Sunday 27 December 2009

Heading to Lappland

และแล้วก็มาถึงกำหนดการการเดินทางไปแลปแลนด์แล้วครับ หลังจากนับถอยหลังมากว่าเดือน ในที่สุดการเดินทางในครั้งนี้ก็จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้

เลยมาเขียนบอกไว้ก่อนว่าจะหายหน้าหายตาไปสักอาทิตย์นึง แล้วเดี๋ยวกลับมาจะเอาเรื่องราว และรูปมาอวดให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน

กว่าจะกลับมาก็คงเลยปีใหม่ไปแล้ว ดังนั้นเลยถือโอกาสกล่าวสวัสดีปีใหม่ไปยังทุกคนทั้งที่ได้อ่านข้อความนี้และไม่ได้อ่านนะครับ ขอให้ทุกคนดำเนินชีวิตไปข้างหน้าอย่างมีสติ แล้วอย่าลืมแวะเวียนมาอ่านเรื่องราวของผมบ้างนะครับ

K-Jay

Drinks for Julfest

เรื่องราวของเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ยังไม่จบครับ


ตอนนี้อยากเล่าเกี่ยวกับเครื่องดืมในช่วงคริสต์มาสในสวีเดนอีกสักนิด


เครื่องดืมสำหรับเทศกาลคริสต์มาสตัวแรก คงไม่อาจข้ามไปได้ก็คือ ยูลมูส (Julmust) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวสวีดิชที่ต้องดืมยูลมูสในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ยูลมุสเนี่ยะตาวิกิพีเดีย ระบุว่าคิดค้นโดย Harry Roberts ในปี ค.ศ.1910 เพื่อเป็นทางเลือกในการดืมฉลองสำหรับผู้ไม่พิศมัยเครื่องดืมแอลกอฮอล์ในการเฉลิมฉลอง ทำให้ยอดของโคคาโคล่าในช่วงคริสต์มาสในสวีเดน ตกลงอย่างฮวบฮาบครับ















เครื่องดืมอีกอย่างที่อยากบอกกล่วก็คือ เกล๊อก โอ้ววว ไม่รู้จะเขียนคำอ่านอย่างไรให้ถูกตามหลักภาษาเนี่ยะ Glögg เป็นเครื่องดืมอีกตัวที่ทุกคนต้องลองครับ สำหรับ Glögg ชาวสวีดิชรับอิทธิพลมาจากชาวเยอรมันครับ เป็นเครื่องดืมคล้ายเหล้าองุ่นมั้ง แต่แอลกอฮอล์ไม่มาก แต่ก่อนกินเราต้องเอาไปอุ่นให้อุ่นๆ หน่อย แล้วเวลาดื่มก็ใส่ลูกเกด กับอัลมอนต์ ลงไปครับ






ดืมหร้อมขนมปัง Godjul สักนิด จะติดใจ (แต่ไม่ใช่ผมแน่ๆ 555+)

Boxing day

เมื่อวานนี้เป็นวันบ็อกซิ่งเดย์ครับ วันแห่งเทศกาลจับจ่ายซื้อของหลังวันคริสต์มาส ซึ่งเป็นเสมือนประเพณีของฝรั่งที่ว่าจะต้องใช้เงินจับจ่ายซื้อของในวันแรกในวันที่ 26 ธันวาคมของทุกปี และร้านค้าต่างๆ ก็จะพากันลดราคาครั้งใหญ่แก่บรรดานักช็อปตัวยง

แต่ทั้งนี้ทุกประเทศ หรือทุกเมืองก็ไม่ได้ต้องเฉพาะเจาะจงมาเริ่มกันในวันนี้นะ เพียงแต่ส่วนใหญ่เขาจะมีกิจกรรมนี้กัน อย่างบางเมืองเช่นในมาดริด ประเทศสเปน เขาก็จะเริ่มหลังปีใหม่ ราวๆ วันเด็กบ้านเรา หรือแม้แต่ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ก็จะเริ่มช้าไปจากวันบ็อกซิ่งเดย์สองสามวันเป็นต้น

หลังจากปีที่แล้วผมหมดเงินจำนวนมากไปในวันบ็อกซิ่งเดย์ที่มาลเม่อ ปีนี้ก็อย่าได้แคร์อีกเช่นเดิม เพราะนัดน้องๆ ออกไปช็อปกันแต่เช้า ตั้งแต่ร้านเปิดเลยก็ว่าได้ ปีนี้ตอนเช้าผู้คนยังไม่มากนัก แถมอากาศก็เป็นใจ หนาว มีลมแรง มีแดด ไม่เหมือนปีที่แล้วที่อากาศขมุกขมัว หมอกลงจัด และฝนตก

