Tuesday 12 May 2009

Italy trip II: Milano

วันแรกของการเดินทางเริ่มขึ้นด้วยการแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพื่อออกเดินทางจากที่พัีกในลุนด์ ไปยังสนามบินโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งก็เป็นปกติแล้วในการเดินทางมาอยู่ที่นี่ การเดินทางไปยังเดนมาร์กเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดวิสัยอะไรมาก แต่ต้องออกแต่เช้านี่แหละปัญหา เพราะรถบัสก็ยังไม่มี ต้องอาศัยสองเท้าเดินไปยังสถานีรถไป พร้อมสัมภาระคือ กระเป๋าใบใหญ่อีกสองใบ

เช้านี้ผมต้องขึ้นรถไปขบวน ออกจากที่ลุนด์ประมาณ ตีห้าสี่สิบ ดังนั้นต้องออกจากที่พักตั้งแต่ตีห้าสิบห้า ดีนะที่ตอนนี้เข้าใบไม่ร่วงแล้ว ตีห้านิดๆ พระอาทิตย์ก็อยากจะแยงเเสงแล้ว การเดินออกจากบ้านตอนตีห้า เลยไม่ลำบากมากเท่ากับการเดินไปเรียนตอนแปดโมงเช้าในฤดูหนาว

ถึงสนามบินแล้วก็จัดแจงเช็คอินเองกับเครื่อง และค่อยนำเอากระเป๋าไปโหลด แต่อย่างที่บอกที่แถบนี้เขาเชื่อมั่นในระบบ ดังนั้นเราต้องเช็คอินเอง แล้วถึงเอาสัมภาระไปโหลดกับพนักงานเท่านั้น (เฉพาะสายการบินสแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ SAS)

ด้วย ความที่ต้องรอเกือบชั่วโมงครึ่ง ความหิวเริ่มมาเยือน แต่ไม่สามารถครับ เพราะเงินเดนก็ไม่ได้พกมา ต้องยอมกินน้ำประทังไปเพื่อให้ถึงมิลานแล้วค่อยว่ากัน


เครื่อง บินออกจากโคเปน ใช้เวลาประมาณ 2.15 ชม ก็เดินทางมาถึงสนามบินมาลเปนซา เมื่องมิลาน ประเทศอิตาลี่ ซึ่งสนามบินวันนี้คนโล่งมาก แต่เพิ่งรู้ว่าการถือพาสปอร์ตเชงเก้น มันสบายอย่างนี้ เข้าออกประเทศในยุโรปง่ายและสบายมากๆ


จากสนามบินให้เวลาประมาณชั่วโมงนึงกับการนั่งบัสเข้ามายัง Milano Centrale หรือบ้านเราก็คือห้วลำโพงนั่นเอง เพื่อเดินทางไปยังที่พักต่อครับ มาถึงตอนนี้ก็เริ่มหอบแล้ว เพราะอากาศมันร้อนมาก ร้อนที่สุดในรอบสิบเดือนที่ผ่านมา สิบเดือน ก็เพิ่งจะมีวันนี้แหละที่เหงื่อออกประหนึ่งไปเต้นแอโรบิค


ต่อมาก็แผนที่เท่านั้นที่เราต้องการ เดินจากสถานีรถไฟไปยังที่พักไม่ไกลเท่าไหร่ เพราะเลือกเอาไว้ใกล้ๆ น่ะขี้เกียจเดิน แล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องมานั่งรถไฟอีก ดังนั้นวิธีนี้คงเซฟเวลาได้เยอะทีเดียว


ห้องพักคืนแรกนี้ขอแบบหรูนิดนึง ก็เลยไปพักโรงแรมครับ ชื่อว่า Hotel Delle Nazioni Milano เลือกแล้วก็ก็ยังดันเราหรูแพงระยิบซะ 46 ยูโร 555+++


จากโรงแรมเป้าหมายแรกครับคือการไปดูโบสถ์ของเมืองมิลาน หรือที่เขาเรียกว่า Milano Duomo จาก Centrale นั่งรถไฟใต้ดินสายสีเหลือง เบอร์ 3 ไปประมาณ 4 ป้ายก็ถึง


