและความทรงจำของผมตลอดไป

หลับให้สบายนะ อั๊ก เพื่อนรัก

No comments: