Monday 28 July 2008

Visa Waiting

และแล้วเวลากว่าสองเดือนก็ล่วงไปแล้ว แต่วี่แวววีซ่าของผมยังเป็น Grey Zone มองไม่เห็นปลายทางเลย


วันนี้เลยตัดสินใจโทรไปที่ Swedish Migration Board ที่ประเทศสวีเดน กะว่าแจ่มเลย เอาให้รู้เรื่อง ที่ไหนได้ ปลายทางดังว่า "all of our lines are buzy, please contact me again later or visit my web site...." แล้วก็ตัดสายซะฉิบ ไม่ต้องรอเรอกันเลย



งานนี้ก็เลยได้แต่รอๆ อย่างเดียว ดีที่วันนี้เจ้าหน้าที่สถานทูตที่ประเทศไทย รับปากจะเมลไปแจ้งให้ว่าโปรดเร่งพิจารณาหน่อย เพราะใกล้เดินทางแล้ว



ก็แอบหวังลึกๆ ว่าคงจะมีข่าวดีรอผมอยู่บ้าง......

Saturday 26 July 2008

30 Days Count Down

บล็อกนับต่อจากนี้ผมพยายามที่จะบันทึกช่วงเวลาที่น่าจดจำของผมตั้งแต่ก่อนที่จะได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสวีเดน เพื่อเก็บรวบรวมประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตของผม


อีกเพียง 30 วัน เท่านั้นที่การเดินทางของผมจะเริ่มขึ้น


การเตรียมตัวของผมก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทั้งการเฝ้ารอวีซ่าว่าเมื่อไหร่ผลจะออกเสียที การเฝ้ารอที่พักว่าเมื่อไหร่หนอจะมีที่พักให้กับผมเสียที รอมากว่าครึ่งเดือน คิวการจองหอก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นมาเลย ทีมีความคืบหน้าหน่อยก็คงจะเป็นตั๋วเครื่องบิน เพราะแต่เดิมผมจองโดยตรงกับการบินไทย ได้ตั๋วนักเรียนก็จริงแต่น้ำหนักก็ได้เพียง 20 กก. เอง ราคาก็ 53,970 บาท แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปจองกับ STA ตั๋วเที่ยวบินเดียวกันของการบินไทย แต่น้ำหนักกระเป๋าได้ 30 กิโลกรัม ราคาก็เหลือแค่ 49,170 บาท ถือว่าสำเร็จ เพราะก่อน หน้านี้ติดต่อก็ตั๋วเต็มตลอดอ่ะ













แต่อย่างไรก็ดี ตอนนี้สำหรับที่พักอย่างน้อยตอนนี้ผมก็ได้จอง Youth Hostel ที่ Lund ไว้แล้ว คือที่ STF Vandrarhem Tåget Lund ค่าที่พักก็ตกคืนละ 150 โครนสวีเดนรวมอาหารเช้า ก็ประมาณ 800 บาทได้ ตอนนี้ก็จองไว้ 5 คืนอ่ะ เพราะอย่างไรเสียหากได้ที่พักก็คงย้ายได้ต้นเดือน ก็เอาชัวร์ว่าอย่างน้อยก็ได้ที่พักที่นี่ไว้ก่อน


STF Vandrarhem Tåget Lund เป็น hostel ที่นำเอารถไฟเก่ามาตกแต่งเป็นที่พัก เก๋ดีครับ ลองไปดูได้ที่นี่ครับ http://www.trainhostel.com/eng-photo.asp

Thursday 24 July 2008

From the Preah Vihear to Champasak (Draft)

และแล้วความพยายามในการบันทึกเรื่องราวการเดินทางไปเขาพระวิหารก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ

ในชื่อเรื่อง "จากเขาพระวิหารถึงจำปาสัก" ก็เลยเอาร่างฉบับแรกมาลองให้อ่าน เผื่อถ้ามีใครอยากไปตามน่ะ ก็อ่านดูได้ เมลมาละกันเดี๋ยวจะส่งไปให้ แต่ขอบอกว่ายังไม่สมบูรณ์นะ เพราะว่ายังไม่ได้แต่งเติมอรรถรสเพิ่ม ยังไม่ได้จัดหน้า และยังไม่ได้เอารูปปลากรอบใส่

เอาไว้เสร็จสมบูรณ์จะเอาลงอีกครั้งนึง

Monday 21 July 2008

ความกังวลใจ

ในยามนี้ มีเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต


อย่างที่เคยบอกช่วงนี้ผมมีเรื่องราวมากมายต้องคิดและตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวีซ่าประเทศสวีเดน เรื่องตั๋วเครื่องบินที่ต้องรอออก เพราะรอวีซ่า เรื่องที่พักที่ลุนด์ ประเทศสวีเดน ทุกอย่างล้วนแต่เป็นปัญหาที่ผมต้องขบคิดอยู่ทุกวัน


ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอๆๆๆ


ช่วงวันหยุดที่ผ่านมานอกจากการเดินทางไปเที่ยวตลาดน้ำบางน้ำผ้งที่ พระประแดงแล้ว ผมยังมีโอกาสไปช็อปปิ้งในงานมั่นใจไทยแลนด์มา


ไอ้งานนี้มันว่าด้วยเรื่องของถูก ตามโฆษณาว่ามีมุมทุกอย่างสามสิบ แต่ไม่ได้อะไรเลยจากบูธนี้
แต่ไปงานนี้ทั้งที เขาว่ามีการแจกหลอดตะเกียบประหยัดไฟฟรีจำนวน 50,000 หลอด ดังนั้นผมจึงไม่พลาดที่จะเอากลับบ้านมาสักหลอด


ส่วนของที่มาขาย ผมก็ได้เพียงไข่ไก่ซีพี จำนวน 2 ถาด รวม 60 ฟอง ราคา 120 บาทกลับบ้านมา
งานโดยรวมก็โอเคนะครับ แต่ของเยอะแล้ว คนก็เลยเยอะตามไปด้วย งานนี้ก็เลยเหนื่อยเบียดกับคนอื่นเนี่ยะแหละ


วันนี้เพิ่งได้รับภาพจากเพื่อนที่รู้จักทางเน็ตที่อยู่ในประเทศสวีเดน เขาส่งรูปคณะนิติศาสตร์ที่ลุนด์มาให้ดู เลยเอามาลงไว้ให้ดูกันครับ




อยากไปแล้วอ่ะ วีซ่าเสร็จซะทีสิ
K-Jay

Sunday 20 July 2008

ฤดูน้ำหลาก

หมดจากฤดูฝน ที่บ้านผมก็เข้าฤดูน้ำหลาก น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยราวๆ เดือนกันยายนของทุกปี แล้วก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ


ด้วยเหตุที่อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทองนั้น เป็นอำเภออกแตก หมายความว่าที่อำเภอนี้มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่ากลางอำเภอ อีกทั้งตลาดป่าโมกก็มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ดังนั้น ตั้งแต่เด็ก อย่างน้อยทุกสองปี ที่บ้านผมจะต้องเผชิญกับอุทกภัย หรือน้ำท่วมเป็นประจำ


ตั้งแต่เด็ก ผมชอบมากเวลาน้ำท่วม ตามวิสัยของเด็ก เพราะผมจะได้เล่นน้ำ ได้ตกปลาที่หน้าบ้าน หรือใกล้ๆบ้านนั่นแหละ ตั้งแต่เด็กผมจึงเรียนรู้เรื่องราวมากมายจากน้ำที่ท่วมที่ตลาดป่าโมก


  • การเดินทางไปไหนยามน้ำท่วม เรือกลายเป็นพาหนะที่สำคัญ ผมต้องฝึกพายเรือตั้งแต่เด็ก ดังนั้นการพายเรือสำหรับผมมันหมูๆ ไม่ว่าจะเป็นการพาย งัด ถ่อ แจว โอ๊ยอย่าให้เซด หรือจะเรืออีป๊าบ อีโปง เรือเข็ม เรือขุด แต่การเดินทางโดยเรือมันอาศัยเวลาเป็นอย่างมาก จำได้ว่าประมาณปี 2537 น้ำท่วมใหญ่ ผมต้องพายเรือไปซื้อน้ำตาลทรายสักกิโล ถ้าปกติขี่รถมอเตอร์ไซด์ ก็ ไม่เกิน 10 นาที แต่วันนั้นผมพายเรือไปกลับเกือบชั่วโมง

  • พาย ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการดำรงชีวิต เชื่อไหมว่าผู้คนห่วงพายมากกว่าเรือเสียอีก เพราะพายคู่ใจที่ดีก็เสมือนการมีอาวุธคู่กายที่ดี ดังนั้นเวลาผู้คนเดินทางไปไหน พอจอดเรือได้ที่ ก็เดินถือพายมาช็อปปิ้งซื้อข้าวของกันให้ควั่ก

  • ใครจะนึกว่าการตกปลาที่หน้าบ้านในยามน้ำท่วมนั้น มันท่าจะง่าย ไม่หรอกครับ ไม่ง่าย เพราะจากประสบการณ์ผมเรียนรู้ว่า เมื่อน้ำมาปลาจะไม่มี เราต้องรอให้น้ำขึ้นและคงตัว คือไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ไหลแรง ยามนั้นย่อมได้เวลาลงเบ็ดแล้ว แล้วปลาอะไรที่มักจะได้ ส่วนมากก็เป็นปลาซิว ปลากระแหทอง ปลาสังกะวาส ปลาหมอ ปลาสลิด แต่เชื่อไหมในชีวิตผมเคยตกได้ปลาทองอ่ะ

  • การจับปลาจำนวนมากโดยเฉพาะปลาซิว ซึ่งมีตัวเล็กนั้น หากเราจะนั่งตกทีละตัวละก็ยากส์ ดังนั้นวิธีที่จะได้ปลาซิวเยอะๆในคราวเดียว ก็คือ การเอากระด้งตะล่อม ๆไปช้อนปลาซิวที่มาเล่นแสงไปตามทางนั่งเอง ช้อนทีเดียวก็ได้เป็นสิบตัวแล้ว

  • การอาบน้ำ ก็ใช้น้ำที่ท่วมนั่นแหละอาบ แต่ใครจะรู้ว่าการนั่งอาบน้ำที่หน้าบ้านของตัวเอง หาได้สามารถทำได้ทุกเวลาที่อยากนะ เพราะเวลาที่สามารถอาบได้คือหกโมงเย็น จากนั้นก็ต้องรอให้พ้นสามทุ่มไปแล้ว เพราะอะไรนั่นเหรอ ก็เพราะว่าเวลา หกโมงเย็นถึงสามทุ่ม ทุกบ้านเขาจะล้างจานนะสิ ฟองนี้ฟอด ลอยฟ่องมาเลย แล้วใครจะกล้าสระผมล่ะ

  • พูดถึงระดับน้ำแล้ว ในชีวิตผมน้ำที่ท่วมสูงสุดที่ผมเจอก็คือน้ำท่วมในปี 2537 เพราะปีนั้นที่บ้านผมน้ำท่วมสูง 2.10 เมตรทีเดียว ดังนั้นหากใครไปบ้านผมตอนนี้ แล้วสงสัยว่า ทำไมมุมบ้านผมด้านบนมันถึงบิ่นเป็นรอยเต็มไปหมด ก็ขอบอกว่าไอ้รอยเหล่านั้น มันคือรอยเรือชน


ตราบเท่าทุกวันนี้ ตลาดป่าโมกก็ยังคงเผชิญชะตากรรมดังกล่าวอยู่ทุกปี

ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง

วันนี้เป็นวันหยุกซึ่งต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ต่อด้วยวันเสาร์และอาทิตย์ วันนี้เป็นวันอาทิตย์แล้ว หลังจากการพักผ่อนเกือบสามวันเต็มวันนี้ผมก็เลยตัดสินใจที่จะไปเที่ยวที่ไหนสักที่นึงเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศความคิดเห็นมาสรุปลงที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ซึ่งอยู่ที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งไม่ได้ห่างไกลมากหากจะเดินทางไป


ในเวลาสายๆ ของวันอาทิตย์ที่บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนอย่างนี้จากข้อมูลที่ได้ ชาวบ้านที่บ้านบางน้ำผึ้งนี้ร่วมกันดำเนินวิถีชีวิตชาวบ้าน สร้างจุดขายของการท่องเที่ยวแบบวิถีชาวบ้าน จนกระทั่งได้เป็นหมู่บ้านปราศจากคนจนแห่งแรกของประเทศไทย


บรรยากาศแรกที่พบ ก็เอ๊ะมันคล้ายๆ ตลาดนัดเสาร์อาทิตย์เลยนะ มีของกินของใช้ให้เลือกสรรจำนวนมาก หลากหลายประเภทแต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็จะได้เห็นว่าท่ามกลางตลาดที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกันเข้ามา ณ ที่แห่งนี้ ยังคงแฝงด้วยมนต์เสน่ห์แบบวิถีชาวบ้านตลอดลำคลองอยู่อย่างกลมกลืนกัน


ผู้มาเยือนสามารถเลือกซื้อของกินของใช้ หลากหลายประเภท รวมทั้งอาจเช่าเรือพายในลำคลองเล่น สนนราคาอยู่ที่ชั่วโมงละ 20 บาท (ไม่แพงเลยนะเนี่ยะ)


ผมใช้เวลาตลอดบ่าย ณ ที่แห่งนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถเดินดู และเลือกซื้อหาของได้จนครบดังนั้นหากใครว่างลองไปดูนะครับ ไปไม่ยากเลย ขึ้นทางด่วนไปดาวคะนอง พอข้ามสะพานพระรามเก้า แล้วให้ลงที่ถนนสุขสวัสดิ์ วิ่งไปพระประแดง พอถึงแยกพระประแดงก็เลี้ยวซ้าย ขับตรงตามทางไปเรื่อยๆ มีป้ายบอกทางเป็นระยะ จนกระทั่งไปถึงซอยเพชรหึงษ์ 26 ก็เลี้ยวขวาเข้าไป ก็ถึงแล้วครับ ทางเข้าตลาดก็คือทางเข้าไปในวัดบางน้ำผึ้งในนั่นเอง


เอาเป็นว่าหากใครมีโอกาสไปก็อย่างลืมชิม แจงลอน ก๋วยเตี๋ยวเรือ ทองม้วนสด ไก่ย่างตะไคร้ ห่อหมกหมู ลอดช่องสิงคโปร์ หอยทอดครกชาววัง โอ๊ยยากจากสาธยายจนครบถ้วนไปลองดูเองแล้วกัน

Saturday 19 July 2008

Friends

เพื่อนเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นคนดีมีคุณค่าแก่สังคมและประเทศชาติ


หากเราจะนั่งคิดถึงเรื่องราวในสมัยเด็ก และถ้าทุกคนเกิดขึ้นมาในยุดเดียวกับผม ทุกคนต้องนึงถึงสิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้อย่างแน้แท้


ตั้งแต่เด็กเพื่อนๆของผมที่ผมรู้จักและเจริญเติบโตขึ้นมาพร้อมกับผมคงไม่อาจไม่กล่าวถึง มานี ชูใจ ปิติ วีระ เจ้าจ๋อ เจ้าโต สีเทาและเจ้าแก่


ที่ผมมาเขียนความทรงจำในวัยเด็กครั้งนี้ก็เพื่อจดจำเพื่อนๆเหล่านี้ของผม ที่ครั้งนึงเคยเจอกันทุกวัน


น่าเสียดายที่เด็กในบุคหลังกลับไม่เคยพบ หรือเจอตัวละครที่เคยโลดแล่นเป็นเพื่อนกับพ่อแม่ ลุงป้า น้าอา มาเป็นเวลายาวนาน

Thursday 17 July 2008

Problems

ช่วงนี้ผมหายหน้าหายตาไปไม่ได้มาอัพเดทเล่าเรื่องอะไรมากมาย ทั้งนี้เพีราะว่าช่วงนี้มีเรื่องต้องดำเนินการเกี่ยวกับการไปเรียนที่สวีเดนหลายเรื่องด้วยกัน


เรื่องวีซ่านักเรียน การขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศสวีเดนนั้น เป็นการขอวีซ่าเชงเก้น ซึ่งใช้เข้าประเทศอื่นๆในยุโรปได้ด้วย ยกเว้นอังกฤษนะ การขอวีซ่าสวีเดน คำขอทั้งหมดจะถูกส่งไปพิจารณาที่ประเทศสวีเดน ดังนั้นระยะเวลาแห่งการรอคอยจึงยาวนานเหลือเกิน จนถึงวันนี้เกือบสองเดือนผ่านไป ทุกอย่างยังคงเงียบงัน


เรื่องตั๋วเครื่องบิน การจองตั๋วอาจจองผ่านเอเยนต์ก็ได้ แต่ผมจองไว้กับการบินไทยเลย เพราะต้องทำการเลื่อนไฟลท์แน่นอนเพราะผมออกตั๋วปี ยังๆ ถ้าไม่ใช้กลับประเทศไทยก็ต้อง refund ตั๋ว ซึ่งที่เลือกทำกับการบินไทยโดยตรงก็เพราะว่าจะได้สะดวก และที่สำคัญก็คือการสะสมไมล์นั่นเอง แต่จนบัดนี้ตั๋วก็ยังไม่ได้ออกเลย เพราะวีซ่านักเรียนที่ต้องเอาไปใช้ออกตั๋วก็ยังไม่มา


เรื่องที่พักที่ลุนด์ก็หายากมากๆ ระบบที่ใช้คนไทยก็ไม่เคยชิน ทั้งระบบการจัดสรร ระบบการให้คิว ระบบการจอง ระบบการหา เอาเป็นว่าจนบัดนี้ผมยังไม่ได้ที่พักเลย ไม่เป็นไร ไปตายเอาดาบหน้าหาเอาข้างหน้าก็ได้ นึกซะว่าไปเป็น backpacker แล้วกัน หาประสบการณ์ใหม่ๆ


ดังนั้นการตัดสินใจมาเรียนที่มหาวิทยาลัยลุนด์ นี่มันไม่ใช่เพียงแค่ไปเรียนนะ แต่กระบวนการกว่าที่จะได้รับเลือก รวมทั้งขั้นตอนและระบบต่างๆ ที่เราต้องศึกษาด้วยตัวเองนี่สิ ให้อะไรผมมากมายเลย
เอาเป็นว่าช่วงนี้มีแต่เรื่องปวดหัว เลยไม่ค่อยได้มาอัพเดท แต่เอาเป็นว่าถ้าอะไรคืบหน้าก็จะรีบมาเล่าแล้วกันเด้อพี่น้อง




K-Jay

Tuesday 15 July 2008

Cock

เคยเล่าไปแล้วว่าภาษาอังกฤษกับผมเคยเป็นไม่เบื่อไม้เมากันจนจดจำได้ขึ้นใจในฤทธิ์ไม้เรียว ในสมัยอยู่ชั้นป.5






