Monday 30 March 2009

Life and Hope


เคนจิ (Kenji) เป็นสุนัขพันธุ์โกลเดน รีทรีฟเวอร์ของผมครับ มันแก่แล้วก่อนที่ผมจะมาสวีเดน ผมก็คิดอยู่ว่ามันจะสามารถอยู่รอให้ผมกลับไปหามันหรือเปล่า แต่ชีวิตเราก็ต้องอยู่กับความหวัง เพราะความหวังต่อให้น้อยนิดมันก็คือแรงผลักดัน ให้ชีวิตเราดำเนินต่อไป การเดินทางโดยไม่มีความหวัง สำหรับผมก็คงหมายถึงการที่เครื่องจักรขนาดใหญ่เดินเครื่องไปโดยที่ฟันเฟืองหนึ่งอันขาดไป


เคนจิเป็นหมาที่น่ารัก สุภาพ อ่อนโยนครับ ผมรักมันมาก เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นหมาที่โดนย้ายที่บ่อย ตั้งแต่เด็กเคนจิเป็นหมาที่อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง พอจะลงหลักปักฐานสักที่ ก็มีอันจะต้องย้ายเสียร่ำไป เลยต้องย้่ายที่อยู่ตามเจ้าของที่เปลี่ยนหน้าเข้ามาหลายคนก่อนที่เพื่อนรุ่นน้องจะนำมาให้ผมเมื่อสิบปีก่อน




เมื่อเคนจิเดินเข้ามาในชีวิตผม

เคนจิเป็นหมาของเพื่อนที่เป็นรุ่นน้องที่ธรรมศาสตร์ครับ ผมเจอเคนจิครั้งแรกตอนนั้นย้อนไปสิบเอ็ดปีก่อนครับ วันนั้นเป็นตอนกลางคืน ผมนั่งรถไปกับเพื่อน และรุ่นน้องคนนี้ ถ้าจำไม่ผิดไปบ้านใครสักคนนี่แหละ แล้วรุ่นน้องผมก็อุ้มลูกหมาพันธุ์โกลเดนท์รีทรีฟเวอร์เข้ามาในรถ บอกว่าเพิ่งไปเอามาจากปัทมาฟาร์ม ตอนนั้นเคนจิตัวเล็กนิดเดียวเองครับ ส่วนชื่อก็มาจากเพื่อนของพี่เพื่อนสมัยนั้นอีกทีมั้ง เป็นคนญี่ปุ่น หรือมีเชื้อญี่ปุ่นเนี่ยะแหละ เขาเลยตั้งชื่อแบบสไตล์ญี่ปุ่นว่า เคนจิ

หลังจากนั้นเคนจิก็ออกจากสารบบผมไป กระทั่งเคนจิต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ และรุ่นน้องผมต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ เคนจิจึงถูกยกให้เพื่อนที่เป็นรุ่นพี่ที่คณะไปครับ


ตอนแรกนั้น เคนจิได้ถูกยกให้เพื่อนรุ่นพี่ผมไปแล้วครับผมจำได้และยังเคยบอกเพื่อนผมและเพื่อนรุ่นน้องเจ้าของเคนจิในตอนหลังเลยว่า ผมผูกพันกับหมาตัวนี้ วันหนึ่งผมนั่งรถผ่านศาลเจ้าพ่อเสือ ผมจึงคิดขึ้นมาว่า "ถ้าหมาตัวนี้ผูกพันกับผมจริงทำไมมันถึงไม่ได้มาอยู่กับผมล่ะครับ?"

หลังจากนั้นสองสามวันรุ่นน้องโทรมาหาผมว่าผมยังต้องการเคนจิอยู่ไหม เพราะรุ่นพี่ที่รับเคนจิไปเลี้ยง เขาเลี้ยงไม่ไหว ผมก็เลยบอกตกลงรับเคนจิมาครับ เลยเป็นอันว่าผมคงผูกพันกับเคนจิจริงๆ แหละ

วันที่ไปพบเคนจิอีกครั้ง เคนจิโตเป็นหนุ่มแล้วครับ ตัวใหญ่แล้ว แต่ผอมนิดหน่อย ผมไปรับที่บ้านรุ่นพี่ แล้วก็พากลับไปโรงเรียน เพื่อไปเอาข้าวของเครื่องใช้ และเสื้อผ้าของเคนจิมา

