Saturday 20 February 2010

Responsibility

ระยะเวลากว่าสิบปีที่ผมเลี้ยงดูฮ็อกกี้มา ผมคิดเสมอว่านั่นเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของผมที่จะต้องดูแลหมาตัวนี้อย่างเต็มที่ เต็มความสามารถของผม


มันคือความรับผิดชอบที่ผมสมัครใจที่จะทำ เพราะมันไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยงเหมือนที่คนทั่วไปอาจจะคิดว่า ก็แค่หมาตัวหนึ่ง




หมากับคน คนกับหมา บางครั้งผมอาจที่จะเลือกที่จะอยู่กับหมามากกว่าอยู่กับคน ฮ็อกกี้ไม่เคยทำให้ผมเสียใจ หรือผิดหวังเลย ตรงกันข้ามมันกลับเป็นกำลังใจแรกๆ ที่ส่งมาถึงผม ทุกวันที่ผมกลับถึงบ้าน


ตั้งแต่วันที่ผมรับมันเข้ามาอยู่ร่วมในครอบครัว ผมก็มองว่ามันคือสมาชิกของครอบครัวผม ดังนั้นการสูญเสียมันไปก็เป็นความรู้สึกเหมือนสมาชิกหนึ่งตัวของครอบครัวเราได้จากไปแล้ว


บางครั้งที่แม่ผมเบื่อถึงขั้นบอกว่าให้เอามันไปยกให้คนอื่นไหม ซึ่งก็แน่ว่าคำตอบของผมคือ"ไม่" ผมให้คำตอบกับแม่ผมไปว่า หมาก็เหมือนกับคนแหละ เมื่อเราตัดสินใจที่จะเลี้ยงเขาแล้ว เราก็ต้องเลี้ยงเขา ผมไม่มีวันที่จะเอามันไปยกให้ใครหรอก เราต้องเลี้ยงเขาให้ได้ และให้ได้ดีเท่าที่เราสามารถทำด้วย


บางครั้งเมื่อผมมองตาฮ็อกกี้ ผมรู้ได้ดีว่าฮ็อกกี้เข้าใจผมในทุกๆ เรือง เพียงแค่มันพูดออกมาไม่ได้เท่านั้นเอง แต่สัมผัสที่มันมีให้ผม การเลีย หรือการเอาปากมาดุนมือผมเบาๆ ก็เป็นการให้กำลังใจที่ดีมากแล้วจากฮ็อกกี้


หากมันพูดได้ มันคงถามผมบ้างแหละ ว่าผมหายไปไหน ทำไมไม่มาเจอมันเลย แต่เดือนนึงที่กลับไปผมก็พยายามชดเชยช่วงเวลาที่หายไประหว่างเราเสมอเท่าที่มีโอกาส ผมได้มีโอกาสพามันไปเดินเล่นที่สวนในหมู่บ้าน ได้พามันเดินเล่น พามันวิ่ง ซึ่งมันจะมีความสุขทุกครั้งเพียงแค่เห็นผมหยิบเชือกและโซ่ที่ใช้ล่ามมันเวลาออกไปนอกบ้าน มันคงรู้ว่าเวลาเดินเที่ยวของมันมาถึงแล้ว


ฮ็อกกี้เป็นหมาที่แข็งแรง ภาพที่มันดีใจเวลาเจอผม จะเป็นภาพเดิมๆ คือมันจะเข้ามาด้านหลังและกระโดดเอาขาหน้าทั้งสองข้ามมากอดเอวผมจากด้านหลัง แล้วผมก็ต้องคอยปรามเสมอๆ ว่ารู้แล้วว่าคิดถึง พอแล้วๆๆ หรือการมากัดมือผมย้ำๆๆเล่นไป เพื่อแค่แสดงให้เห็นถึงว่าผมอยู่ตรงนั้นกับมัน ตรงหน้ามันจริงๆ


การกลับบ้านครั้งหน้า คงไม่มีภาพเหล่านี้อีกแล้ว ภาพเหล่านี้คงเหลือเก็บไว้เพียงในความทรงจำของผมเท่านั้น ความทรงจำที่ว่า ครั้งหนึ่ง ผมเคยรักหมาตัวหนึ่งมากเพียงใด และมันรักผมมากเพียงใด.......