แล้วไอ้ที่เล่ามันไปเกี่ยวอะไรกับคำว่า cock ที่แปลว่าพ่อไก่








เกี่ยวซิ ทุกคนนึกออกใช่มั๊ย เรียนภาษาอังกฤษก็๖ฮ.ฒ๊โฏฌ๖๙ฯ ฆณ์ฮ?โศฮฐฌ๘

Monday 14 July 2008

Punishment

รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี เป็นสำนวนไทยแต่โบราณที่ยึดถือใช้กันมาในสังคมไทย ไม่เฉพาะกับในครอบครัวเท่านั้น แต่ค่านิยมนี้มันยังแผ่กระสานซ่านเซ็น ไปยังในสถาบันการศึกษาอีกด้วย


ในชีวิตผมการถูกลงโทษในสถาบันการศึกษาเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่ผมไม่เคยลืมเลยโดยเฉพาะการถูกลงโทษโดยการตีด้วยไม้เรียวในวิชาภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นต้นมา


ชีวิตการถูกตีในรายวิชาภาษาอังกฤษของผม เริ่มต้นจากการที่ผมตัดสินใจเข้ามาศึกษาต่อในกรุงเทพฯ เมื่อตอนอยู่ชั้น ป.5 เนื่องจากการเป็นเด็กต่างจังหวัด ดังนั้นโอกาสในการศึกษาย่อมลดหลั่นกันไปตามระยะห่างจากเมืองหลวงของประเทศ ในสมัยนั้นเด็กต่างจังหวัดจะเริ่มได้เรียนภาษาอังกฤษก็เมื่ออยู่ชั้น ป.5 เป็นปีแรก ก็คือรายวิชา "English is Fun" แต่ผมดันตัดสินใจมาเรียนกรุงเทพฯตอน ป.5 ดังนั้นหายนะจึงมาเยือนแล้ว........................


ที่โรงเรียนนักเรียนที่ผมมาเข้าเรียน นักเรียนส่วนใหญ่จะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นอนุบาล มาถึงป.5 ไม่ต้องพูดเลยเรื่องการท่อง A ถึง Z หรือการเขียนตัวพิมพ์เล็ก (abcdef...) หรือตัวพิมพ์ใหญ่ (ABCDEFG...) แต่โผล่เข้ามาชาวบ้านเขาก็เขียนตัวเขียนกันแล้ว อย่าว่ากันเลย ในชีวิตตอนนั้นยังไม่รู้จักตัวเขียนเลยด้วยซ้ำว่าเขาเขียนกันยังไง แค่นี้ก็เข้าองค์ประกอบแล้วครับ


ทุกชั่วโมงภาษาอังกฤษ นักเรียนที่ตอบผิดหรือทำไม่ได้จะต้องถูกตีตีตีตีตีตีๆๆๆๆๆๆ อย่างเดียว แล้วการตีแต่ละครั้งจะถูกบันทึกลงใน"สมุดแจ้งโทษ" (ซึ่งจนบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าการไม่รู้ภาษาอังกฤษมันเป็นความผิดขนาดนั้นเชียวหรือ)


ผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า รายงานการแจ้งโทษของผมยังคงมีการนับคะแนนอยู่อย่างต่อเนื่อง จากหลักหน่วย เป็นหลักสิบ ไปสู่หลักร้อย...... ไม่ผิดครับเดือนๆ นึงเรียนภาษาอังกฤษทุกวัน โดยเฉลี่ยโดนตีวันละ 4-5 ที เดือนนึงก็ 100 แล้ว


จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นสองปี กระทั่งผมจบ ม.6 คาดว่าไม้เรียวกว่า 1,000 ที โดนตีเข้าที่ก้นผม เพียงเพื่อให้ผมรู้สึกผิดที่ผมไม่รู้ภาษาอังกฤษ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมตั้งใจไว้ว่า ผมจะไม่ให้ภาษาอังกฤษมาเป็นอุปสรรคในชีวิตของผมอีกต่อไป


นี่แหละที่ว่ารักวัวให้ผูก รักลูกศิษย์ก็ให้ตี อย่างน้อยผมก็ดีใจที่วัฒนธรรมเหล่านี้ได้จางไปแล้วในปัจจุบัน


K-Jay

Sunday 13 July 2008

Champasak Palace

โรงแรมจำปาสักพาเลซเป็น สถานที่สุดท้ายที่ปากเซ ที่พวกเราอยากไปนั่งเก็บบรรยากาศก็ยังดี ถ่ายรูปอีกนิดหน่อย และหาของรองท้องอีกสักนิด คงไม่พ้นวังเก่าของเจ้าบุญอุ้ม เจ้าครองนครจำปาสัก คนสุดท้าย ที่แปลงสภาพกลายเป็นโรงแรมหลายดาว นามว่าจำปาสัก พาเลซ




เดิมทีเดียวพวกเราตั้งใจไว้เหมือนกันว่าอยากมาพักที่นี่ แต่ก็อย่างที่ปราบๆ กันมาเป็นอย่างดี ว่าที่นี่ “จูออน” เอาการ ดังนั้น จึงเป็นมติไม่เอกฉันท์ในการตัดสินใจเข้าพัก เพราะเสียงส่วนใหญ่อยากกลับบ้านที่ประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ






ที่โรงแรมจำปาสักพาเลซ สร้างขึ้นอย่างงดงาม แต่ก็แฝงด้วยความวังเวงในขณะเดียวกัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วง low season ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงน้อย แทบเป็นโรงแรมร้างเลยทีเดียว


แต่มุมทั้งภายนอกและภายในยังคงดึงดูดให้เราชักภาพเสียหลายภาพ ก่อนที่จะฝากท้องมื้อกลางวัน ด้วยเมนูหลากหลายแต่เน้นที่ปลาแม่น้ำโขงที่นี่


อาหารกลางวันมื้อนี้ ขอบอกว่าพวกผมไปนั่งรับประทานกันในวังเชียวนะเนี่ยะ

Thursday 10 July 2008

5 Rows Vehicle

ช่วงยุคล่าอาณานิคมระเทศแถบอินโดจีนตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศสหลายประเทศ ลาวก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศสในช่วงนั้น