ปีนี้เป้าหมายเดิมตั้งไว้ที่ซาร่า แต่สินค้าของซาร่าปีนี้ของเสื้อผ้าผู้ชายไม่เข้าตาผมสักเท่าไหร่ ดังนั้นเงินส่วนใหญ่ในปีนี้เลยไปตกอยู่ที่ H&M ซะมากกว่า

ของที่ได้มาปีนี้ก็หลากหลายไป ได้กระเป๋าลดราคาจาก 249 SEK เหลือ 19.50 SEK มา 5 ใบ ได้เข็มขัดลดครึ่งราคา ได้มา 4 เส้น กางเกงยีนส์ 2 ตัว เสื้อ 2 ตัว ก็หมดไปราวๆ 650 SEK เห็นจะได้

แถมตบท้ายด้วยร้าน เอเชี่ยนโชว์ห่วย@Möllevånstorget ทั้งน้ำปลา น้ำหวาน ผัก ซอส เส้นหมี่ กิมจิ แล้วก็กลับมาบ็อปอีกเล็กน้อยที่ลุนด์ ICA อีกนิด

แบบว่าของที่ซื้อมาทั้งหมดเยอะมากๆๆ หนักสุดๆ แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ จะต้องขี่จักรยานกลับห้องนะซิ มืดแล้ว ไฟหน้าจักรยานก็ไม่มี

การจัดระเบียบจักรยานถูกจัดโดยของจากร้านเอเชี่ยนใส่เป้ แบกไว้บนไหล่ ของจากอีก้าใส่ตะกร้า ถุงกระเป๋าและเสื้อผ้าอีกสี่ใบก็เอาหนีบไว้ที่นั่งซ้อนด้านหลัง....

ทุกอย่างดูราบรื่น ทีเดียว..............


ขี่จักรยานได้มาสักพัก รู้สึกว่าถุงเสื้อผ้าเริ่มเอียงจะร่วง ตอนนั้นด้วยปัญญาอันชาญฉลาด เลยเอาถุงเสื้อผ้าทั้งหมดมาแขวนไว้ที่แฮนด์จักรยานแทน ว่าแล้วก็รีบปั่นกลับบ้านอย่างเร็ว โดยไม่ได้ฉุกคิดอะไรเล้ยยย


และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ แต่ดีที่ผมมีสติครบถ้วนครับ......



ถุงเสื้อที่แฮนด์จักรยานมันก็โต้ลมไปมา แล้วมันก็ไปสัมผัสเอากัลล้อจักรยาน ล้อเลยดูดเอาถุงเสื้อเข้าไปติดกับเบรคที่ล้อหน้า เมื่อถุงเสื้อยัดไปในล้อล้อหน้าก็หยุดกระทันหัน เมือนเราเบรคแค่ล้อหน้าหยุดกึ่ก


ทีนี้ล้อหลังพร้อมตัวผมก็ลอยขึ้นสิครับ แถมถนนก็ลื่นอีก จำได้เลยว่าตัวจักรยานมันลอยข้ามไปอีกด้านหนึ่ง ถุงของลอยไปตกที่ถนน ตะกร้าจักรยานลอยไปอีกด้าน แต่ไปตกตั้งอยู่ของด้านในเลยไม่หกออกมา แต่ที่แปลกคือตัวผมสามารถลอยข้ามจักรยานมายืนอีกข้างได้ไงอ่ะ งง????????? ดีที่ไม่รถตามมา เพราะเป็นถนนในซอย และมืดมาก


หลังตกใจแทบสินสติสมประดี ก็เริ่มเก็บของโน่นนี่ไปมารวมไว้ข้างทาง แต่ปัญหาคือถุงเสื้อและกางเกงยีนส์ ตอนนี้มันไปอยู่ในล้อหน้าอ่ะ ต้องทั้งดึง ทั้งถีบ ทั้งกระชากนานมาก กว่าจะยอมหลุดออกมาได้

จากนั้นก็เล็งเห็นได้ว่าความซวยใกล้มาเยือนแล้ว จำต้องกลับห้องภายในเวลาอันรวดเร็ว รีบปั่นจักรยานกลับมา พร้อมเหงื่อที่โทรมกาย

เฮ้อ......ตอนนี้ได้แต่ถอนหายในว่าเกือบไปแล้ว ถ้าเมื่อวานขาดสติสักนิดเดียว วันนี้ผมคงนอนแช่แป้งอยู่โรงพยาบาลเป็นแน่แท้

คิดแล้วห่อเหี่ยว ดังนั้นในปีใหม่นี้ผมเลยสัญญากับตัวเองไว้ว่า จะไม่ประมาทอีกแล้ว.....

