Saturday 31 January 2009

It's free

เมื่อวานนี้เป็นวันแนะนำ Unions & Nations ให้กับนักศึกษาใหม่ครับ ไอ้สองอย่างนี้ก็คล้ายๆ กับชมรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัยน่ะครับ ดำเนินการโดยกลุ่มนักศึกษา มีนักศึกษาใหม่มามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาใหม่ แต่ในงานนี้ผมนักศึกษาเกือบใหม่ก็ได้ไปร่วมงานมากับเขาด้วย ด้วยเหตุผลที่น่าคิดหลายประการครับ







ในงานมีวงโยธวาทิตมาบรรเลงเพลงด้วย แหมที่เทอมที่แล้วไม่เห็นค่อยมีอะไรเลย เทอมที่แล้วก็มีโอกาสมาเหมือนกันแต่ว่ามันจะปิดแล้วก็เลยไม่ค่อยมีอะไรมากมาย ปีที่แล้วได้มาอย่างเดียวเอง อะไรน่ะเหรอ เดี๋ยวเฉลยครับ






คราวนี้ตั้งใจมาเต็มที่เลย แต่งตัวแอ๊บเป็นนักศึกษาใหม่เต็มที่ แบบว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ใหม่ๆ ไม่คุ้นที่ทางน่ะ แล้วไอ้ที่มาเนี่ยะก็ไม่ได้ใคร่รู้เรื่องของยูเนี่ยน เนชั่น ของนักศึกษาแต่อย่างใดนะครับ




แต่ไปเพราะไปเอาของแจก อิอิ งานนี้เขาจะมีการแจกของหลายอย่างน่ะครับ ของกินของใช้ บัตรลดราคาต่างๆ



สรุปหลังจากเดินเข้าออกงานซะสามรอบได้้สมุดจดมา 2 เล่ม พวงกุญแจ ปากกา โค้กแคน แถมด้วยของเดิมๆ ได้ทุกเทอมครับอะไรน่ะเหรอ




คอนดอมถุงยางนะสิ อิอิ เนี่ยะว่าจะสะสมเอาไปฝากเพื่อนชาวไทย ว่าเป็นถุงยางไซส์สวีดิช เฮอๆๆๆๆ

Friday 30 January 2009

Swedish Learning Process

การได้มาเรียนที่ประเทศสวีเดน เป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับผม สำหรับการเรียนการสอนหนังสือในประเทศสวีเดนนั้นแตกต่างจากระบบการศึกษาของประเทศไทยมากครับ



อย่างแรก ระบบการศึกษาที่นี่เน้นให้ผู้เรียนให้มีส่วนร่วมมาก เน้นการทำงานร่วมกัน เน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น




การประเมินผล ก็จะเน้นที่ผลลัพธ์ของการทำงานร่วมกันมากกว่าการมานั่งสอบปลายภาค คะแนนส่วนใกญ่จะถูกกระจายไปที่กิจกรรมต่างๆ ที่ถูกผนวกเข้ามาในรายวิชา ทั้งการสัมมนา เวิร์กช็อบ พรีเซนต์ การโต้เถียงโต้แย้งกัน การ mooting ส่วนการสอบปลายภาคจริงๆ จึงไม่ค่อยทำให้นักศึกษาเครียดมากนัก



แต่สำหรับการศึกษาของประเทศไทย การให้น้ำหนักในการวัดผลสัมฤทธิ์ ยังคงอยู่ี่ที่การนั่งทำข้อสอบสามสี่ชั่วโมง โดยการจำเรื่องราวมาแล้วเอามาตอบ ซึ่งตรงนี้จะต่างอย่างมากกับระบบการศึกษาที่นี่ โดยเฉพาะการเรียนกฎหมาย ที่นี่เน้นในตัวกระบวนการของการเรียนการสอน คือให้นักศึกษาเข้าร่วมตามกระบวนการ ไม่เ้นนที่การมานั่งทำข้อสอบเลยครับ




แถมหากสอบตก ก็สามารถสอบแก้ตัวได้อีกครั้งหนึ่ง มำให้การเรียนการสอนที่นี่ เด็กจะขยันและเครียดในการเรียน แต่พอถึงช่วงสอบจะผ่อนคลายมากขึ้นครับ

Thursday 29 January 2009

สวีเดน: ประเทศปลอดภัยประเทศหนึ่งของโลก 3

ประเทศสวีเดน เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดประเทศหนึ่งของโลก




แต่จริงหรือ?????




ที่แน่ๆ สำหรับความปลอดภัยในการอาศัยอยู่ที่ประเทศนี้ก็คือ ถ้าพอจะจำกันได้




สมัยที่กลุ่ม Al Quida อัลไกด้า ก่อเหตุโจมตีอเมริกา กลุ่มผู้นำได้ออกมาบอกว่า เราสามารถโจมตีได้ทุกที่ แต่ยกเว้นประเทศสวีเดน อ้าววววว!!!!!!!! ทำไม



ก็ไม่ทำไมหรอกก็เพราะกลุ่มอัลไกดา เขามาอยู่ที่ประเทศเสรีสวีเดนนี่ไง ประเทศเสรีสวีเดน จึงเต็มไปด้วยพวกตะวันออกกลาง ซึ่งเดินสวนกันไปมาก็ไม่รู้อ่ะว่าเป็นผู้ก่อการร้าย (ทีนี้รู้ยังว่าทำไมมาอยู่นี่ผมไม่สู้คน อิอิอิ)





แม้แต่เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ กลุ่มพูโล (PULO) หรือกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ยังอยู่ที่ประเทศสวีเดนเลย เท่าที่พอรู้ๆ มา เวลาเขาประชุมกันก็มาที่นี่ อย่างตอนรัฐบาลไทยมาเจรจาเรื่องความไม่สงบในภาคใต้ยังลงทุนบินมาคุยมาประชุมกันที่สวีเดนเลย



แถมอีกนิดว่านอกจากผู้ก่อการร้ายชอบมาอยู่ที่ประเทศเสรีสวีเดน แล้ว ยังต้องเน้นอีกนิดด้วยว่า เมืองที่เขาชอบมาอยู่กัน ก็ไม่ใช่เมืองไกลที่ไหน ลุนด์นั่งเองครับ ก็เมืองที่ผมอยู่เนี่ยะแหละ




ปลอดภัย อุ่นใจจริงๆ ยังไง๊ ยังไง ก็ไม่น่ามีการถล่มด้วยอาวุธที่นี่!!!!!

Pity Day

วันนี้เป็นวันที่น่าสงสารของผมครับ ทำไมน่ะเหรอ????




วันนี้ออกจากหอเดินไปเรียน ก็สบายๆ หนาวเหมือนกันครับ ลบหนึ่ง เดินไปจนถึงไฟแดง เจอคุณป้าขี่จักรยานมาแล้วก็จอดติดไฟแดง คุณป้าก็มีอายุแล้วน่าจะสักห้าสิบกว่า ทีนี้พอไปเขียวไม่รู้อีท่าไหน แกขึ้นจักรยานแล้วมันล้มควำ่อ่ะ คุณป้ากลิ้งหลุนๆๆๆๆ ลงไปนอนกลางถนน โอ้วน่าสงสาร





ต่อมาผมก็เดินอยู่ในเมือง ก็มองไปอีกฟากของถนนมีคุณป้าอีกคน กำลังเดินมาปกติ อยู่ แกก็เดินตกลงถนนล้มกลิ้งหลุนๆ มาบนถนน โอ้วน่าสงสารอีกแล้วอ่ะ





ผมก็ต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้เลยทำให้ปลงว่าชีวิตคนเรานี่มันก็ไม่แน่นอน เผลอแป๊บเดียวแก่ซะแล้ว ต้องดูแลตัวดีๆนะทุกคน นี่ก็อายุมากขึ้นอีกคนละปีแล้ว




แถมผมต้องเดินกลับบ้านมาเมื่อยขาไปหมด เพราะลมแรง นี่ก็น่าสงสารเช่นกันครับ คริคริคริ

สวีเดน: ประเทศปลอดภัยประเทศหนึ่งของโลก 2

ประเทศสวีเดน เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดประเทศหนึ่งของโลก




แต่จริงหรือ?????