ช่วงที่ประเทศฝรั่งเศสเข้ามาปกครองลาว ฝรั่งเศสต้องการที่จะนำเรือเข้ามาในน่านน้ำลาวตามแม่น้ำโขง แต่อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถเป็นไปได้ก็คือ น้ำตกหลี่ผี และน้ำตกคอนพะเพ็ง (ไนแองการาของเอเชีย) ทำให้การนำเรือที่ขนสินค้าผ่านเข้าออกมาตามแม่น้ำโขงมีอุปสรรค ถึงขั้นที่ประเทศฝรั่งเศสระเบิดคอนพะเพ็งกับหลี่ผีทิ้งทีเดียว


แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม การระเบิดไม่สำเร็จ น้ำตกทั้งสองไม่ได้ถูกทำลายลง (มิฉะนั้นเราคงไม่อาจเห็นความสวยงานทางธรรมชาติของทั้งสองที่เป็นแน่แท้





ดังนั้นเมื่อไม่สามารถทำลายอุปสรรคทางธรรมชาติทั้งสอง ฝรั่งเศสจึงจำเป็นต้องสร้างทางรถไฟข้ามผ่านลอนดอนที่เป็นที่ตั้งของหลี่ผี เพื่อสามารถที่จะขนส่งสินค้าผ่านไปยังลาวอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโขงได้ ซึ่งระหว่างทางเราจะเห็นหัวรถจักโบราณในสมัยนั้นจอดตั้งอยู่ให้รถที่วิ่งผ่านอ้อมเล่น





ดังนั้นปัจจุบันหากใครอยากจะเห็นความสวยงามของน้ำตกหลี่ผี การเดินทางจึงค่อนข้างที่จะลำบาก อย่างที่เคยบอกต้องนั่งเรือข้ามสี่พันดอนมาขึ้นฝั่งที่ดอนลอน จากนั้นต่องอาศัยพาหนะที่ชาวบ้านเรียกว่า "รถห้าแถว" เป็นรถที่ชาวด้านดัดแปลงเพื่อรับจ้างพาเดินทางไปยังน้ำตกหลี่ผีรถห้าแถวจะพาพวกเราวิ่งไปตามรางรถไฟเก่า ซึ่งปัจจุบันเปรียบเสมือนคันนา เพราะเส้นทางนี้ตัดผ่านนาทั้งสองข้างทาง บรรยากาศก็สวยงามตามชนบทครับแต่ด้วยเหตุที่เป็นรางรถไฟ ดังนั้นทางไม่ใช่จะไม่ดีนะครับ ต้องเรียกว่าน่าเกลียดเลยทีเดียว นั่งกว่าจะถึงคาดว่าลำไส้เล็กอาจจะคลายตัวมาลอดตรงกลางระหว่างปอด หัวใจอาจโดนฤทธิ์แรงโขยกตกไปอยู่ที่หน้าท้องได้เลยทีเดียว


เอาเป็นว่าเข็ดหลาบตะขาบต่อย แต่ด้วยความสวยงานของน้ำตกหลี่ผีพวกเราลงมติกันว่า "คุ้ม"




K-Jay

Tuesday 8 July 2008

New World Heritage

ล่าสุด ปราสาทเขาพระวิหารซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 และตั้งอยู่บนยอดเขาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นมรดกโลกแห่งใหม่โดยได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ในการประชุมที่ควิเบก ประเทศแคนาดา ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นมา แล้วครับ

ต่อไปผมคิดว่าการจะไปที่เขาพระวิหารก็คงทำได้แหละ แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และอีกอย่างก็ไม่แน่ใจว่าค่าขึ้นไปชมด้านบนจะยังคงยืนอยู่ที่ 50 บาท เท่าที่ผมเพิ่งไปมา หรือว่าจะคิดเป็นราคาดอลลาร์สหรัฐ เช่นการเข้าชมที่นครวัด-นครธม ที่แพงเอาการอยู่ ก็ไม่รู้ (ได้แต่หวังครับ)
ยิ่งเป็นอย่างนี้ผมยิ่งคิดแล้วอย่างปลื้มที่ได้ไปมาก่อนวิกฤตการณ์จะบานปลายขนาดนี้



K-Jay

Waiting List

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความกังวลใจครับ เลยไม่ค่อยมีเวลามาเขียนอะไรๆ สนุกๆ ให้อ่านกัน


ที่ว่าไอ้เครียดเนี่ยะ ก็เพราะว่าทางมหาวิทยาลัยเพิ่งประกาศผลหอพัก ได้ "Waiting List" แม้ว่าจะรอ แต่มันก็คือ "ไม่ได้" อีกแระ เฮ้อ!! ทำไมการเรียนครั้งนี้มีอุปสรรคเยอะจัง


ดังนั้น ผมจึงต้องรอเพื่อขอหอพักจากเอเยนต์เอกชนอีกรายหนึ่ง ถ้ายังไม่ได้อีกก็จะยิ่งเครียด ต้องไปตะล็อกต๊อกแต๊ก หาเอาเองที่โน่น


เป็นว่าการตัดสินใจที่จะเรียนมหาวิทยาลัยลุนด์ มันทำให้ผมลุ้นได้ตลอดตั้งแต่สมัครจนจะไปเรียน มันช่างสมชื่อมหาวิทยาลัยจริงๆ



K-Jay

Friday 4 July 2008

Handwriting

เคยได้ยินกันมั๊ยครับที่ว่า "ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน" จากเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงามของสุนทรภู่


แค่เกริ่นมาเท่านั้ คงจะรู้และจำกันได้ดี ว่าตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน สมัยก่อนจะมีวิชาคัดไทยด้วย เป็นการสอนให้หัดคัดตัวอักษรภาษาไทยให้สวยงาม


ยิ่งผมเป็นผู้ชายด้วยแล้ว เขาว่าลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ ดังนั้นผู้ชายต้องลายมือสวย สิ่งนี้ถูกปลูกฝังลงในหัวผมตั้งแต่เด็ก


ส่วนผลลัพธ์นั้น คนอื่นเข้าก็ว่าลายมือผมสวยนะ แต่ผมก็ว่างั้นๆแหละ เพราะมีคนอื่นที่ลายมือสวยกว่าลายมือผมตั้งเยอะ


แต่ที่เขียนเรื่องนี้ตอนนี้ ก็เพราะใครหนอจะรู้ว่าการมีลายมือสวยนั้นมันเป็นทุกลาภเช่นกัน ดังนั้นหากอ่านแล้วใครลายมือสวยคงน่าจะรับรู้ถึงทุกขลาภนี้เหมือนกัน