และเป็นเหมือนเช่นทุกครั้งที่บทเพลงแค่ได้คิดถึงดังขึ้น ภาพความทรงจำทั้งหลายเหล่านี้จะหมุนเข้ามาให้ผมสัมผัสถึงความผูกพัน และความทรงจำดีๆ ระหว่างเราผุดขึ้นมา


ความรู้สึกของผมตอนนี้มันจุก เหมือนหายใจไม่ค่อยออก มันตื้อไปหมด เหมือนหัวผมไม่ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ เท่าไหร่ เมื่อคืนนั่งรถกลับมาห้องก็ไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่ ความรู้สึกตอนนี้ของผมคือความต้องการที่ไม่อาจเป็นไปได้ คือการได้กอดมันสักครั้ง ลูบหัวมันสักครา และบอกลามันสักคำว่า "ลาก่อน" ก่อนที่ร่างมันจะถูกฝังไป แต่มันคงเป็นไปไม่ได้จริงๆ


การจากลาที่เกิดขึ้นกับผมทุกครั้ง มันต่างไปจากหลายๆ คน เพราะเป็นการจากลาที่ผมเผชิญนั้น ผมไม่เคยมีโอกาสแม้กระทั่งบอกลาสักคำเลย


และบทสรุปของเรื่องนี้ ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เหมือนทุกครั้งตามบทเพลงนี้ที่ว่า


"ขอบฟ้าที่เรานั่งมองคราวนั้นยังมีความหมาย
ต้นไม้ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมาย
ชีวิตที่มันขาดเธอวันนี้ยังเดินต่อไป
แค่ได้คิดเธอก็สุขใจ และคงคิดถึงเธอตลอดไป"


และก็คงต้องอาศัยเวลาอีกสักพักจริงๆ ที่ผมจะคิดถึงมันได้โดยปราศจากน้ำตาที่ไหลออกมาได้


หลับให้สบายนะฮ็อกกี้


หนุ่ย

Friday 19 February 2010

Hockey in my memory


ผมบอกเสมอว่าผมไม่ชอบการจากลา.......แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนอนิจจัง มีพบก็มีพราก มีจากก็มีเจอ


วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งในชีวิตของผมที่ต้องยอมรับความจริงของโลกในเรื่องนี้.......การจากลา.......



เมื่อฮ็อกกี้เข้ามาในชีวิตผม

ฮ็อกกี้เป็นสุนัขพันธุ์เกรทเดนของผม ที่นับถึงปัจจุบันมันเพิ่งมีอายุครบ 10 ปีบริบูรณ์ไปเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง หากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีที่แล้วันแรกที่ฮ็อกกี้เดินเข้ามาในชีวิตของผม วันนั้นผมเดินทางไปที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ พี่ชายผยผมโทรศัพท์มาบอกว่าตอนนี้ได้ลูกหมาพันธุ์เกรทเดนมาตัวนึง เป็นพันธุ์ผลมระหว่างเยอรมันเกรทเดน กับอเมริกันเกรทเดน สีแดงลูกวัว


ผมตื่นเต้นมากกับการได้สุนัขตัวใหม่ จำได้ว่าก่อนกลับบ้านวันนั้นผมแวะไปซื้ออาหารเม็ดกลับบ้านมาหนึงกระสอบใหญ่ทีเดียว