หลังจากเหตุการณ์ครั้งแรกไม่นาน ร้องเด็กไทยที่มาเป็นอาสาสมัครช่วยงานนิทรรศการ ก็ถูกลักกระเป๋า หมดตัวเลยทีเดียว ทั้งเงิน ทอง ของใช้ทั้งหลาย




ต่อมาก็เป็นกรณีน้องนักศึกษาไทยอีกคน มีจักรยานก็แสนจะเก่า แต่ทว่าก็ยังสามารถถูกขโมยไปได้ อีกเช่นกัน



แถมเมื่อตอนหน้าหนาว หิมะตกขณะเดินกลับหอ ผมก็พบเจอเข้ากับปฏิบัติการขโมยจักรยานเข้าอย่างเต็มๆ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งอ่ะ กลับโดนเสียบ




อีกอย่าง ใช่ว่าจะมีเฉพาะที่เมืองไทย สำหรับเหตุการณ์ที่เราๆ มักเจอคนเข้ามาของเิน เพราะว่าตกรถ กลับบ้านไม่ได้ มาที่นี่วันแรกๆ ผมก็เจอที่สถานีรถไฟ เข้ามาถามว่าพูดภาษาอังกฤษได้ไหม พอตอบว่าได้ มันก็บอกเลยว่าตกรถจะกลับโคเปนเฮเกน ไม่มีตังค์ ขอหน่อย เอากันดื้อๆ อย่างนี้เลย เดินหนีก็เดินตาม



โอ้วววว ความมั่นคงในชีวิตถูกคุกคาม......




นี่แหละหนา ประเทศที่ปลอดภัย จริงหรือ??????

สวีเดน: ประเทศปลอดภัยประเทศหนึ่งของโลก 1

ประเทศสวีเดน เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดประเทศหนึ่งของโลก




แต่จริงหรือ?????



แรกเริ่มเดิมที มาประเทศนี้ก็คิดว่าคงไม่น่าจะมีความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมาเยือน....





แต่งานแรกที่เจอกับตัวก็คงเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ train hostel นั่นเองครับ




การถูกรื้อค้นทรัพย์สินและเสื้อผ้าที่เกิดขึ้นที่โฮสเทล คงน่าจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยืนยันว่า ลองไปอ่านกันดูอีกครั้งที่นี่
http://kitmarc.blogspot.com/2008/09/train-hostel-in-my-memory.html




จริงหรือ ????

วุ้ย......บัดสีบัดเถลิง (เรท X เด็กห้ามอ่าน)

เรื่องนี้สดๆ ร้อนๆ วันก่อนไปกินข้าวกับน้องๆ มาในวาระตรุษจีน ก็เลยได้คุยกัน




เรื่องมีอยู่ว่ามีน้องเขาเดินกลับห้องน่ะ ผ่านข้างตึกก็เห็นหนุ่มสาวยืนคุยกัน กอดกัน




แหมบางคนอาจคิดว่านี่นะเหรอบัดสี นี่มันเรื่องปกติของฝรั่งมังค่า




น้องเขาก็เดินขึ้นไปที่ห้อง มันก็ยังยืนจูบกัน (นานแล้วนะ)




ก็ไม่เท่าไหร่ ใช่ไหม




ทีนี้น้องมันแบบว่าห้องอยู่ตรงนั้นพอดีไง มองเห็นได้จากหน้าต่าง ตอนนี้ผู้ชายมันยืน แล้วผู้หญิงมันนั่งข้างหน้าผู้ชาย (วุ้ยยยยย เริ่มเข้าเค้า)




ใช่แล้วครับ ท่านผู้ชม มันทำอย่างว่ากันในสวนข้างตึกที่พักนักศึกษา ที่โล่งแจ้ง.......




ทำอะำไร เอาให้ชัด ที่ว่าบัดสี????????




บ้านเราเรียกว่าโอษฐกาม ครับ ชื่อเพราะมั๊ย โอษฐกาม




แหม ไอ้ผมก็ โอ้ย จริงเหรอ โม้ป่าว




น้องมันบอกจริงดิพี่ ผมถ่ายคลิบไว้ แหมมันต้องพิสูจน์ว่าแล้ว ก็ต้องแปลงร่างเป็นหน่วยสืบราชการลับ พิสูจน์คลิปกัน




สรุป เรื่องจริงอ่ะ แม้ว่าจะไม่เห็นหน้าที่อากัปกิริยามันใช่ หลายคนอาจสงสัยแหมแล้วมันมืด จะมั่นใจได้ไงว่าใช่





อ่อ คำตอบก็คือ





มันทำกันตอนกลางวันครับ สว่างจ้าเลย




วุ้ยยยยยย.............บัดสีบัดเถลิง

Suphanburi, Sweden

เคยมีคนสงสัยว่า ประเทศไทยเนี่ยะพูดภาษาไทย แล้วสำเนียงภาษาไทยที่ไหนเหน่อที่สุด




ตอบง่ายๆๆ สุพรรณบุรีไงครับ





แต่ถ้าจะถามว่าประเทศสวีเดน แล้วเขาพูดภาษาสวีดิชกัน ภาษาสวีดิชที่ไหนเหน่อที่สุด





ตอบง่ายๆ อีกแล้วก็สวีดิชที่แถบ สกอเน่ นี่ไง เหน่อที่สุด




ดังนั้นมาอยู่ที่เมืองลุนด์ ในสกอเน่ ภาษาสวีดิชจึงเน๊อเหน่อ





วันก่อนได้ไปสนทนากับน้องๆ ที่เขามาจากสต็อกโฮล์ม ลองเทียบสำเนียงภาษาดูแล้ว เหน่อจริงๆ ด้วย




ตัวอย่าง บอกว่าสวัสดี คุณเป็นอย่างไรบ้าง (Hello! How are you?) ภาษาสวีเดนใช้ว่า "Hej hej! Vod gör du?"



สต็อกโฮล์มพูดว่า "เฮ้ย เฮย ว้อด หย่อ ดู๋"
ลุนด์พูดว่า "เฮ้ย เฮย หวอด หย่อ ดู๊"




สุพั้น สุพัน คริคริคริ

Jeans

ที่ประเทศสวีเดนเนี่ยะ คนเขาก็นิยมใส่กางเกงยีนส์กันครับ แต่ด้วยที่นี่มันหนาวดังนั้นเขาจะนิยมใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟกันครับ




คนที่นี่ผู้ชายเขาไม่ค่อยมีความมั่นคงในชีวิตครับ เพราะขาเล็กมากถึงมากที่สุด เหมือนตะเกียบเดินโย่งโก๊ะมากันเลยทีเดียว สู้ขาล่ำๆแบบเอเชี่ยนไม่ได้ รากฐานมั่นคงแข็งแรง อิอิ




ดังนั้น จะให้คนที่ขายาวเรียวงามอย่างผมใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟ มันคงจะแปลกพิลึก นึดสภาพตอนป้าย่นห่อแหนมได้เลย





ไม่ว่าจะ Nudies Jeans หรือ Cheap Monday ผมก็หมดโอกาส เอาคววามหวังไปฝากกับ Replay Diesel หรือ Levi's ก็แพงเหลือเกิน





แต่เมื่อวานไปเดินร้านขายของมือสองครับ ไปเจอกางเกงยินส์ดีเซล สภาพดีมาก ปกติในร้านตัวนึงก็ประมาณ 6,000 - 7,000 บาท แต่วันนี้ในร้านมือสองราคา 200 บาท




โอ้ววววว เลยต้องซื้อเลยซิครับ




และแล้วผมก็ได้กางเกงยีนส์ตัวแรกในการมาอยู่ที่ประเทศสวีเดนครับ

ลูกอีช่างเก็บ

อาทิตย์นี้หน้าที่ทำึความสะอาดครัวเป็นหน้าที่ของผมครับ




อย่าให้พูด จะหาว่าโม้ มันน่าจะเป็นสัดาห์ที่เพื่อนๆ ร่วมหอมีความสุขมากที่สุด เพราะว่าครัวจะสะอาดมากครับ เพราะผมขยันไปล้างไปเก็นทำความสะอาดตลอด




แต่ผมล้างเฉพาะส่วนกลางพวกซิงค์ หรือเช็ดโต๊๊ะนะครับ ส่วนจานชามกระทะทั้งหลาย ของใครของมัน





ว่าแต่อีพวกสวีดิชนี่ กินกันแล้วมันชอบเก็บครับ หมักกองไว้ที่เคาเตอร์ของแต่ละห้อง ไม่ล้าง ไม่เก็บ รอสักสามวันมันล้างกันที บางวันราขึ้นแล้วอ่ะมันค่อยล้าง




ไม่เข้าในจริงๆ อีกคนนึงมีช้อน ช้อนส้อม มีด สำหรับกินอาหารของตัวเอง มันกินแล้วก็แช่ทิ้งไว้ในหม้อ จนหมดครบทุกอันทั้งช้อน ส้อม มีด แล้วมันค่อยล้างทีนึง สงสัยมันกลับช้อนเก่าไม่เท่ากันมั้ง เลยต้่องใช้ทุกคัน




เบื่อจริงๆ พวกลูกอีช่างเก็บ

จ๊ากกกกกกกกก

วันนี้อารมณ์ดีกะว่าจะทำของอร่อยกินซะหน่อย




ว่าแล้วในตู้เย็นมีหมูกระเทีียมพริกไทยอยู่ หมักเอาไว้หลายวันแล้ว ก็เลยคิดว่าน่าจะได้โอกาสโชว์พาว โดยการกินหมูอบ