วันมาที่บ้านแรกๆ เคนจิก็โดนหมาเจ้าถิ่นอย่างฮ็อกกี้ หมาพันธุ์เกรตเดนของผมข่มเข้าให้ แต่มันก็ยอมมาตลอด ไม่เคยมีปากเสียง เหมือนเจียมตัวยังไงไม่รู้ ว่าไม่สู้ด้วยหรอก ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ผมว่าเคนจิเนี่ยะคงรู้สึกบ้างแหละว่าต้องย้ายอีกแล้วเหรอพอเริ่มคุ้นกับใครต้องมีอันต้องจากกันทุกทีไป แต่ตอนนั้นผมมั่นใจและให้สัญญามันว่ามาอยู่กับผมนะ ที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายของมัน มันจะไม่ต้องย้ายไปไหนอีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้แหละครับผมจึงพยายามให้ความอบอุ่นกับเคนจิ เล่นกับมันเสมอๆ เท่าที่โอกาสอำนวย


เคนจิกับฮ็อกกี้อริตัวฉกาจ

เคนจิไม่ค่อยถูกชะตาหมาเจ้าถิ่นอย่างฮ็อกกี้ แต่แม้ว่าจะไม่ถูกชะตากับฮ็อกกี้ แต่บ่อยครั้งมันก็ลืมความไม่ชอบหน้าหันหน้ามาเล่นชักกะเย่อสู้ก็อยู่บ่อยๆ ซึ่งฮ็อกกี้มันชนะ เพราะว่าแรงมันเยอะกว่า

เวลาผ่านไปผมมีหมาอีกตัวนึงชื่อโคลบี้เป็นหมาพันธุ์ปั๊ก โคลบี้มันรักเคนจิครับ เพราะมันนอนกรงเดียวกัน เวลาหน้าหนาวโคลบี้ก็จะมีที่นอนที่สบายกว่าใคร เพราะมันจะทุ่มตัวลงนอนบนขนปุยๆ ของเคนจิไงครับ โคลบี้จึงกลายเป็นเพื่อนคู่ใจเคนจิ ไปไหนก็ไปด้วย นอนตรงไหนก็นอนด้วย เวลาฮ็อกกี้รังแกเคนจิ มันก็คอยเห่าช่วย หรือไม่ก็มาเห่าเรียกผมหรือพี่ให้ไปช่วยเคนจิครับ

ต่อมาผมมีสุนัขอีกตัวชื่อเฟรโด้ พันธุ์ชิส์สุ โด้ก็ชอบเล่นกับเคนจิ หลายครั้งก็ปล่อยมันไปเล่นด้วยกันบ้างแต่ไม่บ่อย เพราะโด้เป็นหมาอภิสิทธิ์ เพราะผมเลี้ยงมันไว้ในบ้านน่ะครับ มันเลยมีอภิสิทธิ์กว่าหมาตัวอื่นๆ แต่ถ้าลองปล่อยออกไปเล่น มันก็อยู่ฝ่ายเคนจิอีกครับ ปล่อยให้ฮ็อกกี้หมาบ้าพลังเป็นหมาหัวเน่าตัวเดียว เวลาเคนจิโดนฮ็อกกี้รังแก โด้ก็จะช่วยโคลบี้เห่าเรียกพวกผมมาห้ามฮ้อกกี้เสมอๆ

เวลาผ่านไป แต่ฮ็อกกี้กับเคนจิยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน เคนจิยังเป็นลูกไล่่ให้ฮ็อกกี้เสมอๆ บ่อยครั้งอาจถึงเลือดตกยางออก อย่างครั้งหนึ่งใบหูเคนจิโดนฮ็อกกี้กัดจนเป็นรู จนสามารถเอาตุ้มหูมาใส่ได้เลย ครั้งหนึ่งฮ็อกกี้เหนียบขาเคนจิ จนมันขาหลังเดินกระเผลกไปหลายวันและไม่สามารถกระโดดได้อีกเลย ต้องอาศัยอุ้มมันเอาแทนเวลาจะเอาขึ้นบนที่นั่ง อีกหลายครั้งที่พอมันทะเลาะ ผมไปห้ามกลับโดนลูกหลง ไม่ว่าจะโดนเหยียบขาเคล็ด หรือชนมือซ้นจนต้องไปเอ็กซเรย์ โดนลูกหลงจากเขี้ยวจนเสียเลือด และต้องทำแผลไปหลายวัน