Friday 25 December 2009

Apelsin

ผมจำได้ว่าผมเคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับส้มในสวีเดนไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปีที่แล้ว ในครั้งนั้นผมเล่าเกี่ยวกับส้มหลากพันธุ์ที่ประเทศนี้ เพราะด้วยเหตุที่ประเทศนี้ภูมิอากาศที่หนาวเย็น จึงเป็นการยากที่จะทำสวนทำไร่ ดังนั้นผลไม่ท้องถิ่นที่สามารถปลูกได้ คงไม่พ้นผลไม้เมืองหนาวทั่วไป ทั้งลูกพลับ แอปเปิ้ล องุ่น เป็นต้น

ผลไม้ส่วนใหญ่ที่นี่จึงต้องนำเข้ามาไม่เว้นแต่ส้ม หรือกล้วย

ช่วงหน้าหนาวเข้าคริสต์มาสแบบนี้ เป็นช่วงที่ผลผลิตส้มจำนวนมากเข้ามาในประเทศนี้ ดังนั้นส้มช่วงนี้จึงมีมาก หลากหลายให้เราเลือกกิน


แต่สิ่งที่ผมจะเล่าวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับส้มเสียทีเดียว แต่เป็นประเพณีอย่างหนึ่งของชาวสวีดิชไปแล้วครับที่ช่วงคริสต์มาสหากสังเกตตามหน้าต่างบ้านคนสวีดิช เราจะเห็นว่ามีส้มแขวนอยู่ที่หน้าต่าง ผมก็เลยชวนสงสัยไปสรรหาคำตอบมาน่ะครับ






ว่าที่จริงแล้ว ด้วยเหตุที่เรารู้กันอยู่ว่าประเทศนี้ไม่ได้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้หลากหลายพันธุ์เหมือนในเมืองไทย ดังนั้นการมีผลไม้กินเนี่ยะจึงเป็นสิ่งที่ประจักษ์ได้ว่าฉันน่ะมีอันจะกินน่ะซี ดังนั้นคนสวีเดนในช่วงคริสต์มาส เขาจะนำเอาส้มมาแขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อว่า คนผ่านไปมาได้รู้ถึงความมีอันจะกินของเจ้าของบ้านน่ะ แต่เวลาผ่านไปมานานโข ปัจจุบันแบบแผนนี้ก็มีความหมายเพี้ยนไปบ้างเป็นเรื่องของความมีอันจะกิน หรือเงินทองที่จะเข้ามาแก่เจ้าของบ้านนั้นเสียมากกว่าครับ


ป.ล. เรื่องนี้มีผู้แจ้งแถลงไขมาอีกที ผมก็ไม่รู้ว่าไปคุยกับสวีดิชท่านอื่นๆ มันจะเหมือนกับคนสวีดิชที่เล่าให้ผมฟังหรือเปล่า อย่างไรก็เอาเป็นว่าเป็นเกร็ดเล็กๆ ที่พอให้เราเข้าใจวิถีที่แตกต่างออกไปแค่นั้นพอ เพราะคนสวีเดนหากไปเจอชนบทไทย เอากระเทียมแขวนไว้ที่ประตูกันผีปอป สวีดิชก็อาจงงได้เช่นกันเนอะ!!!

Julafton

เมื่อวานนี้เป็นวนคริสต์มาสอีฟครับ ปีนี้ผมด็ยังคงอยู่ที่สวีเดนเช่นเดิมเป็นฟีที่สอง

ประสบการณ์จากปีที่แล้วสอนให้ผมรู้ว่าในช่วงคริสต์มาสพยายามหากิจกรรมร่วมเยอะๆ เพราะว่ามันจะไม่มีอะไรทำเลยในช่วงนี้ เมืองทั้งเมืองก็เงียบเหงาไปหมด

ปีนีสบโอกาสดีครับ ได้รับเชิญไปร่วมงานฉลองที่บ้านพี่เจี๊ยบ พี่สาวผู้ใจดีในเมืองลุนด์ พร้อมกับเพื่อนๆ อีกสามคน (ยุ้ย อ๋ำ และรักษ์) งานนี้ก็เลยได้เรียนรู้ประเพณีของชาวสวีเดนหลายเรื่องทีเดียว


ในวันคริสต์มาสอีฟ เนี่ยะเป็นวันครอบครัว เพราะทุกคนในครอบครัวจะมาทานอาหารและทำกิจกรรมร่วมกัน


งานเริ่มด้วยการรับประทานอาหารกันซักหน่อยกับเมนู้หลากหลายทั้งไทยและเทศ โดยเฉพาะไทยก็คือไก่ทอดหมูทอดพร้อมแจ่วววววว โอ้วววววว หายคิดถึงเมืองไทยไปได้โข








หลังอาหารหลัก ครอบครัวสวีดิชก็ต้องทำกิจกรรมร่วมกันตอนบ่ายสามโมงครับ เป็นประเพณีของเขาก็คือ การดูการ์ตูนครับ การ์ตูนจริงๆๆ เขามานั่งล้อมวงเพื่อดูการ์ตูนคริสต์มาสที่ฉายทางโทรทัศน์ทุกคริสต์มาสอีฟ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ตัดตอนมากจากหลายเรื่องทั้งโดนัลดั๊ก สโนว์ไวท์ ซินเดอเลร่า โรบินฮู๊ด เป็นต้น