ฮ็อกกี้...หมาของผม

ฮ็อกกี้เป็นสุนัขเพศผู้ที่มีนิสัยดื้อ ซนมากทีเดียว มีคนเคยบอกว่าสุนัขจะมีนิสัยเหมือนกับเจ้าของคนที่อุ้มมันเข้าบ้านเป็นคนแรก....กับฮ็อกกี้แล้วผมเป็นคนอุ้มมันเข้ามาในบ้านหลังนี้เป็นคนแรก จึงมีหลายคนบอกผมว่าฮ็อกกี้มีนิสัยที่เหมือนผมในหลายๆ มุม ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่านิสัยอะไรที่เรามีเหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่าฮ็อกกี้เป็นสุนัขตัวแรกที่ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นหมาของผม เพราะผมต้องรับผิดชอบดูแลมันตั้งแต่เล็ก ผมใช้เวลาประคบประหงมดูแลเอาใจใส่ฮ็อกกี้อย่างเต็มที่เรื่อยมา


ตอนเด็กฮ็อกกี้ไม่ค่อยได้เดิน ได้วิ่งมากนัก เพราะด้วยเนื้อที่บ้านที่จำกัด ทำให้มันเดินไม่สวย เพราะเดินแล้วขาหลังบิด ไม่สง่างาม ผมต้องใช้เวลากว่าหนึ่งปีที่ต้องพามันออกวิ่งออกเดินทุกเช้า จนกระทั่งฮ็อกกี้สามารถเดินได้อย่างสง่างาม





ผมไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการดูแลฮ็อกกี้เลย ในทางตรงข้ามผมกลับมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่น ได้พูดจาได้คุย ได้สอน และได้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ กับมัน หากจะเปรียบแล้วมันเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมมากที่สุดเลยทีเดียว


ฮ็อกกี้...หมาขี้ประจบ

หลายครั้งที่ผมกลับบ้านมาด้วยความเครียดจากการทำงาน แต่พอมาถึง การเข้ามาเล่น มากอด มาประจบของฮ็อกกี้ก็ทำให้ผมมีความสุขเสียร่ำไป ซึ่งดูไปนิสัยขี้ประจบ ขี้เล่นนี้อาจตรงกันข้ามกับตัวที่ใหญ่โตของมัน ตั้งแต่เด็กมันเป็นหมาขี้ประจบครับ จำได้ดีว่าตอนเล็กๆ เวลามันร้องไม่ยอมนอนในกรงตอนตีหนึ่ง ตีสอง ผมต้องลงมาเพื่อเปิดกรงให้มันออกมานอนบนตักผมจนหลับไปเสมอๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความทรงผมที่สวยงามของผมกับฮ็อกกี้


ฮ็อกกี้...หมาเจ้าถิ่น

ฮ็อกกี้เป็นหมาเจ้าถิ่นที่มักจะชอบอิจฉา และแผ่บารมีอำนาจรังแกเคนจิ เพื่อรักของมันอยู่ร่ำไป เมื่อปีที่แล้วเคนจิได้จากผมและมันไป ฮ็อกกี้ก็ไม่มีหมาที่คอยต่อกรที่ขนาดตัวพอฟัดพอเหวี่ยงไป คงเหลือผมและพี่ชายที่พอจะต่อสู้กับมันได้บ้าง แต่มันก็ออมแรงเวลาสู้กับเรา ไม่เช่นนั้น เราคงได้ล้มคว่ำไปได้เช่นกันแหละ


ฮ็อกกี้กับสัญชาตญาณในการล่า

ฮ็อกกี้เป็นหมาล่าครับโดยสายพันธุ์ แต่ด้วยทีมันถูกเลี้ยงในบริเวณบ้าน ดังนั้นนิสัยนักล่าของมันจึงถูกจำกัดลงไป ฮ็อกกี้กลายเป็นหมาที่ชอบล่าคางคกและตัวเหี้ยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างหลังนี่ ฮ็อกกี้เป็นแชมป์ล่าไปได้หลายตัวทีเดียว แถมเมื่อล่าเสร็จก็จะคาบเอามาอวดผลงานให้เราเห็นด้วยว่ามันเก่งขนาดไหน


ฮ็อกกี้กับศัตรู

ฮ็อกกี้เป็นหมาที่ไม่ค่อยกลัวอะไร แต่สิ่งที่มันกลัวกลับเป็นยุงครับ ฮ็อกกี้แพ้ยุง ดังนั้นเมื่อตกค่ำ พอมียุง มันจะร้องขอเข้ากรงเป็นประจำเลย