  • ประการแรกที่สำคัญ อาจารย์ประจำชั้นมักจะใช้ให้เราเขียนชื่อวิชาในสมุดพกของเพื่อนๆ เพื่อที่ว่าครูประจำชั้นจะได้กรอกแค่คะแนนกับเกรด

  • พวกเราเหล่าคนลายมือสวยจะต้องมีหน้าที่สำคัญในการเขียนรายชื่อนักเรียนทุกคนลงในสมุดกรอกคะแนนประจำวิชาของบรรดาครูๆ ทั้งหลาย แถมบางทียังต้องหอบเอามาเขียนต่อที่บ้านอีกหลายแฟ้ม

  • พวกเราต้องรับขันอาสาอย่างจำใจ เมื่อคุณครูต้องการทำชีท ซึ่งในสมัยก่อนต้องใช้ลายมือเขียนลงกระดาษไข แล้วเอาไปโรเนียว

  • พวกเราต้องเป็นคนคอยทำหน้าที่เขียนวันที่ เดือน ปีพอศอ บนกระดานดำทุกเช้า

  • ทุกครั้งที่ต้องมีการลงมติ พวกเราก็ต้องย้ายก้นมานั่งหน้าชั้น เพื่อเอื้อต่อการเขียนสาระทั้งหลายขึ้นกระดานดำ โดยเฉพาะเมื่อถึงหน้าเทศกาลเลือกหัวหน้าห้อง



    แค่นี้ คงเห็นแล้วหละ ว่าลายมือสวย มันก็มีทุกขลาภ เช่นกันจริงมั๊ย

Thursday 3 July 2008

Barking Deer

ขึ้นชื่อว่ากวาง หรือเก้ง เป็นสัตว์ป่าประเภทหนึ่งที่ยามเดินวิ่งแล้วดูช่างน่าเพลิดเพลินจำเริญใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่หากจะกว่างถึงการกินเนื้อกวางเนื้อเก้งแล้ว คงไม่ใช่เรื่องแปลกนักสำหรับปัจจุบัน และสำหรับผม
ผมชอบที่จะกินเนื้อกวางแดดเดียว ทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะว่ารสชาดดีทีเดียว และไม่มีไขมันด้วย


ไม่ได้คาดว่าที่ประเทศลาวผมจะมีโอกาสได้ลิ้มรสชาติของกวางป่าเก้งป่าแดดเดียวในประเทศลาว
กระทั่งระหว่างการเดินทางในประเทศลาว พวกเราได้หยุดทานอาหารกลางวันกัน และเมนูมื้อนั้นก็คือ เนื้อเก้งป่า


รสชาดเก้งป่า ก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ที่แปลกไปก็คือ "จนบัดนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าไอ้ที่บอกว่าเก้งป่าน่ะ มันคือเก้งเอ๋งหรือเปล่า"



แต่ก็นะ ถ้าใช่ "ก็สายไปเสียแล้วตู"














K-Jay

Si Pan Don

เคยได้ยินชื่อมานานว่ามหานทีสี่พันดอน ในประเทศลาวว่าคืออะไร

การเดินทางในประเทศลาว พวกเราต้องไปเที่ยวที่น้ำตกหลี่ผี ซึ่งเป็นน้ำตกที่อยู่บนลอนคอด หรือดอนคอด

แม่น้ำโขงที่ไหลผ่านบริเวณสี่พันดอน ในแขวงจำปาสักนั้น เป็นแม่น้ำโขงที่มีความกว้างมากที่สุด คือแม่น้ำโขงกว้างประมาณ 13 กิโลเมตร บริเวณนี้มีดอนกลางแม่น้ำโขงมากมายกว่า 4,000 ดอน จึงเรียกที่นี่ว่า "สี่พันดอน"


การจะเดินทางไปดอนคอด เราต้องเช่าเหมาเรือหางยาวจากท่าเรือล่องผ่านดอนแล้วดอนเล่า กลางแม่น้ำโขงเพื่อไปขึ้นฝั่งที่ดอนคอด ประสบการกลางมหานทีสี่พันดอนก็สนุกสนานน่าจดจำมากทีเดียว




K-Jay

Laos Ferry

อย่างที่ผมเคยเล่าแล้วว่า การเดินทางไปลาวใต้ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปที่วัดภู ซึ่งเป็นมรดกโลกอีกที่หนึ่งของประเทศลาว ซึ่งผมเคยไปเยี่ยมเยียนมรดกโลกลาวที่หลวงพระบางมาแล้วเมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว


แต่อย่างที่เคยบอกแล้วเป็นการยากที่จะเดินทางในลาวใต้โดยรถโดยสาร เพราะว่าสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่นั้น อยู่ห่างกันโดยระยะทาง ถนนหนทางก็ทุรกันดารบ้างในบางที่


การเดินทางไปวัดภูก็เช่นกัน ใช่ง่ายต้องนั่งรถจากปากเซ ไปยังท่าเรือ แล้วเอารถขึ้นไปบนแพเพื่อไปอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำโขง แล้วขับต่อไปอีก 10 กิโลเมตร ซึ่งทางนี้จะสามารถไปถึงวัดภู ได้สะดวกกว่าการวิ่งตามทางลูกรัง


แพขนานยนต์ หรือ Ferry ที่นี่ก็เป็นแพไม้วางบนทุ่นลอยที่ทำจากถังน้ำมัน และเรือ กว่าที่จะเรียงรถจนเต็มแพก็ใช้เวลาไปนานทีเดียว







ขาไปแพเที่ยวที่รถพวกเราขึ้นดันมีรถบรรทุกน้ำอัดลมมาผสมโรงด้วย เป็นเหตุให้แพรับน้ำหนักมาก ออกจากท่าเทียบไม่ได้ ลำลากต้องเอารถขนน้ำอัดลมลงไปอีก


บนแพมีแม่ค้าชาวลาวเอาของมาขายมากทั้ง ขนมจีน จิ้งหรีดย่างเสียบไม้ ยาชูกำลัง และน้ำต่างๆ


ประสบการณ์ครั้งแรกบนแพที่ลาว ทำให้ผมตื่นเต้นพอควร แต่ไอ้ที่ทำให้ผมเสียอรรถรสในการเที่ยวในครั้งนี้ ก็คงไม่พ้นแพนั่นแหละ เพราะว่ารวมไปกลับ เราใช้เวลารอแพ และอยู่บนแพรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง




อย่างเซร็งค่อดๆ!!!!