หลังการชมการ์ตูน ก็เป็นเวลาของของว่าง ชา กาแฟ ขนม (จำชื่อไม่ได้ แต่เราเรียกว่าข้าวเหนียวเปียกสวีเดน ฮ่าๆๆๆ)

จากนั้นก็เป็นเวลาการมอบของขวัญแก่กันครับ ผมก็ได้ตุ๊กจตากวางมูซ พร้อมช็อกโกแลตมาจำนวนหนึ่ง


หลังจากกนั้นก็คือเวลาชิมแชทครับ คุยกันไปเรื่อยๆ เวลาเดินไปจนเกือบทุ่ม เวลาแห่งการ์ตูนก็เริ่มขึ้นอีกครับ อีกครึ่งชั่วโมง แล้วพวกเราก็ต้องขอตัวกลับบ้านกัน




และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่สวยงามและน่าจดจำของผม


ขอบคุณพี่เจี๊ยบ พี่สาวผู้ใจดี พร้อมเยี่ยะเข่น และน้องชายและคุณแม่ของเยี่ยะเข่นด้วยนะครับ ที่ทำให้ผมได้สัมผัสถึงความรักและความผูกพันในครอบครัว ที่ยังมีอยู่อย่างมากมายในยามที่ผมห่างไกลครอบครัวมากว่าครึ่งโลก รวมถึงเพื่อนๆ ทั้งยุ้ย อ๋ำ และรักษ์ ด้วยครับ


คริสต์มาสอีฟ ปีนี้ของผมจะเป็นปีที่น่าจดจำไปอีกนานเท่านาน

Sunday 20 December 2009

Mychet snö

ปีนี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แตกต่างไปจากปีก่อนมากมาย


ปีนี้หิมะตกที่ลุนด์มากกว่าปีที่แล้วเยอะ ตกมากว่าหกวันอย่งต่อเนื่องทีเดียว เล่นเอาระดับหิมะที่กองพะเนินอยู่ทั่วไปเนี่ยะสูงเอาๆ


ปีนี้ผมก็ได้ได้โอกาสชักภาพกับหิมะเป็นจำนวนมาก อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางคืนถึงขั้นยอมเดินลุยหิมะออกไปถ่ายรูปตอนก่อนเที่ยงคืนทีเดียว ก็เลยได้รูปมาหลายครับ ลองดูกัน



Friday 18 December 2009

Still snowing

สามวันผ่านมาแล้วที่หิมะตกอย่างต่อเนื่องในลุนด์


อากาศก็หนาวลงๆ เสียทุกวัน จนตอนนี้ไม่มากมาย เฉลี่ยนประมาณ -6 แต่ปัญหากลับไม่ได้อยู่ที่อุณหภูมิ แต่มันอยู่ที่หิมะ และลมที่แรงมากมายเนี่ยะน่ะสิ ทำให้ feel like ลบสิบกว่าๆ ไปแล้ว


เมื่อวานนี้ได้สบโอกาสดีเลยออกไปถ่ายรูปช่วงสายๆ ตอนที่หิมะหยุดไปสักพัก (@Lundagård)























สองภาพนี้จากใกล้ๆที่พักที่ Vildanden




แถมวันนี้สบโอกาสใส่ถุงเท้าสไตล์สแกนออกไปข้างนอกแระ แลยถ่ายรูปมาด้วย 555













แอบฮา เพราะลืมโรเทตรูป

Tuesday 15 December 2009

Snow

หิมะ.........ในชีวิตผม ตั้งแต่เป็นเด็กเวลาได้เห็นภาพ หรือได้ยินคนพูดถึงหิมะ ก็จินตนาการไปต่างๆ นาๆ คาดว่ามันน่าจะคล้ายกับน้ำแข็งในช่องแช่แข็งในตู้เย็นกระมัง


นิยามของหิมะ ในใจของคนคงไม่ต่างไปจากกันมากนัก คือ ขาว นุ่ม เย็น สะอาด หิมะจึงมักเป็นที่ปรารถนาของหลายๆ คนที่จะได้สัมผัสสักครั้งในชีวิต


ผมนั่งอยู่ในห้องของผม มองลอดหน้าต่างออกไปภายนอก ซึ่งขณะนี้ละอองหิมะค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกต่อภาพเบื้องหน้าไม่ได้ต่างไปจากการมองสายฝนที่ตกลงมามากนัก แต่สิ่งที่ต่างออกไป คือ ตะกอนที่ตกในใจตอนนี้


หลังฝนตกท้องฟ้าจะสดใส หากแต่หลังหิมะตกท้องฟ้าจะยังหดหู่ อึมครึม หาได้สดใสไปกว่าใจของผมขณะนี้ไม่