ฮ็อกกี้กับการจากลา

ผมจากฮ็อกกี้มาเพื่อมาเรียนที่สวีเดนเมื่อปีครึ่งที่ผ่านมา เป็นเพียงครั้งเดียวที่ผมจากมันมาอย่างยาวนานที่สุด เพราะตลอดเวลาตั้งแต่มันเล็ก ผมอยู่กับมันมาตลอด ปีที่แล้วผมสูญเสียเคนจิไป และผมไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าปีนี้ผมจะสูญเสียฮ็อกกี้ไปอีก เพราะเมื่อสองวันก่อน ผมยังเล่นกับมันอยู่เลย แม้ว่าอายุจะมากแต่ฮ็อกกี้ก็ยังมีสุขภาพที่แข็งแรง ยังเป็นหมาขี้เล่นเสมอ จนเราพูดติดตลกว่าสมองฮ็อกกี้ยังคงเป็นเด็กแม้ว่ามันจะแก่เป็นคุณตาแล้ว ดังนั้นประเด็นเรื่องการจากลงไปของฮ็อกกี้จึงไม่ใช่เรื่องที่พวกเราเตรียมตัวสักเท่าไหร่ พวกเราเพียงแต่เตรียมการเรื่องการดูแลมันในวัยที่แก่มากขึ้นเท่านั้น


ฮ็อกกี้กับปัญหาสุขภาพ

ฮ็อกกี้ไม่ค่อยได้ป่วยมากมายอะไร อย่างมาก็เป็นไข้ ซึ่งกินพาราเม็ดสองเม็ดก็หายแล้ว ที่ป่วยมากหน่อยก็คือเป็นพยาธิเม็ดเลือด ซึ่งก็ต้องไปตรวจ กินยา แล้วก็หาย และล่าสุดก็คือเป็นเนื้องอกที่บริเวณรูทวาร ซึ่งผมก็เพิ่งพาไปปรึกษาหมอเรื่องผ่าตัดเมื่อก่อนผมกลับมานี่เอง และวางแผนว่าจะผ่าในช่วงต้นเดือนหน้านี้ แต่มันก็มาจากผมไปเสียก่อน


วันนี้กับฮ็อกกี้

วันนี้เมื่อประมาณสองทุ่มที่สวีเดน หรือตีสองที่ประเทศไทย พี่ผมโทรมาบอกว่าฮ็อกกี้เสียแล้ว ทั้งที่ไม่มีอาการอะไรบ่งบอกเลย เพียงแค่วันนี้มันไม่ยอมทานอะไรเลย แต่มันก็ยังเดิน ยังวิ่ง ยังเห่าปกติ ก่อนเข้ากรงช่วงหัวค่ำ มันยังคงปกติดี แต่พอตกดึกมันก็จากเราไปโดยไม่มีการร่ำลา หรือบ่งบอกอะไรให้เราเลย


ความเสียใจกับการจากไปของฮ็อกกี้

ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกเสียใจต่อการจากไปของฮ็อกกี้ ผมเสียใจมาก มันจุกจนบอกอะไรไม่ถูก เพราะคราเคนจิ อาการหลายๆอย่างมันฟ้องให้เราต้องทำใจไว้บ้าง แต่คราวนี้กับฮ็อกกี้มันกระทันหันจริงๆ ผมไม่ได้ชาชินต่อการจากลา หากแต่ผมปลงได้มากขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านมา ผมเผชิญหน้ากับการจากลาและการสูญเสียมาหลายเรื่องเหลือเกิน จนผมจำเป็นที่ต้องหันมายอมรับและเผชิญหน้ากับมัน มากกว่าการจะหลีกหนี เพราะนี่มันคือความจริงของชีวิต