ปฏิบัติการเตรียมการอบหมูก็เริ่มขึ้น ตั้งแต่การวอร์มเตาอบ และการบรรจงเรียงหมูลงในถาดเพื่อเข้าอบ นี่ขนาดยังไม่เข้าเตานะ ท้องก็ร้องซะแล้ว





ต้องอร่อยมากแน่ๆๆๆๆๆๆ





อบไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงกว่า ก็บรรจงเปิดเตาอบออกมาชมผลงาน ว่าจะงามเพียงใด (แบบยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย คริคริคริ กะว่าเอาออกมาพวกเพื่อนสวีเดนร่วมหอได้ทำจมูกฟุดฟิด กับกลิ่นอันตลบอบอวนแน่ๆ)




จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก




จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก




จ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก





ด้วยความสะเพร่า ดันไม่ใส่ถุงมีให้ดี แขนเลยนาบเอากับขอบเตาอบ โอ้วววววววว น้ำตาแทบเล็ด ยกแขนมาดูอุ้ยแหมเนื้อเรียบแปล้เลย ขนแขนหายไปเลย แถมมันเหมือนว่าจะะสุกเลยนะนั่น




แต่ด้วยมีเพื่อนชาวสวีดิชนั่งอยู่ในครัวด้วย เลยต้องทำแบบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โอ้วววววว แถวบ้านแแค่นี้เรียกว่าเรื่องจิ๊บๆๆๆๆๆๆๆๆ





หมูเหมอ ไม่ดูแระ หมดอารมณ์อบมันต่อไปเลย ไหม้ก็ช่าง ท้องเทิ้งอิ่มจุกอกขึ้นมาทันใด ตอนนี้ต้องรีบกลับห้องอย่างเร็ว ด่วนๆๆๆๆๆ





นี่ถ้ากัดปากได้ตอนนี้คงเลือดทะลักแล้ว





แถมวันนี้ดันรู้สึกว่าห้องทำไมมันไกลจังวะ???




กลับถึงห้องตาพร่า ไม่รู้เอาไงดี แหมว่านหางจระเข้ก็ไม่มี





และแล้วพลันนึกได้ว่าก่อนมาหม่อมแม่ได้เจียดบัวหิมะมาให้ด้วยตลับนึง โอ้ววววว พระเจ้าจอร์จ





รีบป้ายเอาบัวหิมะมาโปะทันใด โดยไม่กลัวเปลือง





ผ่านไปวันนึงแล้ว อาการดีแล้วครับ ไม่พองเลยสักนิดเดียว แต่แดง แล้วก็ดำเลย (มันสุกอ่ะ)




สรุปแล้ว เป็นหมูกระเทียมอบที่อร่อยและคุ้มค่ามาก นี่แหละน๊าาาาา ทำไงได้ประมาทเอง

Tuesday 27 January 2009

Chinese New Year Party

เนื่องด้วยเทศการวันตรุษจีนครับ ปีนี้ก็มาอยู่ไกลบ้าน แต่พวกเราเด็กไทนก็มีการฉลองตรุษจันด้วยเช่นกัน




ก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่การกินข้าวกันเท่านั้นครับ บรรกาศและอาหารก็ทำให้ชวนนึกถึงบ้านดีจริง





ไม่ว่าจะเป็นติ่มซำ ผัดหมี่ซั่ว พะโล้ไก่ ผัดผัก ปลาซอลมอลผัด โอ้วววว อร่อย





แถมด้วยส้มอีกนิด จะได้เฮง เฮง

เทศกาลไหว้เจ้า

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันครอบครัวของผม โดยปกติในวันชิวหยี หรือวันหลัววันตรุษจีน บ้านผมมักจะพากันไปไหว้เจ้า เพื่อเสริมศิริมงคลกันตั้งแต่ต้นปีครับ




บ้านผมทำอย่างนี้มานานมากเป็นหลายวิบปีแล้ว โดยมีรูปแบบเดิมทุกปีครับ





ที่แรกก็คงต้องเป็นการไหว้ที่ศาลเจ้าพ่อเสือครับ






จากนั้นก็จะไปไหว้ที่วัดมังกรกมลาวาสครับ เพื่อทำพิธีสวดมนต์เสริมดวงชะตา




ก่อนที่จะไปที่ศาลเจ้าไต่ฮงกง และทำพิธีสวดมนต์เสริมดวงชะตาที่ปอเต็กติ๊ง แถมไปกินสาคูต้อมให้เฮงๆๆ รับปีใหม่เสียหน่อย




แต่ปีนี้ก็อดตามเคยยยยยยยยยย

Monday 26 January 2009

ชิวอิก: วันเที่ยวแล้วครับ

วันนี้ก็เป็นวันเที่ยวแล้วครับ ถ้าอยู่ที่บ้านวันนี้ครอบครัวผมมีกิจกรรมที่ต้องทำด้วยกันหลายอย่าง


ถ้าจะพูดเรื่องการเดินทาง วันนี้บ้านผมต้องเดินทางไปสถานที่อย่างน้อยสองที่ ทุกปี นั่นก็คือวัดพนัญเชิง ที่พระนครศรีอยุธยา และวัดโสธรฯ เพื่อไปไหว้หลวงพ่อโสธร บ้านเราปฏิบัติอย่างนี้มาทุกปี อย่างต่อเนื่อง



ถ้าเรื่องกิน วันนี้คงไม่พ้นการกินไก่เค็ม หมูเค็ม พะโล้วเป็ด ซึ่งล้วนแต่ผ่านพิธีเซ่นไหว้มาเมื่อวานนี้



ว่าแต่ไอ้ตอนอยู่เมืองไทยน่ะ มันก็เบื่อมากกกกกก แต่พอปีนี้มาอยู่นี่ละกลับอยากกินมากกกกกก



อย่างน้อยปีนี้ก็เป็รปีแรกที่ผมไม่ได้อยู่ร่วมวันครอบครัวของผม เพราะดันมาอยู่เสียไกล แถมปีหน้าก็คงจะเป็นอย่างนี้อีก



เฮ้อ ใครที่ได้กินหมูเห็ดเป็ดไก่ที่เมืองไทยของบอกว่า อิจฉ๊า อิจฉา

快樂的農曆新年 Happy Chinese New Year

新正嘆意新年發財



"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้
ฮวดใช้"













สวัสดีปีใหม่ครับทุกๆ คน ปีนี้นี่ก็สวัสดีปีใหม่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ก็รออีกครั้งตอนสงกรานต์อีกก็ครบ 4 ครั้งพอดี



ปีใหม่นี้ขอให้เฮงๆๆๆๆๆ ร่ำรวยเงินทอง เงินทองไหลมาเป็นเทน้ำเทท่า สุขสมหวังในทุกประการ กิจการการค้าหน้าที่การงานเจริญรุ่งเรือง







จาก.......อาหยาง.......ครับ



อุ้ย!!!!!!!!ไม่เอาดีกว่า จากคุณชายหยางเองครับ

Sunday 25 January 2009

Walking in the wind

วันนี้จะมาเล่าเรื่องการเดินครับ



มาอยู่ที่นี่อย่างที่เคยบอกว่าไปไหนมาไหนมันสะดวกไปหมด ทั้งรถเมล์ รถไฟ อยากไปไหนก็ไปได้ แต่ว่าค่าใช้จ่ายมันก็เยอะ ผมก็เลยเลือกที่จะใช้การเดินดีที่สุด ประหยัดแถมยังได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย



การเดินไปโน่นนี่ ก็ดี ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน อากาศก็เย็นสบาย เดินนานเท่าไหร่ก็ไม่มีเหงื่อ



จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อน..................



ผมจะต้องเดินไปคณะเพื่อเรียนตอนบ่ายโมง ก็กะเวลาเอาวะ เดินก็ประมาณ 20 นาที ค่อยๆ ไปถึงพอดีเวลา เพราะวันนี้เป็นการเรียนวิชาใหม่วันแรก และสำคัญเสียด้วย เลยไม่อยากพลาด (แถมมีเช็คชื่อเข้าเรียนอีก) จากนั้นก็จัดแจงเตรียมตัวออกเดินไปอย่างสบายใจ



ตามเวลาที่กำหนด ผมก็ออกจากบ้านอย่างสบายใจ เพราะเวลา 20 นาที เนี่ยะ เหลือๆๆ




อากาศวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีแดด แต่ลมแรง!!!!!



ผมเดินไปสักพัก นานพอควร แต่พอดูระยะทางเอ๊ะ ทำไม่ยังไม่ได้ครึ่งทางเลย เลยเริ่มเฉลียวใจ???????