Snow is coming

ณ วันและเวลานี้ เมื่อปีที่แล้ว หิมะเริ่มตกไปแล้วในลุนด์ แต่ปีนี้หิมะมาสายกว่าปีที่แล้วครับ

หลังจากที่เกือบสามสัปดาห์ก่อนหิมะตกมาประปรายนิดนึง พอให้รู้ว่าหนาวแล้วผ่านไป ก็เพิ่งมีเมื่อวานนี้เองที่หิมะเริ่มตกอย่างเห็นได้ชัดเจน

แม้ว่าหิมะจะเพิ่งเริ่มตก แต่อากาศที่หนาวมานานประมาณเดือนนึง เห็นจะได้ ก็สร้างอารมณ์ที่หมองเศร้าให้ผมได้มากทีเดียว

ประเทศสวีเดนเนี่ยะเป็นประเทศที่ติดอันดับต้นๆ ที่คนประเทศนี้ฆ่าตัวตาย ซึ่งสาเหตุที่เขาว่ากันส่วนใหญ่มันไม่ใช่เพราะปัญหาสังคมหรอก แต่มันเกิดจากอากาศ สภาพอากาศที่หม่นหมอง ไม่สดใส ครึ้มทั้งวัน ขนาดผมแค่นั่งมองออกทางหน้าต่างยังเหงาจิตตกไปซะงั้นเลย

นี่ขนาดไม่มีสิ่งยั่วยุอย่างอื่นนะ

หากอากาศอย่างนี้ เปิดเพลงเศร้าๆ หน่อยนะ ไม่ต้องพูดถึง น้ำตาเนี่ยะ ไหลพรากๆ ประมาณนักแสดงยังอายเลย แล้วยิ่งมีเรื่องนิดหน่อย หรือดูหนังเศร้านิดหน่อยนี่ ประหนึ่งไปงานฌาปนกิจเต่ากันเลยทีเดียว ดังนั้นหนังต้องห้ามหากไม่อยากร้องไห้เป็นเผาเต่าเนี่ยะมีมากมาย ที่โดนมากับตัวเองนี่เยอะมากกกก โดยเฉพาะ autumn in my heart และ หนีตามกาลิเลโอ แทบหาปี๊บมารองเลย

สรุปมาอยู่ต่างประเทศเนี่ยะจากผู้ชายเข้มแข็ง ดั้นกลายเป็นผู้ชายอารมณ์อ่อนไหวไปได้ซะฉิบ

Friday 11 December 2009

I can read it, can't you?

I have received a forward mail from my friend entitle "Can you read?". Thia mail contains a article for you to read. It's interesting, so please try to read it carefully....

ถ้าคณุอาน่บทคาวมนี้ได้ คณุมีความคดิที่แขง็แรงพอสวคมรเลยนะ คณุอาน่ได้หรอืเลป่าล่ะ มีแค่ 55 คนจาก 100 เท่านนั้แล่หะที่อาน่ได้



ฉนัไม่อายกจะเชอื่เลยว่า ฉนัเข้าใจสงิ่ที่ฉนักำลงัอาน่อู่ยนี้ มนัเปน็ปฎกราากรณ์ของคาวมคดิของม์ษุยน ผลการศกึาษวจิยัจาก มวหายิทัาลย แบมคิร์จด ก่าลวว่า




มนัไม่สคำญเลยว่าตวัอรัษกเยีรงถตอ้กูงหรอืไม่ในคำคำหนงึ่ มนัสคำญแค่ว่า ตวัอษักรแรกและตวัอษกัรตวัสดุทาย้ของคำ นนั้อู่ยในตนำแห่งที่ถกูตอ้ง ที่เลืหอนนั้มนัจะมวั่ซวั่อ่ายงไร คณุก็อาน่มนัได้อู่ยดี ไม่มีปหญัา




ที่ เปน็อาย่งนี้เราพะคาวมคดิของมษุน์ยนนั้ ไม่ได้อาน่ตวัอษกัรทกุตวัซกัหอน่ย แต่อาน่เปน็คำเตม็ ๆ คำ สดุยอดเลยใช่มยั้ล่ะ...ใช่เลย แต่ยงัไงฉนัก็คดิว่าการสกะดมนัสคำญันะ



Can't you?