ฮ็อกกี้กับวันนี้ของผม

ฮ็อกกี้จากไป เหลือไว้เพียงความทรงจำที่งดงามที่สุดมากมาย อีกทั้งก่อนหน้านี้หนึ่งเดือนในเมืองไทย ผมได้กลับไปเล่นกัยมัน ได้คุย ได้วิ่งเล่นกับมันทั้งๆ ที่ห่างหายกิจกรรมเหล่านี้ไปนาน ซึ่งก็คงทำให้มันมีความสุขอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย แม้ว่าวันนี้ร่างมันจะถูกนำไปฝังใกล้ๆ กับเพื่อนๆ ทั้งหลายของมัน ทั้งไอ้น็อต ไอ้หมี พิกาจู และเคนจิ แต่ภาพของฮ็อกกี้จะยังคงตราตรึงในความทรงจำของผมไปอีกนานเท่านาน


......................................................

หากจะขออะไรสักอย่างเป็นครั้งสุดท้ายให้กับฮ็อกกี้หลับให้สบาย ผมขอให้มันไปสู่ภพภูมิที่ดี หากเกิดมาอีกก็ขอให้อย่าเกิดเป็นหมาอีกเลย ขอให้ได้เกิดเป็นคนอยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมพรั่ง ได้มีโอกาสเจริญในพุทธศาสนา และพระธรรมคำสอน เพื่อการพ้นจากปวงสังสารวัฏทั้งหลาย แล้วแล้ววันหนึ่งเราคงจะได้เจอกันอีกครั้งเป็นแน่ฮ็อกกี้เพื่อนรัก

.....................................................

แต่สำหรับผมแล้ว ผมต้องก้าวต่อไปข้างหน้าต่อไป ไม่ใช่ทิ้งความสูญเสียและการจากลงไว้เบื้องหลัง หากแต่ชีวิตผมยังคงต้องเดินต่อ ไม่ได้หยุดไปตามฮ็อกกี้ แต่แม้ว่าร่างกายของฮ็อกกี้จะหยุดเดินไปแล้ว แต่ฮ็อกกี้จะยังคงเป็นเพื่อนรักที่เดินทางไปข้างหน้าพร้อมกับผมตลอดไป


หนุ่ย

Agkung in my memory

หนึ่งเดือนในเมืองไทย นอกจากเรื่องที่สร้างความสุขกายและใจให้ผมแล้ว คงไม่อาจปฏิเสธความจริงประการหนึ่งได้ก็คือ ความสุขนั้นก็ย่อมคู่กับความทุกข์เสมอ

แต่ตามหลักพุทธศาสนาสอนว่า คนเรานั้นควรสุขให้ง่าย และทุกข์ให้ยาก เพราะที่จริงแล้วความทุกข์นั้น เราเพียงแต่เพื่อรู้ว่ามันมีอยู่ก็พอแล้ว แต่คนเราคงต้องใช้เวลาในการฝึกฝนอยู่บ้างเพื่อให้ไปได้ถึงจุดนั้น

ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาสำหรับผม เอาเป็นว่าคงไม่ใช่สุขกับทุกข์ แต่เป็นสุขกับไม่สุขท่าจะดีกว่า

เรื่องความไม่สุขที่เกิดขึ้นกับผมในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ เป็นเรื่องราวที่ผมอยากนำมาเขียนที่นี่มากที่สุด แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำในชณะที่อยู่ในประเทศไทย วันนี้สบโอกาสดีเลยอยากนำเรื่องราวเรื่องนี้มาบันทึกลงที่นี่ เพื่อจดจำช่วงเวลาที่มีความสุขช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของผมไว้ที่แห่งนี้

ผมเคยบอกไว้แล้วเช่นกัน ว่าผมนั้นไม่ค่อยชอบการจากลา แต่คนเราไม่สามารถหลีกหนีสิ่งนี้ไปได้หรอกครับ เมื่อเดือนมกราคมผมได้สูญเสีย เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของผมไปอย่างไม่มีวันกลับครับ ผมจึงอยากบันทึกเรื่องราวของเพื่อนคนนี้ไว้ครับ เพื่อระลึกถึง"อั๊ก" เพื่อของผม