มาถึงบางอ้อ เอ้าเดินก้าวนึงก็เป๋ไปซ้าย เดินอีกก้าวเป๋ไปขวา เดินอีกก็มีหยุดบ้าง มีดึงโช้คไปข้างหลังบ้าง สรุปแล้วได้ที่ช้าเพราะลมพัดไปซ้ายบ้าง ขาวบ้าง เข้าหน้าบ้าง ผงะซะหลายเที่ยว



เวลาก็ผ่านไป ตามกำหนด 20 นาทีใกล้บรรลุ แต่ยังไปไม่ถึงไหน ขาเริ่มเกร็ง อยากจ้ำอ้าวก็ไปไม่ได้ เดินสองถอยหนึ่งไปประดุจกำลังเต้นลีลาศ (กับคุณครูบุญเลิศลีลาศ สยามสแควร์ แอบเก่านะเนี่ยะ)



กว่าจะถึงคณะล่อไปเกือบครึ่งชั่วโมง ดีนะว่าอาจารย์มาช้า เลยทันเรียนพอดี



แต่ตลอดสองชั่วโมง จิตใจกลับไม่ค่อยอยู่กับการเรียนเพราะว่า "ปวดขา" ตะคริวจะขึ้นเอาอ่ะ



สรุปแล้ว บทเรียนครั้งนี้ทำให้รู้ว่า เดินเล่นเดินกินลมที่นี่ ไม่มีจริง!!! เพราะที่นี่เราไม่ได้กินลม แต่ลมน่ะ กินเรา

วันไหว้แล้วครับ

วันนี้เป็นวันไหว้แล้วครับทั้งไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งสืบเนื่องกันมาแต่โบราณตามลัทธิขงจื้อ เรื่องของกตัญญุตา


แล้วก็อย่างที่บอกปีนี้ผมก็ไม่มีโอกาสไหว้ครับ เพราะว่ามาอยู่ที่ประเทศสวีเดน มันไม่มีศาลเจ้าให้ไปไหว้น่ะครับ







แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ วันนี้ คืนนี้ก็จะไหว้พระ สวดมนต์แทนแล้วกัน เพื่อพรุ่งนี้ฟ้าใหม่ของปีใหม่จะได้สดใส แช่มชื่น มีความสุขตลอดปี และตลอดไป

Saturday 24 January 2009

Lampan

แหล่มป๊าน หรือโคมไฟนั่นเองครับ


ผมมาอยู่ที่นี่ประมาณห้าเดือนได้แล้ว กิจกรรมที่โปรดปรานที่นี่ก็คือการช็อปปิ้ง แต่ช็อบในที่นี้ไม่ใช่การซื้อของเบรนด์เนมหรูหรานะครับ แต่เป็นการขยันเดินไปช็อปปิ้งที่ร้านขายของมือสองน่ะครับ



ที่ผมเคนเล่าไปแล้วน่ะครับ ที่ลุนด์เนี่ยะมีร้านขายของมือสองใหญ่ๆหน่อยสองสามร้าน แต่ผมมีร้านโปรดอยู่ร้านเดียวครับ ชื่อว่าร้าน ERIKSJÄPEN ที่ชอบร้านนี่น่ะก็เพราะว่ามันถูก ของที่ร้านนี้นำมาขายมาจากของบริจาคน่ะครับ ดังนั้นของมันเลยถูก


ผมอุดหนุนร้านนี้มามากแล้ว แต่ของที่ซื้อมากที่สุดจากร้านนี้ก็คือโคมไฟ ทั้งตั้งโต๊ะ ห้อยเพดาน ฯลฯ



ไอ้ตอนที่อยู่เมืองไทยเนี่ยะในห้องก็มีโคมไฟเหมือนกัน แต่มีอยู่โคมเดียว พอมาอยู่นี่ไม่ต้องเสียค่าไฟ ละเปิดไม่บันยะบันยังเลย อยู่เมืองไทยชอบนอนมืดๆ มานี่ละทำตัวไฮโซนอนก็ต้องมีการเปิดโคมไฟทิ้งไว้ซักโคมนึง ห้องจะได้ไม่มืดเกินไป (ดูซิ นี่ถ้าต้องจ่ายค่าไฟ สงสัยได้ผิดไฟนอนสองทุ่มทุกวัน)



นี่ยิ่งตอนนี้เพิ่งไปสอยโคมไฟมาอีกแล้ว กะว่าจะเอากลับไปปล่อยขายที่เมืองไทย อิอิ คิดดูนะตอนนี้ในห้องผมเนี่ยะมันมีโคมไฟทั้งหมดเลยนะตอนนี้มี 6 โคมแล้วอ่ะ ตอนที่เขียนนี่อารมณ์ดีเปิดมันหมดเลย สว่างไปทั้งห้อง (เฮ้อ ไม่เข้าใจว่าอารมณ์ไหน)



วันนี้ก็เลยจะเอารูปมาลงน่ะว่าโคมที่ซื้อมาเป็นไงบ้าง


นี่เลยครับ โคมไฟอันแรก อิอิ 25 โครน



โคมไฟอ่านหนังสือ 65 โครน









โคมไฟเพดาน 85 โครน













นี่ครับสองอันสุดท้ายเพิ่งถอยมา


โคมไฟห้อยเพดาน 50 โครน กับโคมแก้วราคา 55 โครน





นอกจากนี้ก็ยังมีอีกประปราย และจะยังมีต่อไปอีกแน่เลย





ว่าแต่กลับเมืองไทยค่าไฟมันแพงนี่หว่า สงสัยเอากลับไปไว้โชว์อย่างเดียว ไม่เปิด


อ้อ ลืมไปตอนนี้โครนละประมาณ 4.30 บาทครับ คูณเอาเอง

Shopping Day

อีกสองวันก็จะเป็นวันตรุษจีนแล้ว



วันนี้เป็นวันจ่าย วันแห่งการใช้เงินจับจ่ายซื้อของสำหรับวันไหว้ในวันพรุ่งนี้ นี่ถ้าผมอยู่เมืองไทยวันนี้ผมก็คงต้องไปหาซื้อของไหว้สำหรับวันพรุ่งนี้ให้ควั่ก ทั้งหมู ไก่ เป็ด ผลไม้ ขนมเทียน ขนมเข่ง ฯลฯ



แต่ปีนี้อยู่ไกลบ้าน ไม่รู้จะทำยังไง เป็นปีแรกด้วยที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัวในช่วงตรุษจีน ซึ่งสำหรับผมแล้วผมให้ความสำคัญมากนะ เพราะเป็นวันครอบครัว ที่เราทุกคนสามารถมาอยู่ร่วมกัน และทำกิจกรรมร่วมกันได้ ไม่ว่าจะไปเที่ยว ทำบุญ ไหว้พระ หรือกินข้าว นั่งคุยเล่นกัน



แต่ปีนี้กลับต้องมานั่งหัวเดียวกระเทียบลีบหนาวอยู่ในต่างแดน




แต่ก็เอาน่าแค่สองปี เดี๋ยวก็ได้กลับเมืองไทยแล้ว คิดเอาไว้อย่างนี้แหละ คนเราต้องอยู่อย่างมีเป้าหมายในชีวิต เราถึงรู้จักใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ไม่ปล่อยให้ผ่านไปวันๆ เมื่อเหลี่ยวกลับมามองก็จะเห็นว่าเราไม่ได้อะไรเลย




ดังนั้น Chinese New Year Resolutions ประการหนึ่งของผมปีนี้ก็คือ "การไม่ปล่อยผ่านเวลาอันมันค่าไปให้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์" ครับ



ว่าแล้วพรุ่งนี้กะว่าจะไปซื้อไก่สักตัวหมูสักชิ้นเอามาต้ม แล้วทำหมูเค็มไก่เค็มกินแก้คิดถึงบ้านดีกว่า

Wednesday 21 January 2009

Chinese films in my memory: The Green Snake

หนังจีนอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ดีทีเดียว ไม่เฉพาะว่ามันเป็เพราะเนื้อเรื่อง แต่เพราะอย่างอื่นด้วยต่างหาก



สมัยก่อนจะมีเรียกว่าเป็นห้างก็ได้นะ ชื่อ Hollywood อยู่ใกล้ๆ สะพานหัวช้าง ในนั้นจะมีโรงหนังอยู่สองโรงถ้าจำไม่ผิด ราวๆ ช่วงมอปลาย เป็นช่วงหนังจีนมาแรงน่ะ ผมและเพื่อนๆ ก็ได้มีโอกาสไปใช้บริการโรงหนังที่ฮอลิวูดครั้งนึง



ในการไปดูหนังครั้งนั้นพวกเราไปดูหนังเรื่อง นางพญางูขาว ที่นำแสดงโดยหวังจู่เสียน และจางมั่นอวี้ ไอ้หนังน่ะ มันก็น่าติดตามดีนะ แต่ไอ้ที่มันน่าจำก็คือ



โดยทั่วไปนั้นโรงหนัง จอฉายจะตั้งตรงอยู่ด้านหน้า ส่วนที่นั่งก็จะเรียงสโลพเอียงขึ้นไปเรื่อยๆ ใครนั่งหน้าก็ต้องแหงนคอตั้งหน่อย แต่ไอ้โรงที่ผมไปดูนี้มันต่างออกไป เพราะว่าที่นั่งมันเป็นระดับเดียวหมด เหมือนนั่งดูดนตรีตามงานวัดเลย ระดับเดียวกันหมด แล้วมันดันเสือกกระโหลกเอียงจอทำมุมแหลมกับพื้นแทน