เกือบบ่ายโมงก็โผล่จากใต้ดินขึ้นมาเจอ ดูโอโม่หินอ่อน ครับ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดูโอโม่ที่นี่ใหญ่เป็นอันดับสามของยุโรป ครับใหญ่มาก เพราะสองอันดับแรกยังไม่เคยไป ดังนั้นตอนนี้ที่มิลานใหญ่สุด









จากนั้นเมื่อเราเดินออกมาด้านเปียซ่า หรือลานหน้าดูโอโม่ เราก็จะกลายเป็นคนที่ป็อบปูล่าทันใด เพราะจะมีบรรดาชาวผิวสีเข้ามาตีสนิท เพื่อขายเชือกผูกข้อมมือให้ คาดว่าคงหลายบาทอยู่ ดังนั้นวิธีเดียวคือทำหน้าบึ้ง มือถุมกระเป๋าตังค์ ตั้งหน้าตั้งตาเดิน ไม่ต้องสนใจครับ (เชอะเชือกแบบนี้แถวสำเพ็งเยอะแยะ ไม่ต้องถ่อสังขารมาสรรหาถึงมิลานหรอก)


ภายในโบสถ์ก็สวยมากครับ กระจกสีเต็มผนัง โอ่โถงมาก แต่ไฮไลท์ของการมาที่โบสถ์ ไม่ได้อยู่ที่ในโบสถ์ครับ แต่มันอยู่ที่หลังคาโบสถ์ ที่เราต้องไม่พลาดที่จะขึ้นไป


ผมตัดสินใจเดินขึ้นหลังคาโบสถ์แทนการขึ้นลิฟท์ เพราะเสียเงินค่าขึ้นเพียง 5 ยูโร ถูกว่าลิฟท์ ซึ่งต้องจ่ายเพิ่มอีก 3 ยูโร


การ ไต่บันไดขึ้นหลังคาดูโอโม่ ก็ดูไม่ค่อยยากลำบากมากนัก แต่การต้องมาไต่ภายใต้อากาศที่ร้อนอบอ้าวเนี่ยะ ทำเอาหน้ามืดได้เลย ใช้เวลากว่าสิบนาที ผมก็ขึ้นมาอยู่ที่ชั้นแรกของหลังคา อลังการงานสร้างมาก เพราะยอดของดูโอโม มียอกหลายยอด แต่ละยอดสลักอย่างสวยงาม จากนั้นก็ไต่ขึ้นไปเพื่อให้ถึงบนยอดหลังคา แล้วก็ชักภาพครับ ในภาพดูดีมาก แต่จริงๆ ร้อนตับแลบ












คนอื่นมันคงเห็นว่าประสาทดี ร้อนจะตายตั้งกล้องถ่ายรูปตัวเองแอ็คท่าอยู่นั่น มากมายจริงๆ


แต่เอาจริงๆ ดูไปดูมา เหมือนไปถ่ายรูปที่วัดร่องขุ่น เชียงรายเลย



รอบ่ายสักนิดก็ลงมาเพื่อกลับที่พัก เพราะร้อนมากอยากอาบน้ำ เหนียวตัวไปหมด เฮ้อออ....



แต่ขากลับก็ไม่ลืมที่จะเดินที่ถนนแฟชั่นแบรนด์เนม เอ็มมานูเอลสักนิด แต่ซื้อของไม่ลงเพราะแพงมาก แต่ขึ้นชื่อมาว่าทั้งทีก็เลยใช้เงินนิดเกียวกับการกินไอศกรีมครับ อร่อยม๊ากกก


ปล ตามไปดูรูปมิลานกันได้ ที่นี่

2 comments:

ae said...

ว้าว ดูผจญภัยดีจังงง ><~

นานๆจะเม้นท์ที said...

Ciao Singnor Kitto Macro
แหม..ทำเหมือนรายการ Princess Diary เลยนะ (ช่วงเค้ามีเรามี) เล่นเอา อิลดูโอโม่ ไปเทียบกับ วัดร่องขุ่น เนี้ยนะ ? หรือเอา ก่อนโด๊ลา เทียบกับ เรือท้องแบนแถวบ้านเงี้ย แล้วจะถ่อสังขารไปเที่ยวทำมัยหว่า..