K-Jay

Pha Taem

ได้ยินชื่อมานานแล้วผาแต้ม ผมจึงอยากไปให้เห็นสักครา เพราะมาถึงอุบลราชธานีแล้วคงต้องไปให้ครบสักหน่อย เด๋วเสียชื่อว่ามาถึงอุบลแล้วแต่กลับไปไม่ถึงอุบล


ภาพเขียนที่ผาแต้มนั้น ว่ากันว่าเป็นภาพเขียนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุราวๆ 3,000 - 4,000 ปีแล้ว
พวกเราเดินทางไปผาแต้มแต่เช้าเพราะว่ากลัวฝนจะตกตอนบ่าย หรือไม่มันก็จะร้อนเกินไป


ไม่ไกลจากที่พักเรามาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติผาแต้มก่อนจึงถึงเราผ่านจุดที่สำคัญจุดหนึ่ง คือบริเวณเสาเฉลี่ยง ดูไปดูมามันเหมือนเป็นสโตนเฮนจ์ของเมืองไทยเลยนะ


การมาชมภาพเขียนที่ผาแต้ม เราต้องเดินไปเรื่อยๆ โดยรวมมีทั้งหมด 4 กลุ่มภาพ ที่ ผาขาม ผาแต้ม ผาหมอนน้อย และผาหมอน ซึ่งหากเดินครบรอบก็ต้องเดินไปไม่ต่ำกว่า 4.5 กิโลเมตร

ที่น่าอัศจรรย์ที่ผมสงสัยมันมีอยู่หลายประการ ทั้งว่า


ใครเขียน?


เขียนได้ไงที่หน้าผา? เพราะแค่เดินไปดูก็เสียวแล้ว


เขียนด้วยอะไร? 4000ปี สีถึงยังอยู่ เพราะบ้านผมใช้วิวัฒนาการใหม่ปีเดียวสีก็จางแล้ว


แต่ไปๆ มาๆ ไม่สงสัยก็ได้ เพราะอย่างน้อย ผมก็ได้มาเห็นกับตามแล้ว หลังจากเห็นแต่ในตำรา มาเห็นด้วยตาก่อนที่จะหายไปตามกาลเวลา













K-JAY

When the lights go out

ช่วงนี้ เป็นช่วงกลางฤดูฝน แม้ว่าที่ผ่านมาจะดูเหมือว่าประเทศไทยนั้นฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลสักเท่าไหร่


แต่ช่วงนี้ฝนมาถูกที่ถูกเวลาอยู่เสมอทุกวันดังนั้นช่วงนี้ ทุกเป็นนอกจากหายนะที่ต้องเจอบนท้องถนนเป็นปกติวิสัย คือฝูงรถที่ติดราวกับเป็นขบวนรถบุพชาติแล้ว ทั้งฝนและฟ้าคะนอง ยังช่วยให้บรรยากาศการกลับบ้านของผมดูอึมครึมไปเสียทุกเย็นวัน


นอกจากฝนฟ้าคะนองแล้ว พายุฝนยังเป็นตัวทำลายข้าวของ และไม้ดอกไม้ประดับได้เป็นอย่างดีทีเดียวหลังพายุฝนสงบ บ้านผมจึงที่รวบรวมทรัพย์สินหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นกิ่งไม้ ใบไม้ ดอกไม้ เสาอากาศทีวีของข้างบ้านแต่ไอ้ที่รู้สึกขัดใจก็คือ ไฟฟ้าเจ้ากรรมนะสิ ดันดับไปเสียนาน จนเผลอหลับแล้วหลับอีกไปหลายรอบนับกว่า 3 ชั่วโมง


นอกเหนือไปจากการนอนกลิ้งไปมา การทำตัวน่าโรแมนติก โดยการจุดเทียนในบ้านแล้วไปทั่วแล้ว บรรยากาศในยามไฟฟ้าดับก็น่าอภิรมย์ดีทีเดียวนะ ผมว่า






K-Jay

Tuesday 1 July 2008

Mobile Taxi

จากการเดินทางไปลาวใต้ครั้งล่าสุด ประสบการณ์ต่างแดนครั้งนี้มีเรื่องน่าจดจำอยู่หลายอย่างเหมือนกันนะ


ไม่ว่าจะเป็นความสวยงาม และน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ สภาพชุมชน ผู้คนที่ได้เจอะเจอ อาหารที่แสนอร่อย และยานพาหนะที่น่าจดจำจากเมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ประเทศลาว


พวกผมต้องเดินทางกลับมาที่ด่านช่องเม็ก เพื่อผ่านเข้าแดนประเทศไทยและขับรถกลับบ้าน ซึ่งระยะทางก็ไม่ได้ไกลมากหรอก ประมาณ สัก 40 กิโลเมตรเห็นจะได้การเดินทางกลับมาชายแดนไทยนั้นมีสองวิธีด้วยกัน คือนั่งรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศ ที่วิ่งระหว่างปากเซ-อุบลราชธานี กับการนั่งรถแท็กซี่จากตลาดดาวเรืองมาที่ช่องเม็กพวกเราปรึกษากันขนานใหญ่ ตกลงกันว่าจะไปนั่งรถโดยสาร แต่ไม่ว่าจะสอบถามใคร ทำไมเที่ยวรถมันไม่เหมือนกันเลยสักคน บ้างว่า 12.30 13.00 13.30 14.00 และ 14.30


พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะไปที่ขนส่งกันเลยแล้วกัน พอไปถึงกลับปรากฏว่ามีรถรอบ 15.00 ซึ่งกว่าจะกลับถึงคงแทบตกเครื่องดังนั้นแผนจึงถูกเปลี่ยนอย่างกระทันหัน พสกเราไปแวะท่ารถแท็กซี่ที่ตลาดดาวเรือง เท่าที่ทราบมาค่าโดยสารคนละ 100 แต่ต้องรอให้ครบ 6 คนถึงจะออก แต่ถ้าอยากไปเร็วก็เหมา ราคา 450 บาท ซึ่งก็ไม่แพงนะ รับได้


เมื่อไปถึงท่ารถ สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าคือรถแท็กซี่เบนซ์ และยี่ห้อหรูหลายยี่ห้อจำนวนมาก หลากสี สภาพดี (กว่านี้มีอีกไหม) คาดว่ารถเหล่านี้คงเข้ามาในประเทศลาวเกือบร้อยปีเห็นจะได้แถมยังเป็นรถแท็กซี่มือถือ เพราะว่าตลอดเวลาเราต้องเอามือหนีบถือประตูเอาไว้ด้วยเพราะปิดประตูทีนึงแทบหลุดเป็นชิ้นแล้ว แอร์ก็เป็นแอร์ธรรมชาติ อากาศก็สุดร้อนอบอ้าว