หากจะย้อนเวลากลับไป ผมคงต้องย้อนกลับไปราวๆ กลางปี 2547 ที่ผมได้มีโอกาสได้รู้จักเพื่อนคนนี้ เพื่อนที่เข้ามาช่วยสร้างชีวิตชีวา และสีสันให้กับชีวิตของผมได้เกือบ 5 ปี

ผมพบกับอั๊กครั้งแรกที่ Fitness first ครับ เราไปออกกำลังกายกันที่นั่น และวันนั้น เป็นวันที่พวกเราต้องไปเล่นโบว์ลิ่งการกุศลในนามของ Fitness First ตลอดเวลาที่เราไปโยนโบว์ลิ่งกัน ไอ้อั๊กไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนั่งจิบเบียร์ไปพลาง คุยเล่นไปพลาง




หลังจากนั้นกิจวัตรประจำวันขอองพวกเราก็คือการออกกำลังกายด้วยกันทุกเย็น อย่างต่อเนื่อง จนค่ำ มือ แล้วก็กินข้าวเย็น และในช่วงสุดสัปดาห์มักจะจบกันที่การฟังเพลง ร้องเพลงตามประสา จนกระทั่งผมต้องมาเตตรีมตัวเพื่อมาศึกษาต่อ เราจึงค่อยๆ ลด ละ เลิกกิจกรรมทั้งหลายเหล่านั้นไป แต่เราก็ยังคงติดต่อพูดคุยกันบ้างตามโอกาส และมีความปรารถนาดีให้แก่กันเรื่อยมา

อั๊กในความทรงจำของผม เขาเป็นคนที่ยิ้มแย้ม เป็นกันเองเสมอๆ ผมมักจะพบอั๊กพร้อมกับใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าจริงแล้ว ภายในจะมีความทุกข์มากเพียงใด

ผมกับอั๊กเราให้คำปรึกษาซึ่งกันและกันในทุกๆ เรื่อง หลายครั้งที่อั๊กมีปัญหา ผมก็รับฟังและให้กำลังใจ และในอีกหลายครั้งที่ผมไม่สบายใจ และมีเพียงแค่อั๊กเท่านั้นสังเกตออกและพูดจาให้กำลังใจผม ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นผมจดจำได้ดีเสมอมา และยังนึกขอบคุณเพื่อนคนนี้ทุกครั้งตลอดมา

ทุกวันเกิดอั๊กผมยังคงโทรศัพท์ไปทักทายเสมอ แม้ว่าผมจะมาอยู่ที่นี่ เมื่อคราปิดเทอมกลับบ้าน ก็ได้คุยโทรศัพท์กันบ้าง ตลอด 5 ปีที่รู้จักกันมีเพียง เมื่อเดือนธันวาคม 2552 เพียงครั้งเดียวที่ผมไม่ได้โทรไปอวยพรวันเกิดเพื่อนรักของผม เพราะเห็นว่าเดือนมากราก็จะได้เจอกันแล้ว เพราะเรานัดกินข้าวกันไว้น่ะ กะว่าครั้งนี้คงจะนัดกันหลายๆ คน เลย เพราะไม่ได้เจอกันนาน ซึ่งก็ได้เคยตกลงกะอั๊กเอาไว้แล้ว

ผมกลับมาเมืองไทยได้สองสามวัน ก็รู้สึกคิดถึงอั๊ก เลยโทรไปกะเซอร์ไพรส์อั๊ก และนัดววันกินข้าวกันสักหน่อ่ย แต่เสียงตอบรับที่ปลายสายกลับเป็นเสียงของผู้หญิง น้าสาวของอั๊กเพื่อนผม ที่ตอบกลับมายังผมว่าอั๊กได้จากไปแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2553 และตอนนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัด ในจังหวัดอุดรธานี บ้านเกิดของอั๊ก

ในตอนนั้น ผมบอกไม่ถูกจริงๆ ว่ารู้สึกอย่างไร แต่เมื่อยอมรับความจริงนี้ได้แล้ว เรื่องราวของอั๊กได้สอนให้ผมรู้และเข้าใจในหลายเรื่อง ซึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้นหากคิดจะทำอะำไร จงอย่าผลัดวันประกันพรุ่ง จงลงมือทำแต่บัดนี้ เพราะเราไม่มีทางจะรู้เลยว่่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น

กว่าหนึ่งเดือนแล้วที่อั๊กจากไป แต่ความทรงจำดีๆ ของผมกับอั๊ก จะยังคงชัดเจนในความรู้สึกและความทรงจำของผมตลอดไป

หลับให้สบายนะ อั๊ก เพื่อนรัก

Back to the origin

วันนี้ผมกลับมานั่งพิมพ์งานอยู่ที่ลุนด์อีกครั้ง หลักจากกว่าหนึ่งเดือนที่ผมเดินทางกลับไปอยู่ที่ประเทศไทย

การเดินทางกลับไปประเทศไทยครั้งนี้ของผมค่อนข้างจะแตกต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา มีเรื่องดีมากมายที่เกิดขึ้นในการเดินทางกลับไปครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการไปร่วมงานแต่งงานของพี่สาวเพียงคนเดียวของผม และการได้ไปใช้เวลากับครอบครัวที่ผมไม่ค่อยได้ทำมากนักในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ เพราะต้องอยู่ห่างไกลกัน

อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในหลายครั้งแล้วว่า ข้อดีของการต้องห่างกัน ก็คือการเข้าใจความสำคัญของคำว่า"คิดถึง"

หลายครั้งที่เราใกล้ชิดกัน จนเคยชินกับการห่วงหาอาทรที่มีให้กัน จนบางครั้งอาจมองข้ามความสำคัญของสิ่งเหล่านั้นไป เพียงเพราะว่าเราคุ้นชินกับมันจนไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ซึ่งหากเคยได้ยินกันมาบ้าง เขาว่าคนเราจะเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นก็ต่อเมื่อได้สูญเสียมันไปแล้ว

แต่สำหรับผม

ผมไม่ต้องการมาเว้าวอน เรียกร้องสิ่งมีค่าทั้งหลายในชีวิต เมื่อถึงเวลาที่ต้องสูญเสียไป ดังนั้น ผมจึงพยายามให้ให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กน้อยทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา ซึ่งมีคุณค่าในความรู้สึกของผมและคนรอบข้างเสมอ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หนึ่งเดือนที่เมืองไทย ผมพบรอยยิ้มมากมายจากคนรอบข้าง ผมได้ยินถ้อยคำที่ดีงามมากมายจากผู้คนรอบตัว สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะเป็นกำลังใจ และส่วนสำคัญในการผลักดันให้ผมเดินไปข้างหน้าต่อไป


วันนี้ เวลานี้ ที่นี่ เมืองลุนด์ ประเทศสวีเดน

ความหนาวยังคงปกคลุมไปทั่ว แม้ว่าจะเป็นปลายฤดูหนาวแล้วก็ตาม หิมะที่ปกคลุมไปทั่วเมือง ผสานกับสายลมที่พัดความหนาวเย็นมากระทบผิว ทำให้ผมได้ฉุกคิดว่า ผมควรจดจำภาพและบรรยากาศนี้ไว้ให้ชัดเจนในความทรงจำของผม เพราะไม่รู้ว่าภายหน้าผมจะมีโอกาสได้สัมผัสมันอีกหรือไม่

ความหนาวกายนั้น เสื้อผ้าหนาวๆ คงจะช่วยให้ทุเลาลงไปได้บ้าง แต่จิตใจที่เหงานี้ ไม่เพียงแต่หนาวเท่านั้น แต่มันยังมืดไปเสียทุกทิศทาง.....คงต้องรอให้แสงแดดผ่านลอดออกมาเป็นแสงที่นำให้ผมเดินผ่านพ้นจากจุดนี้ออกไปให้ได้ในเร็ววัน

ไออุ่นของแสงแดดในไม่ช้านี้ คงจะช่วยทุเลาความหนาวกายและใจของผมไปได้ในคราเดียวเสียเป็นแน่