Lappland

ก่อนที่การเดินทางไปแลปแลนด์ของผมจะเริ่มขึ้น ขั้นตอนการหาข้อมูลการไปเที่ยวในครั้งนี้ก็ได้เริ่มขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว การไปเที่ยวครั้งนี้เป้าหมายในการเดินทางอาจมี wording หลายคำที่ทำให้ผมต้องทำการบ้านเพื่อให้การเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้สำเร็จผลตามที่ตั้งเป้าไว้ครับ

การบ้านแรกของผมสำหรับการเดินทางครั้งนี้คงไม่พ้น "LAPPLAND" ซึ่งผมคงต้องค้นคว้าหาข้อมูลเสียหน่อย


ครั้งแรกที่ผมได้ยินคำว่าแลปแลนด์ ก็ประมาณ 3 ปี ที่แล้วได้ ตอนนั้นผมไม่รู้แม้กระทั่งว่ามันคือที่ไหน มีจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ เพราะผมได้ยินชื่อนี้มาจากซีรี่ส์เกาหลีเรื่อง Snow Queen ผมจำได้เพียงว่าแลปแลนด์เป็นที่อยู่ของราชินีหิมะ แต่มันอยู่ที่ไหน ประเทศอะไร ผมไม่เคยได้รู้มาก่อน แต่จากภาพในละคร เห็นเพียงแต่ว่าแลปแลนด์เป็นดินแดนแห่งสีขาว เพราะว่าเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด


กระทั่งผมเดินทางมาที่สวีเดน ผมเริ่มศึกษาเชิงภูมิศาสตร์ของประเทศนี้ แล้วก็ฉุกเห็นว่าดินแดนบริเวณด้านเหนือสุดของสวีเดนนั้นเรียกว่า Lappland ซึ่งในที่นี้จะมีลักษณะคล้ายๆ จังหวัดก็ได้ แล้วมีเมืองอยู่มากน้อยต่างกันไปครับ อย่างที่ผมอยู่นี่เป็นเมืองลุนด์ ในดินแดนทางตอนใต้สุดของสวีเดนที่เรียกว่า สกอเน่ (Skåne)

แต่หารเราจะใช้ search engine หาแล้วเราจะพบว่าดินแดนที่เรียกว่าแลปแลนด์นั้นมีอยู่ทั้งในประเทศสวีเดน ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ โดยเป็นดินแดนตอนบนสูงสุดของแต่ละประเทศครับ แต่แลปแลนด์ที่ผมจะเดินทางไปนี้เป็น แลปแลนด์ของประเทศสวีเดนครับ

ดินแดนที่เรียกว่าแลปแลนด์นี้ หากจะย้อนประวัติศาสตร์ไปแล้ว เดิมเป็นดินแดนที่เชื่อมต่อกันทั้งสามประเทศคือสวีเดน นอร์เวย์ และฟินแลนด์ โดยในยุคกลางถือว่าเป็น No man's land ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของที่นี่คือชาวซามิ (Sami) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของสแกนดิเนเวีย ซึ่งรู้จักกันในชื่อชาวแลปป์ (Lapps)

นั้งจึงคลายความสงสัยไปได้ดีว่า Lappland ก็คือดินแดนของชาวแลปป์ หรือของชาวซามิ นั่นเอง

แต่หากว่าจะค้นคว้าต่อไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าดินแดนที่เรียกว่าแลปแลนด์นั้นนอกจะเป็นที่อยู่ของราชินีหิมะ ตามบทประพันธ์เรื่อง Snow Queen ของ Hans Christian Andersen (1805 - 1875) แล้วยังเป็นบ้านของ ซานตาครอส อีกด้วย (Lapland in Finland)

Next trip to Lappland, Sweden

โปรแกรมการเดินทางไกลครั้งต่อไปของผมออกมาแล้ว ครั้งต่อไปนี้เป็นการเดินทางขึ้นสู่ทางตอนเหนือสุดของสวีเดน ที่เรียกวา "Lappland' ช่วงวันที่ 28 ธันวาคม 2009 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2010 ครับ

เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของผมอยู่ที่การเดินทางไปยังเมือง Kiruna, Swedenเพื่อดูโรงแรมน้ำแข็ง ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเมือง Narvik, Norway และก็กลับมาที่ Abisko, Sweden เพื่อเข้าสู่เป้าหมายหลักในการเดินทางครั้งนี้ก็คือการดูแสงเหนือ (Northern light, AURORA) ที่นี่ครับ นอกจากนั้นก็คงจะได้มีโอกาสไปนั่งเลื่อนไซบีเรียนฮัสกี้ และการทดลอง Traditional moutain sauna ของ Lappland ครับ

การเดินทางครั้งนี้จะโดยสารรถไฟไปครับ ประสบการณ์การนั่งรถไฟกว่า 20 ชั่วโมงเพื่อไปดูแสงเหนือครั้งนี้ จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง และผมจะประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายหรือไม่ เดี๋ยวจะกลับมาเล่าให้ฟังครับ

หนุ่ย

My next trip is the trip to Lappland, the northest area of Sweden during 28 December 2009 - 3 January 2010.

The aims of this trip are visiting Ice Hotel in Kiruna, Narvik in Norway and Abisko in Sweden. However, the main objective of this trip is to see the Northern light (Aurora) at Abisko. Moreover, this is a good chance for trying dog-sled and traditional mountain sauna of Lappland.