แต่อย่างไรเสีย เคนจิมันมีทางเลี่ยงครับ มันเห็นว่าฮ็อกกี้ตัวสูง ดังนั้นที่ๆ ปลอดภัยสำหรับมันก็คือที่เตี้ยๆ ใต้กรง ใต้โต๊ะ ใต้ต้นไม้ หรือใต้ท้องรถ (ซึ่งอันสุดท้ายนี่คือที่ประจำ) ซึ่งเมื่อจนแต้มทีไร มันจะค่อยๆ กระดึ๊บๆ เข้าไป ฮ็อกกี้ก็หมดปัญญาตามฆ่ามันได้ แต่ที่น่าปวดกะโหลกคือ พอมันออกมาขนสีครีมของมันจะกลายเป็นสีดำเสมอ เพราะคราบฝุ่น คราบน้ำมันใต้ท้องรถจะติดบนตัวมันเป็นแถบ ต้องมาอาบน้ำมันอีก


คุณชายเคนจิ

เคนจิเป็นหมามีการศึกษาเพราะก่อนมาอยู่กับผม เพื่อนรุ่นน้องเจ้าของเดิมพามันไปเข้าโรงเรียน ดังนั้นไม่แปลกใจว่าทำไมมันเรียบร้อย และว่าง่าย นี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งนั้นเอง สั่งนั่งก็นั่ง สั่งหมอบก็หมอบ สั่งคอยก็ไม่เคยคอยเลย เดินตามอย่างเดียว เพราะว่าพอดียังเรียนไม่ครบคอร์สน่ะครับ มันมาอยู่กับผมเสียก่อน แต่มันก็เป็นหมาที่ว่าง่ายจริงๆ นะ นี่ถ้าให้เรียนต่อจะคาบตะกร้าได้แล้วนะ ได้เอาไปจ่ายตลาดด้วย







เคนจิในความทรงจำของผม
  • เคนจิมีความสุขมากเวลาหน้าหนาว เพราะด้วยเขาที่หนานุ่ม เพียงแค่เสื้อกล้ามลายลิเวอร์พูลสีแดงตัวเดียว ก็ทำให้มันเท่ห์แล้ว ไม่ต้องอาศัยเสื้อผ้ามากมายเหมือนหมาขนสั้นตัวอื่นๆ
  • เวลากินข้าวหมาตัวอื่นจะสวัสดีกันครับ แต่สำหรับเคนจิเป็นที่รู้กันว่าเราจะสั่งให้มันเห่าแทน ดังนั้นถ้าหิว หรืออยากกินข้าวมันจะเห่าๆๆๆๆๆๆ
  • เคนจิมีความสุขมากเวลาอาบน้ำ (เหมือนฮ็อกกี้) เวลาจะอาบน้ำสักทีต้องระวังเพราะมันกับฮ็อกกี้จะแย่งกันว่าใครจะได้อาบก่อน และเคนจิมักถูกอาบก่อนเสมอเพราะขนเยอะ เลยทำใ้ห้ฮ็อกกี้ไม่ค่อยพอใจ เลยแค้นฝังหุ่นอยู่บ่อย จนสะสมเรื่อยๆ
  • เคนจิชอบกินผลไม้ครับ ก่อนมาอยู่กับผมมันชอบกินแอ๊บเปิ้ล แต่พอมาอยู่กับผมมันมาชอบกินกล้วย (หมาทุกตัวที่บ้านผมชอบกินกล้วยหมดแหละ) ประหยัดแถมได้คุณค่า
  • เคนจิเป็นหมาแพ้น้ำลายครับตัวเองครับ พอมันเลียมากๆ ตรงไหน ตรงนั้นก็จะอักเสบ แล้วก็ต้องพึ่งยาม่วง ตลอด ดังนั้นเคนจิมันมักตัวด่างด้วยสีม่วงตลอดเวลา พอเมื่อไหนทายาม่วง เราก็จะเอายาแต้มที่หน้าผากมัน (เป็นแต้มเจ้าแม่) มันคงคิดว่าเท่ห์มากเลย
  • เคนจิเป็นหมาชอบน้ำครับ ที่ไหนมีน้ำเจิ่งนอง ที่ไหนเป็นโคลนชื้นๆ หามันได้ที่นั่น จนบางทียอมขุดดินเพื่อฝังตัวนอนให้เย็นสบายในหลุมเลย
  • เคนจิเป็นหมาขี้กลัว (คงมีความหลังฝังใจมั้งครับ) อย่าว่าแต่ฮ็อกกี้เลย บางครั้งให้อาหารเม็ดมัน นกมาแย่งมันยังหนีไปมุดใต้โต๊ะแล้วเห่าไล่เลย จนบางทีคนถามว่าเคนจิเห่าอะไร ผมยังเคยตอบไปเลยว่า มันคงได้ยินเสียงใบไม้น่ะ
  • เคนจิจะมีความสุขมากเมื่อเราเล่นกับมันโดยไม่มีฮ็อกกี้อยู่ร่วมด้วย มันจะเป็นตัวของตัวเอง ร่าเริง กระโดดวิ่งแบบมีความสุขสุดๆ
  • เวลาเคนจิมีเห็บจะหาง่ายมาก เพราะขนของมันจะตั้งขึ้นบริเวณที่เห็บอยู่ แค่เอามือลูบๆ ไปก็จะเจอได้โดยง่ายครับ แถมเห็บชอบขึ้นบนหัวมัน จนเราคิดกันว่าที่มันชอบทำเบลอๆ เนี่ยะคงเพราะเห็บกินเลือดจากหัวสมองมันไปหมดแล้ว
  • เคนจิเป็นหมาทดลองการตัดผมของผม ผมบรรเลงฝีมือการตัดขนเคนจิมาหลายครั้ง บางครั้งแหว่งจนมันไม่กล้าเดินออกไปหน้าบ้านเลย คงคิดในใจว่าทำไมทำกับมันแบบนี้....ตัดได้อุบาทว์มาก
  • เคนจิโดยปกติ จะไม่ยอมถ่ายในกรงเลย ทั้งเบาและหนัก ทุกครั้งที่ถ่ายมันจะเป็นเพราะท้องเสีย หรือถ้ามันปวดท้องมันจะเห่าเรียกให้มาเปิดกรงให้มันเสมอๆ มาช่วงหลังๆ ที่แก่ตัวมันกลั้นไม่ค่อยได้ เลยถ่ายบ่อย ซึ่งถ่ายแต่ละครั้งเราก็ต้องล้างกรงทั้งหมด มันคงเห็นใจเราด้วยน่ะครับ
เหล่านี้เป็นเพียงความทรงจำของผมส่วนหนึ่งเท่านั้น เกี่ยวกับเคนจิ ยังมีสิ่งดีอีกมากมายที่อยู่ในความทรงจำของผม


เคนจิกับความหวังของผม

ก่อนมาที่สวีเดน ผมก็รู้อยู่แล้วว่าเคนจิน่ะ ไม่ค่อยแข็งแรง ด้วยวัยที่มากขึ้นด้วย ตาเริ่มฝ้าฟาง มองไม่เห็น แต่ก็ยังหวังไว้ว่าแค่แปดเก้าเดือน มันคงยังน่าจะอยู่รอจนผมกลับมาได้

เมื่อเดือนที่แล้ว พี่ผมเริ่มแจ้งข่าวมาบ้างว่าเคนจิสุขภาพไม่ค่อยดี ไม่ค่อยกินข้าว เท่าไหร่ ลุกไปไหนไม่ค่อยไหวแล้ว สามอาทิตย์ที่แล้วเคนจินอนมากไปจนเกิดแผลกดทับ และแผลอักเสบจากการที่ช่วงท้องอับชื้น เพราะมันไม่ยอมลุกไปไหน ต่อมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อนหมอเข้ามาดูอาการและเอาเคนจิไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล เพราะมันอ่อนแอไม่ค่อยยอมกินข้าวกินน้ำ หลังจากนอนได้สามวันผลตรวจร่างกายใหญ่ออกมาทุกอย่างสมบูรณ์เป็นปกติดี มันก็กลับมาบ้านครับ แล้วอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

จนกระทั่งเมื่อวานนี้มันเริ่มไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ นอน ไม่ยอมลุก แล้วเมื่อเช้านี้ เช้าวันที่ 30 มีนาคม 2552 มันก็จากไปครับ รวมอายุได้สิบเอ็ดปีเศษ


เคนจิกับการอยู่กับความหวัง

เคนจิก็คงเหมือนกับคนแหละครับ มันมีชีวิต มีจิตใจ มีความรัก มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ แม้ว่าร่างกายมันไม่ไหว แต่มันก็ยังคงยืนหยัดที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไป ไม่ท้อแม้หมดหวัง ยังคงกินเพื่อประทังชีพ ยังคงพยายามลุกเพื่อขับถ่ายบ้าง แม้ว่าลุกไม่ค่อยไหว แต่มันก็ยังยอดกลั้นฉี่ กลั้นอึ เพื่อออกมาปล่อยข้างนอก เราจะได้ไม้ต้องล้างกรง

เคนจิยังอยู่กับความหวังจนนาทีสุดท้ายของชีวิตครับ มันอาจท้อบ้างแต่มันก็สู้ครับ

หากจะถามว่าแล้วผมรู้ได้อย่างไรว่าหมาคิดอย่างไร ผมก็จะตอบกลับได้ว่า เคยไหมครับทุกคนที่เลี้ยงสุนัข เคยคุยกับเขาไหม หมาน่ะเข้าในเราทุกคำพูดนะ มองตาพวกเขาซิ คุณจะเข้าใจว่าเขารับรู้ในสิ่งที่เราพูด หมามันมีเซนซ์ครับ เวลาผมไม่สบายใจ ต่อให้หน้าผมยิ้มยังไง ซ่อนความรู้สึกอย่างไร พอกลับไปเจอพวกมัน มันจะรู้และเข้ามาตามติด ประหนึ่งอยากบอกให้ผมไม่ต้องคิดมากน่ะครับ

หากใครเคยเลี้ยงสุนัขด้วยใจ เขาจะเข้าใจมันด้วยใจโดยไม่ต้องสื่อผ่านด้วยคำพูดก็ได้ครับ แค่สัมผัสเท่านั้นที่สุนัขต้องการ และเราสามารถถ่ายทอดคำพูดเราผ่านภาษากายนี่แหละ ที่เขาสามารถรับรู้ได้

ดังนั้นอาจพูดได้ว่าเคนจิสู้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต และอยู่ต่อสู้เรื่อยมาอย่างมีความหวัง ผมไม่รู้ว่ามันหวังที่จะรอให้ผมกลับไปพบมันหรือเปล่า ขณะที่ผมรอด้วยความหวังที่จะกลับไปพบมัน ต่อให้มันไม่สามารถลุกมาวิ่งเล่นกับผมได้ เพียงแต่ผมได้ลูบหัวมันและได้บอกเล่าความรู้สึกของผมให้มันฟังบ้างก็พอแล้ว......


เคนจิกับวันนี้ของผม

วันนี้ร่างของเคนจิถูกนำไปฝังที่บ้านผมที่อ่างทอง ข้างๆ สุนัขตัวอื่นๆ ของครอบครัวผมครับ ไปอยู่เป็นเพื่อนกับไอ้น็อต (สุนัขพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด หรือ อัลซาเชียน) ไอ้หมี (สุนัขพันธุ์ทาง) และพิกะจู (สุนัขพันธุ์ชิส์สุ)

เมื่อเคนจิจากไป สิ่งที่เหลือไว้ตอนนี้กับผมก็คือความทรงจำอันดีระหว่างผมกับเคนจิ อย่างน้อยสิ่งที่ผมสัญญาไว้กับเคนจิผมตั้งแต่วันแรกก็ทำได้แล้วครับ กับสัญญาที่ว่า "ที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายของมัน มันจะไม่ต้องย้ายไปไหนอีกแล้ว" แม้ว่าผมไม่อาจทำตามสัญญาด้วยการอยู่กับมันจนวาระสุดท้ายของมัน แต่มันคงเข้าใจผมดี และคงเข้าใจความรู้สึกของผมตอนนี้ดีเช่นกันว่าผมรู้สึกอย่างไร


.................................................

เขาว่ากันว่าการเกิดเป็นสุนัขนี้เป็นการใ้ช้กรรมในช่วงท้ายๆ ที่ใกล้จะหมดกรรมแล้ว เพราะมันได้อยู่ใกล้ชิดคนมาก ก็อาจเป็นไปได้ว่าหากมันตายแล้วอาจจะได้เกิดเป็นคน ผมไม่รู้ว่ามันจะจริงหรือไม่เพียงใด หากไม่จริงตามนั้นผมก็หวังว่าหากภพหน้ามีฉันใด ก็ขอให้มันไปเกิดในภพในภูมิที่ดีกว่านี้ และอย่าเกิดมาเป็นสุนัขอีกเลย หรือหากเป็นจริงตามที่ว่ากัน ผมก็อยากให้เคนจิเกิดมาด้วยความพร้อมในทุกด้าน และได้เกิดมาอยู่เป็นหลักแหล่งในครอบครัวที่สมบูรณ์ และมีความสุขมากๆ แต่มันก็คงจะจำผมไม่ได้แล้ว หรือหากไม่เป็นดังว่า สักวันเราคงได้พบกันไม่ที่ไหนก็ที่หนึ่งครับ

..................................................