จำได้ว่าเข้าไปเจอแล้ว งงเป็นไก่ตาแตกเลย แบบนี้ก็มีด้วย



ป.ล. หนังเรื่องนี้ภาษาอังกฤษใช้ชื่อว่างูเขียวนะ แต่ภาษาไทยชื่อเป็นงูขาว นี่ก็งงอีกรอบนึง


Chinese films in my memory: The Tai-Chi Master

หนังจีนเรื่องนี้มีความทรงจำอีกเรื่องหนึ่ง



ในช่วงหลังจากที่สอบเอ็นทรานซ์เสร็จ เป็นช่วงที่ผมและเพื่อนๆ ได้เดินทางไปเที่ยวเมืองตรังครับ (รอกันนิดนะครับสำหรับ เรื่องราวการเที่ยวครั้งนี้จากความทรงจำของผม ในบันทึกเด็กหัดเที่ยว)



ในการเดินทางไปตรังครั้งนี้ พวกเราได้ไปดูหนังจีนในโรงภาพยนตร์กลางเมืองตรัง ช่วงระหว่างที่กลับจากเกาะไหงมาอยู่ในเมืองแล้ว



โรงหนังที่ตรังก็ไหญ่นะครับ แต่ว่ามันเป็นโรงพัดลม โอ้ยแล้วคิดดูว่าไปนั่งดูตอนหน้าร้อน ดูหนังเสร็จก็ประหนึ่งอาบน้ำมานั่นแหละ



เข้าเรื่องดีกว่า หนังเรื่องนี้ก็คือเรื่องมังกรไท้เก็กครับ แสดงโดยหลี่เหลียนเจี๋ย กับหยางจื่อฉุน


Chinese films in my memory: The Heroic Trio

ชีวิตผมค่อนข้างผูกพันกับหนังจีน ตั้งแต่เด็กผมชอบหนังจีนมา แถมเพื่อนๆ ในกลุ่มก็ดันมาชอบเหมือนกันเสียอีก



หนังจีนในความทรงจำเรื่องแรกที่ผมจะเขียนนี้ ผมจำได้ดีเพราะเรื่องนี้ออกฉายราวๆ ปี 1993 ตอนนั้นอยู่มอปลายแล้ว



ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมและเพื่อนๆ โดดเรียนเพื่อไปดูกันที่โรงภาพยนตร์รามา ซึ่งในสมัยนั้นเป็นโรงหนังที่ใหญ่มาก แม้ว่ามันจะสกปรกเต็มที่แล้ว เพราะใส่ขาสั้นไปดู หนังจบนี่ข้อพับหลังเข่าที่สัมผัสที่นั่งผื่นขึ้นคันกันเลยทีเดียว



หนังเรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่ผมจดจำได้ดีครับ




เรื่อง The Heroic Trio อุอุ หากไม่เข้าใจว่าคือเรื่องอะไร ขอแปลเป็นไทยว่า "สวยประหาร" นำแสดงโดย เหมยเยี่ยนฟาง หยางจื่อฉุน และจางมั่นอวี้






หนังเรื่องนี้ผมดูมาเป็นสิบรอบแล้ว ครับ

Why's KITMARC??

มีหลายคนเคยสงสัยครับว่าชื่อที่ผมใช้เนี่ยะมันคืออะไร มันมาจากไหน แล้วตกลงมันอ่านว่าอะไร วันนี้ก็เลยอยากเขียนเรื่องนี้แหละครับ.......


ตำว่า kit มันง่ายมาก ทุกคนที่รู้จักผมดี ก็คงรู้ว่านี่คือชื่อผม ส่วนคำว่า 'marc' มันมีที่มาจากสองที่ครับ



ที่มาที่แรก........บทเพลงที่ชอบ



วันนี้เป็นอีกวันที่ผมได้มานั่งคิดอะไร ต่ออะไร ไปเรื่อยเปื่อย ได้เข้าเว็บดูโน่นนี่บ้าง ได้ฟังเพลง ได้ดูหนังออนไลน์บ้าง



อยู่ๆ ใจก็ดันนึกขึ้นมาถึงบทเพลงบทเพลงหนึ่ง




เพลงนี้เป็นเพลงสากลเพลงแรกที่ผมชอบฟังและร้องมาก (สมัยนั้นต้องขวนขวายหาเนื้อเพลง อินเตอร์เน็ตก็ยังไม่มี ซีดีก็ยังไม่มี มีแต่เทปคาสเซ็ต ได้เนื้อมาก็ต้องเปิดดิกชันนารี่ หาศัพท์แปลเนื้อเพลงอีก)



ที่ผมชอบและรักเพลงนี้มาก เพราะเป็นเพลงสากลเพลงแรกเลยที่ผมสามารถร้องไห้ได้เมื่อได้ฟัง (โดยที่เข้าใจความหมายเพลงนะ เพราะก่อนหน้านี้เคยร้องไห้ได้อีกเพลงหนึ่ง แต่่เพลงนั้นร้องไห้ได้ทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายเพลง เพราะว่ามันใช้ประกอบละครแด่คุณครูที่รักน่ะครับ (จำได้ไหน นานมาแล้วมากๆๆๆๆๆๆ) เพลงนั้นคือเพลง Wind beneath my wings



ทีนี้ย้อนกลับมาเพลงที่ผมพูดถึง เพลงนี้เป็นเพลงของนักร้องต่างชาติที่ผมชื่นชอบมากคนหนึ่งครับ คือ Marc Anthony ครับ เพลงที่ผมชื่นชอบเพลงนั้นคือเพลง My baby you เป็นบทเพลงที่มาร์คเขียนให้แก่ลูกของเขา เพลงนี้สื่อความหมายด้านความรักได้ดี ลึกซึ่งมาก มาร็ค แอนโธนี่ เลยเป็นหนึ่งในนักร้องคนโปรดของผม



เท่าที่จำได้ มาร์ค แอนโธนี่ได้ร้องเพลงนี้ในคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งนี้เพียงครั้งเดียว แล้วก็ไม่เคยร้องเพลงนี้ในคอนเสิร์ตอีกเลย




As I look into your eyes
I see all the reasons why
My life’s worth a thousand skies
You’re the simplest love I’ve known
And the purest one I’ll own
Know you’ll never be alone

Chorus:

My baby you
Are the reason I could fly
And 'cause of you
I don’t have to wonder why
Baby you
There’s no more just getting by
You’re the reason I feel so alive.

Though these words I sing are true
They still fail to capture you
As mere words can only do
How do I explain that smile?
And how it turns my world around
Keeping my feet on the ground

Repeat Chorus

I will soothe you if you fall
I’l be right there if you call
You’re my greatest love of all

Chorus
you are the reason I could fly
and 'cause of you
I don't have to wonder why
My baby you
there's no more just getting by
'cause you're the reason I feel so alive
Arianna I feel so alive


ที่มาที่สอง.......หนังที่ผมชอบ


ภาพยนต์เรื่องนี้ออกฉาย ราวๆ ปี 1995 ชื่อเรื่อง Empire Records เป็นหนังที่ผมชอบมากเรื่องหนึ่ง จำได้ว่าผมดูหนังเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 20 รอบ อิอิ


ตัวละครในเรื่องนี้มีตัวนึงที่ผมชอบมาก ชื่อว่า Marc (ซึ่งตามเรื่องบอกว่าต้องสะกดด้วยตัวซี เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเค)





นั่นแหละครับที่มาของคำว่า 'marc'






เมื่อรวมกันแล้วก็คือคิทมาร์ค แต่ผมมันคนไทยไง คิทมาร์ค ก็เลยกลายเป็นคิดมากไปโดยปริยาย



นั่นแหละครับที่ว่า ทำไม๊ ทำไม ต้องคิดมาก

Friday 16 January 2009

Teachers

แหมติดใจเรื่องวันครู ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ววันนี้เป็นวันครู ผมก็เลยอยากมาเขียนเรื่องราวครูของผมเสียหน่อยครับ จากประสบการณ์ในชีวิตของผม นอกเหนือไปจาก พ่อ แม่ แล้วผมมีครูมากมายหลายคนด้วยกัน วันนี้ผมจะขอคัดคนผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นครูของผมมาสัก 6 ท่านแล้วกันนะครับ