I will go to Lappland by train, it takes more than 20 hours. I will write about this trip down here soon!

K-Jay

Saturday 5 December 2009

Similar questions

เนื่องในโอกาสวันพ่อ เลยอยากเขียนต่ออีกนิดหนึ่ง เรื่องคำถามเดิมๆที่ซ้ำซากและน่าเบื่อ


ผมได้เคยพูดคุย และมีโอกาสบอกเล่าแลกเปลี่ยนเรื่องราวความผูกพันในครอบครัวกับเพื่อนๆ น้องๆ อยู่บ้าง เลยคิดว่าอยากเอามาเขียนรวมกันไว้ที่นี่สักครั้ง

  • เคยไหมครับที่เวลาเราอยู่ห่างไกลพ่อแม่ ทุกครั้งที่เราโทรศัพท์กับไปหาท่าน เพราะกลัวท่านเป็นห่วง แต่พอโทรไปเราก็เราเบื่อที่จะต้องตอบคำถามเดิมๆ ทุกวันที่ถามเราว่า กินข้าวหรือยัง? วันนี้กินข้าวกับอะไร? อากาศหนาวไหม? เรียนยากไหม? ใกล้สอบหรือยัง? สบายดีไหม? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? จนบางครั้งลูกๆ รู้สึกว่าที่โทรมาเนี่ยะก็โทรมาไง ไม่โทรมาเดี๋ยวก็ว่าไม่ติดต่อมาเลย โทรมาก็ต้องมานั่งตอบคำถามเดิมๆ ทุกวัน
  • เคยไหมครับที่คุณออกจากบ้านไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ แล้วพ่อแม่โทรศัพท์มาว่าอยู่ไหน? (ก็มากินข้าวกับเพื่อนไง) เมื่อไหร่จะกลับ? (โอ้ยเพิ่งสี่ทุ่มเอง) กลับได้แล้ว.....ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว......ฯลฯ จนเรารู้สึกรำคาญ เพราะนี่ขนาดบอกแล้วว่าจะไปไหน เมื่อไหร่ กับใครบอกไปหมดแล้ว ยังโทรอยู่ได้
  • เคยไหมที่เวลาคุยโทรศัพท์กับพ่อแม่อยู่แล้วเบื่อแต่ยังไม่มีโอกาสตัดบท จนกระทั่งมีสายเรียกซ้อนจากเพื่อนโทรมาเม้าท์เล่น เลยได้โอกาสตัดบทกับเลิกคุยกับพ่อแม่ที่มักถามแต่เรื่องเดิมๆ คุยเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ไปคุยกับเพื่อนดีกว่า

ความคิดพวกนี้เคยเกิดขึ้นกับคุณบ้างไหมครับ?


แนวคิดในสังคมปลูกฝังว่าคำถามทุกคำถาม ก็ต้องการคำตอบ ลูกส่วนใหญ่เลยคิดว่าคำถามซ้ำซากเหล่านี้จากพ่อแม่ เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบแบบซ้ำซากเช่นกัน


คำถามซ้ำซากเดิมๆ ที่ถามลูก สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่คำถามเลยครับ หากแต่มันคือข้อความแสดงความห่วงใยของพ่อแม่ที่มีต่อลูกเท่านั้น ว่าลูกกินอิ่ม นอนหลับ สบายดีไม่ป่วยไม่ไข้ใช่ไหม บางครั้งคำถามที่ออกมาจากความรู้สึกนั้นก็ไม่ต้องการคำตอบหรอกครับ เพราะหากจะแปลความหมายของคำถามซ้ำซากเหล่านั้นออกมามันคงจะแปลออกมาได้ความหมายเดียวเท่านั้น คือ "พ่อแม่รักและเป็นห่วงลูกนะ"


หากแต่ลูกเสียอีกเคยแปลความหมายของคำตอบซ้ำซากที่ตอบออกไปยังพ่อแม่บ้างไหม ว่ามันคำตอบซ้ำซากเดิมๆ นั้นมีความหมายว่า "ผม/หนู ก็รักและเป็นห่วงพ่อแม่เหมือนกัน" หรือเปล่า?

Today is the Thai National Father day, so I want to write one more thing about "the similar boring questions"

I have ever had chances to share and exchange some experience regarding the family affairs with friends. I would like to write them down here.

  • Have you ever questioned that everyday why your parent always ask you the boring questions such as how are you?, have you had brakefast, lunch or dinner yet? and you have to answer the similar thing everyday?
  • Have you ever gone outside for the party with your friend and before midnight you parent call you for asking you that where are you now? when will you come back? and you have to answer that I am at the party and it gonna be over soon, don't worry?
  • While you are calling with you parent and suddenly your friend call you, then you finalize answering the same answer to your parent and then talk to you friend. Have you ever done like this?
Have you ever throught and done like this?

The educational system always teach us that every question requires the answer. Then similar questions of you parent always require the answers from you, similarly.

In my opinion, some kinds of question do not require the answer. Such questions from your parent do not require you to answer because all of those questions mean "I love you".

Thus, I would like to ask you as a son/daughter that have you ever meant your similar answers that you answer to your parent as "I love you too"?

Friday 4 December 2009

Happy Thai National Father Day

วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติครับ สุขสันต์วันพ่อครับทุกคน โดยเฉพาะพ่อของผม ปีนี้ก็ขอให้ท่านมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงตามวัยครับ


พอดีเป็นโอกาสวันพ่อ วันนี้ก็เลยอยากเขียนอะไรเกี่ยวกับพ่อของผมเสียหน่อย


เมื่อวันอังคารได้ดูรายการตีสิบ ช่วงคลิปที่นำเสนอคลิปชื่อว่า "พ่อครับ" หลายคนที่ดูอาจจะมีความรู้สึกจุกเหมือนผม เพราะว่ามันสะท้อนความเป็นจริงในสังคมออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้






ผมเลยอยากให้ทุกคนที่ได้ดู ใช้เวลาสักนิด เพื่อคิดถึงตัวเองว่าเคยกระทำอะไรในลักษณะนี้บ้างหรือไม่ อย่างน้อยหากคิดได้ว่าเคยทำแล้ว ก็หวังว่าจะได้คิดและแก้ไขกันบ้างนะครับ


"พ่อ" สำรับผมนั้น เป็นคำที่ยิ่งใหญ่นะครับ เพราะไม่ใช่เพียงเป็นผู้ที่ให้กำเนิด


ผมเติบโตขึ้นมาโดยการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากพ่อและแม่ของผม หลายคนอาจพูดกันว่าพ่อแม่คือผูให้กำเนิด ที่สำหรับผมแล้วทั้งสองท่านไม่ใช่เป็นเพียงผู้ให้กำเนิด หากแต่เป็นผู้สร้างชีวิต และช่วยประคับประคองให้ชีวิตของผมเติบโตขึ้นมาจนถึงวันนี้ จากวันที่ผมเองไม่สามารถแม่แต่จะยกหัวขึ้นมามองโลกใบนี้ได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยแขนของทั้งสองท่านประคอง จนวันนี้ที่ผมสามารถยืนมองโลกนี้ได้ด้วยตนเองอย่างเต็มภาคภูมิ แต่ทั้งสองท่านก็ยังคงยืนอยู่ข้างๆ เฝ้ามองลูกคนนี้ตลอดเวลา


พ่อแม่ปรารถนาดีต่อเรา เป็นห่วงเป็นใยและคอยเฝ้าดูประคับประคองเราตลอดมาตั้งแต่เด็กจนทุกวันนี้ แต่พอเราโตขึ้น เริ่มคิกว่าสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองไม่จำเป็นต้องอาศัยร่มเงา หรือความช่วยเหลือจากพ่อแม่ อีกต่อไป หลายคนกลับมองว่าสิ่งที่ท่านทำให้คุณมาตั้งแต่เด็กอย่างต่อเนื่อง มา ณ วันนี้มันกลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญไปเสียนี่.... ในทางกลับกัน หากพ่อแม่คิดเหมือนคุณว่าการดูแลคุณเป็นเรื่องน่าเบื่อน่ารำคาญ มันคงจะมีวันที่คุณจะได้มายืนเชิดหน้าชูคอแกร่งกล้าอย่างทุกวันนี้หรอก


ยิ่งชีวิตวัยรุ่นด้วยแล้ว เป็นช่วงวัยหนึ่งที่ทุกคนอาจมองข้ามคนที่ยืนมองอยู่ข้างๆ คนที่นั่งรออยู่ที่บ้านทุกวันหลังเรียนเสร็จ หากแต่กลับไปให้ความสำคัญกับเพื่อน แฟน หรือใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยแม้แต่จะเอื้อมมือมาประครองเราตอนที่เราล้มเมื่อเริ่มหัดเดิน......


ผมเองก็เคยมองข้ามสิ่งเล็กๆ ที่มันมีความหมายใหญ่หลวงนี้ไปเช่นกัน หากแต่ยังดีว่า วันนี้ผมได้กลับมามองและได้ให้ความสำคัญอย่างมากกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งผมเคยมองข้ามไปและจากวันนั้นผมได้ปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่า นับจากนี้ชีวิตทั้งหมดที่เหลือของผม ผมจะทำทุกอย่างอย่างเต็มที่เพื่อพ่อแม่ และครอบครัวของผม


จนทุกวันนี้ ผมยังคงเดินตามคำปฏิญาณนั้นเรื่อยมา และอยากบอกว่าผมรักอาปา อาม้า นะครับ และก็คิดถึงทุกคนมากด้วย