เชื่อไหมครับ เมื่อวานผมมีความรู้สึกว่าเคนจิจะจากไปทั้งวัน เมื่อคืนนี้ผมนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แต่ในใจกลับรู้สึกคิดถึงเคนจิ รู้สึกหวิวๆ เหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับผมสักอย่าง ผมเลยนั่งฟังเพลง "แค่ได้คิดถึง" ครับ ผมชอบและผูกพันกับเพลงนี้มานานแล้ว ยิ่งฟังยิ่งคิดถึงเคนจิ กระทั่งเมื่อเช้าพี่ผมโทรศัพท์มาที่เครื่องผม พอเห็นว่าโทรมาจากประเทศไทย ผมก็ต่อโทรศัพท์กลับบ้านทันที โดยตลอดเวลาที่รอการต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต ในใจของผมคิดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือเรื่องของเคนจิ และแล้วทันทีที่แม่ผมรับโทรศัพท์ มันก็เป็นตามที่ผมคิดครับ มันจากผมไปแล้วจริงๆ


................................................

ส่วนบทสรุปของเคนจิ สำหรับผม ณ ตอนนี้ ก็คงเหมือนตอนจบของเพลงๆ นี้ครับว่า "........แค่ได้คิดถึง ก็เป็นสุขใจ และจะคิดถึงเธอตลอดไป"


เพียงแค่หลับตา นึกถึงความทรงจำดีๆ ระหว่างผมกับเคนจิ ผมก็สามารถยิ้มได้อย่างเป็นสุขใจแล้วครับ หากเพียงแต่คงต้องอาศัยเวลาอีกสักพักที่จะทำให้ทุกครั้งที่หลับตานึกถึงเคนจิผมจะสามารถยิ้มยิ้มได้โดยปราศจากน้ำที่ไหลออกมาจากสองตา


ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ เพื่อมอบให้แก่ความทรงจำดีๆ ในชีวิตของผม กับเพื่อนของผมตัวนี้ "เคนจิ"


หนุ่ย

4 comments:

ae said...

ช่วงนี้ยุ่งๆไม่ได้มาทักทายซะนาน
อ่านแล้วเศร้าเลยค่ะ นึกออกเลยT^T
เคนจิก็ดูรักเจ้าของมากเลยนะคะ

kitmarc said...

ครับ ขอบคุณครับ

Anonymous said...

เศร้าจัง (แอบร้องไห้)ตามประสาคนเคยเลี้ยงหมาที่เศร้าทุกครั้งที่มันตาย จนในที่สุดก็เลิกเลี้ยงไปเลย

จำได้ตัวก่อนตัวสุดท้าย เป็นหมาเด็กเบบี๋ 2 เดือน เพราะเป็นหมาเทศตัวแรกที่เลี้ยงยังไม่มีความรู้ ถูกยุงกัด เป็นไข้สมองอักเสบ ไม่สบายมากร้องครางหงิ๋งหงิ๋งตลอด เฝ้าจนทนดูไม่ไหว ทำใจไม่ได้ ต้องให้แม่ดูต่อ พอเช้ามามันก็จากไป

อีกตัวเลี้ยงตอนอยู่ประถม ชื้อปุ้มปุ้ย ไม่มีพันธุ์ ตัวสีขาว เมื่อยังเด็กตัวอ้วยปุกปุย เลยได้ชื่อว่าปุ้มปุ้ย
ถูกรถชน แต่คิดว่าไม่เป็นอะไรเพราะมันก็ดูปกติดี
แต่พอเช้ามาก็ตัวแข็งไปแล้ว
จำได้ว่าหยุดเรียน อุ้มมันเดินร้องไห้ฝ่าฝนไป 2ป้ายรถเมล์ไปบ้านป้า เอาไปฝังเอง ฝังไปร้องไห้ไป ทุกครั้งที่ไปบ้านป้า หรือเหงาก็จะแวะไปเยี่ยมพร้อมเอาดอกไม้ไปฝากเสมอเสมอ

พอแหละ เดี๋ยวน้ำท่วมจอคอม

นิชา

kitmarc said...

Thank you นิชา ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ความสูญเสีย แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ไว้เจอกันที่เมืองไทยเร็วๆ นี้