ครูท่านแรก เป็นครูผู้ซึ่งเปิดประตูด้านความคิดในทางพุทธศาสนาแก่ผม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) คงไม่เพียงการบวชเรียนเพียงหนึ่งเดือนที่วัดญาณเวศกวันที่ ประตูด้านความคิดและจิตใจของผมถูกเปิดขึ้น หากแต่ประตูที่เปิดขึ้นนั้นส่งผลต่อการดำรงชีวิตของผมอย่างมากกระทั่ง ปัจจุบัน การใช้ปัญญา สติ และการดำรงตน ของท่านเจ้าคุณ เป็นเสมือนแบบอย่างอันดีงามที่ศิษย์คนนี้จะนำมาเป็นแบบอย่างในการดำรงตนในชีวิตนี้ต่อไป อีกทั้งท่านยังเป็นผู้ตั้งฉายานาม แก่ผมว่า กนฺตสาโร และเป็นผู้ตั้งนามสกุลให้ครอบครัวผมว่า ชยางคกุล




ครูท่านที่สอง ครูผู้เปิดประตูด้านอาชีพนักกฎหมายแก่ผม คุณศิริ อาบทิพย์ หลังจากการเรียนในระดับปริญญาตรีจบ ผมได้เข้าฝึกงานที่สำนักงานกฎหมายของคุณศิริ และทำงานอยู่ที่นั่นเป็นเวลากว่า 4 ปี คุณศิริ ได้สอนหลายสิ่งหลายอย่าง ผมได้เีรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายในระยะเวลากว่าสี่ปีนั้นแต่สิ่งสำคัญสามประการที่ผมได้ติดมาจากครูท่านนี้และนำมาใช้จนปัจจุบันนี้คือ การเขียน กว่าสี่ปีผมถูกเรียกขึ้นไปลองแฮนด์ (คือการร่างเอกสารตามที่คำพูดน่ะครับ คือคุณศิริจะพูดไปเรื่อยๆ ผมก็จดตามปรับแก้ อ่านทวนไปเรื่อยๆ) จากที่ชอบเขียนอยู่แล้ว มันยิ่งทำให้ผมชอบการถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือมากยิ่งขึ้นไปอีก การเตรียมตัว การเตรียมตัวในการทำคดีเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเราเตรียมตัวมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นเท่านั้นและอีกประการคือ การจัดเก็บเอกสาร งานเอกสารในสำนักงานกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกวันนี้ผมจึงกลายเป็นนักเก็บและจัดเอกสารตัวยง แบบที่ว่าเก็นที่ไหน อย่างไร เป็นหาได้หมด


ครูท่านที่สาม ครูผู้ให้โอกาสด้านการทำงาน อาจารย์บำรุง ตันจิตติวัฒน์ ถ้าจะนับจริงๆ อาจารย์บำรุงเป็นผู้ให้โอกาสในการที่ผมเข้ามาทำงานเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย อาจารย์เป็นคนที่ให้โอกาสผมในการทำงานทั้งด้านวิชาการ ด้านบริหาร รวมเป็นผู้คอยสนับสนุนด้านการศึกษาของผมอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นอาจารย์บำรุงงจึงเปรียบเสมือนครูผู้ให้โอกาส ในการแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิตของผมอย่างแท้จริง








ครูท่านที่สี่และห้า ครูผู้ให้ความรู้และเปิดโลกทัศน์ทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศ คงไม่ผิดถ้าผมจะขอเอ่ยนามไว้ 2 ท่าน คือ ศาสตราจารย์วิทิต มันตาภรณ์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์สุผานิต เกิดสมเกียรติ ผมเริ่มเรียนกฎหมายระหว่างประเทศมาตั้งแต่อยู่ชั้นปริญญาตรีปีที่สาม กระทั่งมาเรียนปริญญาโท กับอาจารย์ทั้งสองท่าน ทำให้ผมเข้าใจกฎหมายระหว่างประเทศ และมีความสนใจในด้านนี้อย่างมาก กระทั่งทำวิทยานิพนธ์ทางด้านนี้และได้ท่านทั้งสองเป็นที่ปรึกษาและประธานสอบวิทยานิพนธ์ให้ผม นอกจากนั้นทั้งสองท่านยังเป็นผู้จุดประกายความคิดด้านการศึกษาแก่ผม สนับสนุนและให้โอกาสในการแสวงหาความรู้ และการศึกษากับผมเรื่อยมาจนปัจจุบัน




ครูท่านที่หก ครูที่เป็นครู อาจารย์อารยา ชมภูจิต (แม้ว่าจะเป็นครูแต่ผมก็ชินที่จะเรียนว่าอาจารย์ แต่เวลาสื่อสารกัน คุยกัน ผมจะเรียกว่าอาจารย์ แต่เวลาตอบอาจารย์ก็จะแทนตัวเองว่าครู งงดีมั๊ย?????) ผมเรียนกับอาจารย์อารยามาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง ที่โรงเรียนเทพศิริทร์ ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว กระทั่งปัจจุบัน อาจารย์ก็ยังเป็นครูในความหมายของคำว่าครูสำหรับผมเสมอ มีความปรารถนาดี ให้โอกาส เป็นห่วงเป็นใย ในทุกๆ เรื่อง ยี่สิบกว่าปีผ่านไป ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม



เอาจริงๆ อย่างที่บอก ครูในชีวิตของผมยังมีอีกมากมายครับ ไม่ใช่เพียงหกท่านนี้เท่านั้นหรอก ต่อไปมีโอกาสอย่างไร คงจะได้เขียนถึงท่านเหล่านั้นบ้างนะครับ

50 hrs of final exam

มาอีกแล้วครับ



เทศกาลสอบ สำหรับวิชาที่สองของผมนี้ การสอบยังคงเป็นลักษณะเดียวกันกับครั้งแรก ก็คือเทคโฮม มีเวลาทำ 50 ชั่วโมง สำหรับข้อสอบ สามข้อ


ตอนนี้ก็เพิ่งเสร็จและส่งไปแล้ว


หลังจากนี้มีเวลาพัก ห้าวัน เดี๋ยวไปทำอะไร ที่ไหนบ้าง จะมาเล่าให้ฟังกันครับ

Teacher's day

สวัสดีครับคุณครู!!!!



วันครูได้วนมาครบรอบอีกปีแล้วครับในวันนี้ วันที่ 16 มกราคม 2552 ครู มาจากภาษาบาลีว่า ครุ ที่แปลว่าหนัก ดังนั้นภาระที่ครูคนหนึ่งแบกไว้นั้นมันหนักมาก อย่างน้อยสิ่งที่ครูทุกคนต้องแบกไว้บนบ่าตลอดเวลาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครูก็คงเป็น โอกาส



ทำไมผมถึงบอกว่าคือโอกาส ล่ะ ????



ผมต้องการบอกว่าการที่เด็กหนึ่งคนจะเติบโตขึ้นมาทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา เป็นอนาคตที่ดีของชาตินั้น โอกาสเป็นสิ่งสำคัญที่เด็กคนนั้นควรได้รับ โอกาสดีๆ ในชีวิตนอกจากพ่อแม่ แล้วครูนี่แหละที่เป็นคนหยิบยื่นให้เรา ดังนั้นครูคนหนึ่งต้องแบกโอกาสเพื่อหยิบยื่นให้แก่เด็ก ที่เป็นลูกศิษย์กี่คนกัน ก็ยากที่จะนับได้ ดังนั้น ภาระของครูจึงหนักมากนัก



สำหรับผมคำว่าครูจึงหนักเกินไปที่ผมจะรับไว้ได้ แม้ว่าผมจะสอนหนังสือมากว่า 6 ปีแล้วก็ตาม นักศึกษาเคยถามผมว่าถ้าผมไม่ใช่ครูแล้วผมจะเป็นอะไร อาจารย์เหรอ? หรืออะไรดี??? ผมก็บอกว่าเป็นอาจารย์ก็ได้ครูมันหนักไปสำหรับผม



แต่ที่จริงแล้ว สำหรับผมแล้ว อาจารย์ก็คงไม่เหมาะกับผมหรอก เพราะแม่แต่คำว่าอาจารย์ก็ต้องแบกโอกาสสำหรับลูกศิษย์ไว้เช่นกันแม้ว่าจะไม่มากเท่ากับครูก็ตาม



ดังนั้นสำหรับผม การสอนหนังสือ ผมทำหน้าที่เป็นคนเล่าเรื่อง เท่านั้น



ถูกแล้วครับ ก็เหมือนกับคนเล่านิทานไงครับ



ลองเทียบดูระหว่างการสอนกฎหมายกับการเล่านิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า



เวลาเราจะเล่านิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าให้เด็กฟัง เราก็ต้องถามว่าเด็กรู้จักกระต่ายไหม รู้จักเต่าไหม ถ้าไม่รู้เราก็อธิบายลักษณะ ท่าทาง นิสัยของกระต่ายกับเต่าให้เด็กฟัง เด็กที่เรียนกฎหมายก็ไม่รู้จักเหมือนกัน เราก็สอนให้เรารู้จักกฎหมาย