พวกเราเห็นตรงกันว่าถึงเวลาต้องทำประชามติอีกคราแล้ว สรุปได้ว่าเราควรโทรหาไกด์ที่เจอเมื่อวารแล้วปรึกษา ผลออกมาว่าเราเหมารถไกด์แหละให้ขับมาส่งที่ด่านช่องเม็ก เลยหมดไป 700 บาท สะใจดีทีเดียว


เห็นไหมล่ะ อย่างน้อยประสบการณ์กับแท็กซี่มือถือก็น่าจดจำไม่น้อย





K-Jay

Resigned

วันนี้เป็นวันแรกของการกลับมาเป็นอาจารย์ธรรมดา ที่ไม่ต้องแบกภาระหน้าที่ฝ่ายบริหารไว้บนบ่าอีกต่อไป


เดิมทีเดียวผมตัดสินใจที่จะเป็นอาจารย์ก็หลังจากจบปริญญาโท แต่เดิมไม่มีในหัวเลยไอ้การเป็นอาจารย์เนี่ยะ แต่พอจบโท ก็รู้สึกรักในสิ่งที่เรียนมา สิ่งที่ศึกษา ก็เลยมีความคิกว่ามีวิธีไหนน๊าที่จะเอาสิ่งที่เรารู้ไปให้คนอื่นๆ ที่สนใจได้รู้ด้วย ดังนั้นงานแรกที่ผมฉุกคิดขึ้นมาก็คือ "การเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย"


การเข้าเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นเรื่องที่ฉุกละหุกมาก เพราะเดิมไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ไม่รู้จักที่นี่ด้วย พอดีพี่ชายผมเห็นประกาศที่หน้าหนังสือพิมพ์เลยมาบอกผม


ผมเริ่มอาชีพอาจารย์เมื่อ 26 สิงหาคม 2544 นับถึงเวลานี้เฉียดหกปีเข้าไปทุกทีสิน่า


ผมไม่เคยคิดอยากเป็นอาจารย์ที่ทำงานด้านบริหารเลย เพราะโดยส่วนตัวชอบงานด้านการสอน การเขียนและวิจัยมากกว่า แต่โอกาสในชีวิตคนเรามันไม่ได้เข้ามาบ่อย และกะเกณฑ์ก็ไม่ได้ ผมก็เลยได้เป็นผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการมาตั้งแต่ราวๆ เดือนตุลาคม 2545


กว่า 3 ปีครึ่งการเป็นผู้ช่วยคณบดี คงเพียงพอผมตัดสินใจขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อมาเป็นอาจารย์ธรรมดา ได้แค่ไม่กี่เดือน ตำแน่งก็ลอยมาอีกคือ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายประกันคุณภาพการศึกษา

จนวันนี้ ผมคิดว่าคงเพียงพอแล้วกับการทำงานฝ่ายบริหาร ก่อนที่ผมจะไปเรียนต่อ ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากตำแหน่งอีกคราว โดยการลาออกจากตำแหน่งของผมมีผลเมื่อวานนี้


วันนี้จึงเป็นวันดีที่ผมเดินไปมาทั่งมหาวิทยาลัย โดยเป็นเพียงอาจารย์หนึ่งคน ที่ไม่ต้องมีหัวโขนมาใส่ทับอีกหลายหัว


สบายตัวดีแท้


คนเราเมื่อมียศก็เสื่อมยศ มีลาภก็เสื่อมลาภ จะเอาอะไรกันมากมาย


เมื่อเจ้ามามีอะไรมา...มีอะไร...มาด้วยเจ้า
เจ้าจะเอา....แต่สุข... สนุกไฉน
เมื่อเจ้ามา...มือเปล่า...จะเอาอะไร
เจ้าก็ไป....มือเปล่า...เหมือนเจ้ามา
ยศและลาภ...หาบไป...ไม่ได้แน่
เว้นเสียแต่...ต้นทุน...บุญกุศล
ทิ้งสมบัติ...ทั้งหลาย...ให้ปวงชน
ร่างของตน...เขายังเอา...ไปเผาไฟ
อันความตาย...ชายนารี...หนีไม่พ้น
จะมีจน...ก็ต้องตาย...วายเป็นผี
ถึงแสนรัก...ก็ต้องร้าง...ห่างทันที
ไม่วันนี้...ก็วันหน้า...จริงหนาเราฯ


K-Jay

Ree Ree Khao Sarn

"รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก
เลือกท้องใบลาน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน
คดข้าวใส่จาน พานเอาคนข้างหลังไว้ให้ดี"


พอได้ยินคำร้องนี้ทีไร คิดถึงสมัยเด็กทู้กกะที


สมัยก่อนอย่างที่บอกแหละไม่มีเลยที่จะได้ออกไป Internet Cafe อย่างดีก็ชวนเพื่อนข้างบ้านมาเล่นการละเล่นไทยๆ บ้านๆ เลยอยากเอามาเขียนเพื่อจำไว้ก่อน ที่ผมเล่นสมัยก่อนก็มี รีรีข้าวสาร มอญซ่อนผ้า อีกาฟักไข่ กิงก่องแก้ว เตย (ใครรู้จักบ้าง) อัดมั่ว ตี่จับ เป่ากบ เล่นเบอร์ ตาเขย่ง เขี่ยรูปลอก โป้งแปะ(ซ่อนแอบ) งูกินหาง ม้ากระโดด ชักกะเย่อ โดดเชือก ตีแบต วิ่งเปรี้ยว ทอยเส้น(ทอยตุ๊กตุ่น) หมากเก็บ โดดยาง ตำรวจจับผู้ร้าย ไอ้เข้ไอ้โขง ตะล็อกต๊อกแต๊ก หมากรุก หมากข้าม หมากฮอร์ส Master Logic(ไฮโซมั๊ย) รถเด็กเล่น ตกปลา ลูกข่าง ปั่นแปะ ว่าว ขี่จักรยาน ขายของ โอ๊ยแยะแยะ จนยากจะจำหมด


ว่าแต่เขียนไปตั้งเยอะ รู้จักกันกี่อย่างเนี่ยะ ลองนับดูซิ