แล้วจากนั้นเราก็ก็เล่าเหตุการณ์ที่กระต่ายท้าวิ่งแข่งกับเต่า พร้อมกับเรายังต้องแสดงท่าทางประกอบอีก เพื่อให้เด็กเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อให้เราฟัง ก็เปรียบกับเล่าให้เด็กๆ ฟังว่า กฎหมายนี่น่ะ เขียนอย่างนี้ ใช้ยังไง เคยมีกรณีไหนบ้างที่เขาเอาไปใช้กัน แล้วผลเป็นอย่างไร ฟ้องกันแล้วผู้พิากษาตัดสินว่าอย่างไร



จากนั้นตอนจบเรื่องกระต่ายกับเต่าสอนให้เรารู้ว่าควรตั้งตนในความไม่ประมาท ผมก็สอนว่าการใช้กฎหมายที่ถูกต้องเป็นอย่างไร



ในชีวิตจริง เด็กๆ ประมาทหรือไม่ขึ้นแต่กับแต่ละบุคคล เช่นเดียวกับนักกฎหมายก็ใช่จะใช้กฎหมายถูกต้องทุกคน



นักศึกษาของผมก็คือเด็ก ผมเป็นคนเล่าเรื่องราวตัว เต่ากับกระต่ายก็คือกฎหมายที่ผมสอน เหตุการณ์วิ่งแข่งก็คือเรื่องราวที่กฎหมายไปเกี่ยวข้องนั่นเอง ส่วนคติของเรื่อง มันก็คงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล




ผมจึงเป็นเพียง คนเล่าเรื่องเท่านั้น..............................



เข้าใจหรือยังล่ะ


แต่เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็มีความปรารถนาดีให้เด็กๆ ลูกศิษย์ นักเรียน นักศึกษาก็พอแล้ว

Tuesday 13 January 2009

Moot court

สมัยเรียนที่เมืองไทยเนี่ยะ การเรียนกฎหมายในห้องเรียนก็มันเป็นการนั่งฟังบรรยายเป็นหลัก นอกนั้นก็มีบ้างเรื่องการทำรายงาน การพรีเซ็นต์ และการถามตอบกันบ้าง



แต่ พอมาเรียนที่ลุนด์เนี่ยะ อย่างที่เคบยบอกแหละครับว่าการเรียนมีมากมายหลายรูปแบบมาก ทั้งธรรมดาในการบรรยาย การถามตอบพรีเซนต์ในห้อง การสัมมนา การทำ workshop อย่างที่เคยได้เขียนถึงไปบ้างแล้ว และที่สำคัญวันนี้การเรียนอีกรูปแบบหนึ่งก็มาแล้วครับการคือการทำศาลจำลอง (Moot court) นั่นเอง



การทำศาลจำลองเป็นการเรียนโดยการแบ่ง เป็นกลุ่มๆ ละ 5-6 คน เวลา mooting ก็จะทำทีละสองทีม มีอาจารย์เป็นผู้พิพากษา การมูตติ้งวันนี้ผมได้คดีมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว เป็นเรื่องกรณีที่ประเทศอิสราเอลออกนโยบายให้กองกำลังสามารถสังหารผู้ต้อง สงสัยชาวปาเลสไตน์ว่าเป็นผู้ก่อการร้ายได้เลย (ดูไปดูมามันคล้ายๆ สงครามปราบปรามยาเสพติดบ้านเราน่ะ)



ทีมผมเป็นฝ่าย NGO Pro Peace ต้องต่อสู้ว่านโยบายนี้มันไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกกลุ่มก็เป็นฝ่ายรัฐบาล สู้กันไปมาสามรอบ ทั้ง Present Battle และ Re-battle ผ่านไปสองชั่วโมง



เอาจนแทบสลบ ขอบอกว่าการ mooting เนี่ยะ มันเหนื่อยมากๆๆๆๆๆ

Wednesday 7 January 2009

My menu

อยู่มาพักใหญ่วันนี้ขอรวบรวมเมนูที่ภูมิใจเสนอนะครับ


อย่างแรก ง่ายมากผัดพริกหยวกหมู กับน้ำแกงกระหล่ำปลี












ราดหน้าไก่ไฮโซ อันนี้ก็อร่อยครับ









กุนเชียงทอด จากกานต์เพื่อนรักจากเมืองไทย (กูกินแล้วนะ มีรูปยืนยัน)









ล่าสุด ส้มตำแครอท










แต่ไม่ได้มีแค่นี้นะ เพราะยังมีผัดถั่วงอก ผัดผักตามท้องถิ่น สุกี้ ผัดไทย ผัดซีอิ้ว ผัดขี้เมา ข้าวผัดหมู ไก่ กุ้ง ข้าวผัดอเมริกัน ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ข้าวต้มหมู ไก่ กุ้ง ข้าวมันไก่ ไก่ย่าง หมูอบ ยำไก่ย่าง ยำทูน่า ยำวุ้นเส้น ยำมาม่า ยำหมูยอ ยำทะเล ยำไส้กรอก มาม่าต้ม ผัดกระเพรา แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด แพนงหมู ไก่ แกงมัสมั่น ต้มยำไก่ ต้มข่าไก่ ข้าวไข่เจียว ไก่ผัดขิง ไก่ผัดพริกปาปริก้า หมูไก่ผัดพริกแกง มักโรนีผัดไก่ กุ้ง แกงส้มปลาซอลมอน-ทูน่า สลัด


โอ้ยยยย ไปๆ มาๆ เยอะนะเนี่ยะ นี่ไม่รวมหมูหยอง หรือน้ำพริกของอี๊เจ็งที่ฝากมาอีกนะ (ตอนนี้ยังมีเหลืออยู่เลย)

Carrot (Morot) Pok Pok

มาอยู่ซะหลายเดือน ก็เลยอยากกินส้มตำขึ้นมา เมนูแนะนำก็เลยเป็นส้มตำแครอทครับ




เมนูนี้ทำครั้งแรกเมื่อครั้งบิ๊กมาเยี่ยม วันนี้อยากกินอีกก็เลยทำไง ง่ายๆ ครับ



ใช้แครอท กระเที่ยม พริก ถั่วลิสง (ซื้อได้ใน netto) น้ำปลา น้ำตาลทราย (ถูๆ ไถๆ ได้) ลาม (lame) หรือมะนาวฝรั่ง แถมกุ้งอีกนิดเพิ่มความไฮโซ





แค่นี้ ทุบๆ คลุกๆ ก็อร่อยแล้ว

A big refrigelator / fridge (Kylskåp)

นึกถึงตอนอยู่เมืองไทยน่ะครับตอนนี้




ตอนอยู่เมืองไทยเนี่ยะเวลาอากาศร้อน จนน่ารำคาญ สมัยเด็กๆ ผมชอบเปิดตู้เย็นแล้วเอาตัวไปอิงไอเย็นจากในตู้ หรือยิ่งเวลาเปิดช่องแช่แข็งด้วยแล้ว ไม่วายเอาหน้าชะโงกเข้าไปรับไออุ่นจากช่องฟรีซเสียร่ำไป




มาตอนนี้มาอยู่ที่ประเทศสวีเดน มันช่างแตกต่างกลายเป็นว่านอกห้องเป็นช่องแช่แข็ง แล้วผมอยู่ในห้องที่กลายเป็นนอกตู้เย็นไปเสียนี่ อย่างวันนี้ผมอยากกินโค้กเย็น แทนที่จะต้องอาศัยตู้เย็น กลับเพียงแต่แง้มหน้าต่างแล้วเอาขวดโค้กไปวาง






ทิ้งไว้สักครู่ โค้กก็เย็นพร้อมดื่มแล้ว




โอ้ยยยย สบายจริงวุ๊ยยยย มีตู้เย็นใบหญ่ายยยยยย

Tuesday 6 January 2009

Trettonafton; Trettondagen

แหมมมมมม อดอยากปากแห้งมาซะหลายวัน วันนี้ตั้งเป้าเต็มที่ในการซื้อของรับประทาน ก็เลือกวันเต็มที่ด้วยวันนี้เป็นวันอังคาร ที่ไม่ออกวันจันทร์เพราะร้านรวงบางร้านมันไม่เป็น มันเริ่มเปิดวันอังคาร ดังนั้นวันนี้ละเหมาะที่สุด


ออกจากหอเดินฝ่าอากาศหนาวติดลบ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำแข็ง ด้วยความหวังอย่างเต็มเปี่ยมในการช็อปปิ้ง



เดินเริ่มเข้าเมืองเริ่ทชักเอะใจว่าทำไมคนน้อยๆ พิกล



ยิ่งเข้ากลางเมืองยิ่งน้อย แล้วนี่ก็ปาเข้าไปเที่ยงแล้วทำไมร้านยังไม่เปิดกันอีก เฮ้อขี้เกียวจกันจริงๆ คนที่นี่ (ผมนึกในใจ)


ร้านค้าที่มุ่งหลายมาซื้อของก็ปิด เอ๊ะชักยังไงๆ



สรุปอ้าววันนี้ทำไมร้านไม่เปิดกันเลยล่ะ งง วันอะไรอีกล่ะคราวนี้



พอไปดูมันเขียนว่าหยุดวัน Trettonafton บางร้านเขียน Trettondagen เลยต้องงัดวิชาภาษาสวี๋วี่วี แบบงูๆ ปลาๆ ออกมาแปล ได้ความว่า เตรตโตน คือ สิบสาม อาฟโตน แปลว่าตอนเย็น ดาเก็น แปลว่าวัน


สรุป งง



แต่ด้วยความเฉลียวที่ไม่ฉลาด นับได้ว่าวันนี้เป็นวันหลังคริสต์มาสวันที่สิบสาม ก็มาถึงบางออ อ่อ อ้อ มันคงหยุดวันที่สิบสามหลังคริสต์มาสเป็นแน่



แต่จะหยุดทำไง อันนี้ไม่ทราบเกล้าจริงๆ



ว่าแต่วันนี้ออกมาได้แต่ช็อบในซุปเปอร์มาเก็ตไฮโซ แทนที่ตลาดข้างถนน

-9 ํC

ช่วงนี้ไม่จำเป็นเนียะ ตอนนี้ไม่ขอออกไปไหนเลยนะ



คิดได้ไง ไหนก่อนมาเช็คแล้วเช็คเล่าเขาว่าที่ลุนด์เนี่ยะอุณหภูมิต่ำสุดแต่ 0 องศา หรือเต็มที่ก็ -1 องศา แต่ไหงมาตอนนี้มันหนาวไม่ยั้งเลยอ่ะ วันนี้ล่อเข้าไป -9 องศาเซลเซียส



นี่อุตส่าห์เช็คจากเว็บแล้วนะเขาว่าเต็มที่ก็ -3 แต่ทำไมวิ่งไปดูปรอทวัดอุณหภูมิ ทำไมปรอทมัน -9 แล้วอ่ะ นี่ขนาดไม่ได้บวกแรงลมที่พัดอีกนะ



เมื่อวานนี้แต่เดินออกไปข้างนอกนิดเดียว หน้าตึงเจ็บไปหมด น้ำมูกไหลจนเยื่อโพรงจมูกอักเสบ อาทิตย์ก่อนจมูกปวดบวมแดงเป็นชมพู่เลย



แถมนานๆ แดดจะออกที ออกมาคราหนึ่งก็คิดจะวิ่งเอาหน้าไปรับแดด ก็หนีไปซะแล้ว




เซร็งอยากอาบแดด (อยู่มาไม่นานเข้าใจหัวใจชาวสแกนดิเนเวียนที่ชอบอาบแดด)

Sunday 4 January 2009

Song: กุหลาบเวียงพิงค์

ทุกปีในเทศกาลตรุษจีน ที่บ้านเราจะต้องไปเที่ยวกันทุกปีเป็นประจำ โดยอาปาจะขับรถไปทุกคนก็ขึ้นนั่งประจำที่ บางปีก็เป็นรถเก๋ง บางปีเป็นรถกระบะ แล้วแต่จำนวนผู้โดยสาร




ผมจำได้ว่าทุกครั้งก่อนออกเดินทาง อาม้าจะเดินขึ้นรถพร้อมกระเป๋าใบหนึ่ง ในกระเป๋าจะเต็มไปด้วยเทปคาสเซ็ทหลายม้วน เพื่อเปิดตลอดระยะเวลาการเดินทางของเรา (ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น แต่เพียงเปลี่ยนเป็นแผ่นซีดีแทน)




เทปตลับหนึ่งที่อาม้าไม่พลาดที่จะนำไป และเปิดเสมอ หน้าปกเทปเป็นรูปดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่ง และเขียนชื่ออัลบั้มว่า กุหลาบเวียงพิงค์ วงศ์จันทร์ ไพโรจน์




เพลงนี้เป็นเพลงที่อาม้าชอบ ในความทรงจำของผม เมื่อเพลงนี้ดัง ผมจะนึกถึงอาม้าก่อน วงค์จันทร์ ไพโรจน์ แน่ๆ




กุหลาบเวียงพิงค์ - วงจันทร์ ไพโรจน์

Song: น้ำตาร่วงหลังพวงมาลัย

สมัยก่อน อาปามีอาชีพขับรถแท็กซี่ป้ายดำ ซึ่งสมัยนี้ไม่มีให้เห็นแล้วครับ มันก็คือคล้ายรถรับจ้าง รับเหมาไปโน่นนี่น่ะครับ




อาปาชอบรถ และการขับรถมาก ในขณะเดียวกันอาปาก็ชอบเพลงด้วย เพลงที่เปิดประจำในรถของอาปาจะมีไม่มาก มันเป็นเพลงของทูล ทองใจ หรือธานินทร์ อินทรเทพและครับ




เพลงๆ หนึ่งที่เป็นเพลงที่ผมได้ยินทีไร ผมจะนึกถึงอาปาทุกที เพราะเป็นเพลงที่อาปาชอบมาก เปิดในรถบ่อยๆ จำได้ว่าสมัยเด็ก อาปาจะเปิดเพลงๆ นี้เสมอ เพราะอาปาบอกว่าชีวิตอาปาก็เหมือนเพลงนี้น่ะ คือนั่งอยู่หลังพวงมาลัยตลอดเวลา





น้ำตาร่วงหลังพวงมาลัย - ธานินทร์ อินทรเทพ

Song: มั่นใจไม่รัก

ครอบครัวเราก็เป็นอีกครอบครัวที่ชื่นชอบการร้องเพลง



มันก็เลยต้องมีบทเพลงที่ได้ยินเมื่อไหร่แล้วผมก็จะมีความทรงจำย้อนขึ้นมาทัใด กลายเป็นความทรงจำที่ติดอยู่ในใจของผมตลอดมา



ช่วงวันเกิดอาปา กินเลี้ยงก่อนวันที่ 23 กันยายน 2547 อาม้าร้องเพลงให้อาปาเพลงหนึ่ง ที่งานเลี้ยงพี่เขยผมถามอาม้าว่ารักอาปาไหม อาม้าก็ไม่ยอมตอบ ญาติๆ ก็ถามกันใหญ่ให้ตอบ อาม้าก็ไม่ยอมตอบ ในที่สุดอาม้าก็เลยเลือกที่จะร้องเพลงเพลงหนึ่งเพื่อเป็นคำตอบที่ญาติ ถามว่าอาม้ารักอาปาไหม



Mun-Jai Mai Rak - Roungthong Thongluntom



ลองกด play สิครับ ว่าอาม้าตอบญาติๆ และอาปาว่าอย่างไร




เชื่อไหมครับว่าทุกครั้งที่ผมได้ยินเพลงๆ นี้ ผมสามารถนั่งน้ำตารื้นได้เสมอ

Saturday 3 January 2009

Cassette

เทปคาสเซ็ท เป็นช่องทางในการฟังเพลงที่สำคัญมากในสมัยก่อนที่ CD mp3 หรือ mp4 ยังไม่เกิดขึ้นมา


ผมเข้ามาอยู่กรุงเทพแล้วตั้งแต่ตอนอยู่ ป.5 จำได้ว่าเทปม้วนแรกที่ผมซื้อในขณะที่เข้ามาอยู่กรุงเทพสมัยนั้น เป็นเทปของนักร้องขวัญใจผมขณะนั้น เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อุ้ย รวิวรรณ จินดา



ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ผมได้ฟังบทเพลงในอัลบั้ม รุ้งอ้วนแล้ว วันเวลาเก่าๆ ของผมมันก็ย้อนกลับมาเสมอ



Thursday 1 January 2009

Gott Nytt År

สวัสดีปีใหม่ตามเวลาของประเทศสวีเดนครับทุกคน



ปีใหม่ปีนี้คงเป็นปีแรกที่หนุ่ยไม่ได้อยู่เมืองไทยในวันปีใหม่ แม้ว่าที่สวีเดนจะดูเหมือนน่าสนใจในการฉลองปีใหม่ในต่างแดน แต่สำหรับผม มันไม่ได้แตกต่างไปเลยครับ



ด้วยผมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับปีใหม่เท่าไหร่อยู่แล้ว ผมให้ความสำคัญกับวัน เวลา ปัจจุบันมากกว่า



ชั่วโมงใหม่ วันใหม่ ปีใหม่ ไม่ได้แตกต่างกันเลยนะครับ เพราะมันก็เป็นแค่จุดชี้วัดว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ที่กำลังจะเข้าสู่อนาคต และสิ่งที่เราสร้างหรือทำขึ้นมานั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว



ปีใหม่ วันใหม่ ชั่วโมงใหม่ นาทีใหม่ หรือวินาทีใหม่ จะดีหรือไม่ มันขึ้นกับตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ และวินาทีนี้ครับ



ทำวันนี้ให้ดี เพื่อวันพรุ่งนี้ไงครับ



กมฺมุนา วตฺตตี โล โก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมครับ