Wednesday 25 June 2008

From Ubon to Chumpasak

เดิมทีเดียวตั้งใจไว้ว่าก่อนที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศสวีเดน ก็อยากจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ สักครั้งหนึ่ง คิดแล้วคิดเล่าว่าจะไปไหนดีหนอผมมีเวลาแค่ 4 วัน เท่านั้นเอง คือวันที่ 19 - 22 มิถุนายน 2551

จะไปไหนไกลก็คงยาก ดังนั้นจึงตกลงปลงใจว่าทริปนี้คงไม่ต้องไกลมาก ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงมากนัก เอาง่ายๆ ไปแล้วจำๆ เลย


ปฏิบัติการหาที่เที่ยวครั้งนี้ ต้องถึงขั้นลากเอากล่องใส่หนังสือท่องเที่ยวออกมากางดูทีละเล่ม แล้วไอ้นิสัยไม่ดีของผมก็คือ ชอบเที่ยวแบบคาดหมายไม่ได้ หมายความว่าแผนจะถูกเปลี่ยนได้ตลอดเวลา อยากไปไหนก็หาไว้เยอะๆ แล้วไปลงมติกับเพื่อนร่วมก๊วนอีกทีว่าเอาไงกันดี


ดังนั้นด้วยข้อจำกัดด้านเวลา และที่สำคัญอีกประการคืองบประมาณ ทำให้สามารถตัดสถานที่ที่อยากไปออกได้เยอะทีเดียว เหลือแค่ไม่กี่ที่ ที่สามารถไปได้โดยไม่กระทบเวลาและกระเป๋าสตางค์มากนักในที่สุดก็เลยมาลงมติกันได้ว่าจะไปอีสานใต้แล้วก็เข้าไปเที่ยวลาวใต้ ท่าจะดีที่สุด


จากนั้นก็มีชื่อสถานที่ท่องเทียวจำนวนมากลอยเข้ามาอยู่ในหัว ที่นั่นก็อยากไป ที่นี่ก็อยากไป แล้วไปสักกี่คนถึงจะดี แต่ที่สุดแล้วหาไปหามา ได้เพื่อนร่วมก๊วนมา 3 คนเอง ก็โอเค ไปแล้วละจุดนี้ อย่างไรก็จะไป


จากนั้นก็จัดการจองตั๋วเครื่องบินทันที เพราะจะได้ประหยัดเวลาสักหน่อย ผมตัดสินใจที่จะโดยสารเครื่องบินของสายการบินนกแอร์ จากท่าอากาศยานดอนเมือง มุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติอุบลราชธานีที่ผมเลือกว่าจะนั่งเครื่องบิน แทนที่จะนั่งรถไฟตามที่ตั้งใจไว้แต่เดิมอีกเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะกระแสข่าวภายในที่เชื่อถือได้ที่ว่าสายการบินโลว์คอสนี้จะอยู่กับเราอีกไม่น่าจะนานนัก ผมจึงตัดสินใจนั่งส่งท้ายสายการบินกันเลยทีเดียวด้วย


เหตุที่เป็นการท่องเที่ยวเชิงเร่งด่วนและเร่งรีบ ดังนั้นข้อมูลบางส่วนจำเป็นที่จะต้องไปอ่านเก็บในช่วงเวลาเดินทางการเดินทางดูแววว่าคงลั้นลาอย่างแน่นอน ที่ไหนได้กลับน่าปวดตับเป็นที่สุดก็คือ ผมดันลืมหนังสือท่องเที่ยวลาวใต้ไว้ในห้องน้ำที่บ้าน เพราะเอาไปนั่งอ่านแก้เครียดนะซี งานนี้เลยรับไปเต็มๆ คงต้องมะงมมะงาหราหาเอาข้างหน้าแล้ว


วันแรกของการเดินทางจากกรุงเทพ ไปโผล่ที่อุบลราชธานี ทันทีที่ถึงเลยตัดสินใจว่าไม่ได้แล้วเลือดรักชาติเดือดปุดๆ เราต้องไปเขาพระวิหารแต่อย่างไรก็ดีมาถึงอุบลทั้งที คงต้องแวะสักการะพระแก้วบุษราคัม พระคู่เมืองที่วัดศรีอุบลฯ หรือวัดศรีทอง สักนิด แวะชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดอุบลราชธานี และเดินเล่นที่ทุ่งศรีเมืองสักหน่อยจากนั้นค่อยจัดการขับรถมุ่งหน้าสู่เส้นทางวารินชำราบ สู่อำเภอกันทรลักษณ์เพื่อไปยังอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร จังหวัดศรีษะเกษ ที่ผามออีแดง


เพื่อไปเหยียบเขาพระวิหารให้จงได้เพราะกลัวว่าเขมรอาจปิดไม่ให้ขึ้นหากมีปัญหากันมาก (ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิดจริงๆ ณ วันนี้เขาพระวิหารถูกปิดไม่ให้เข้าซะแล้ว)






แล้วก็ไปนอนกันที่โขงเจียม เพราะได้ยินมานานเรื่องแม่น้ำสองสี "โขงสีปูน มูลสีคราม"วันที่สองของการเดินทางผมตัดสินใจที่จะไปดูภาพเขียนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ผาแต้ม ซึ่งต้องเดินไกลวงใหญ่รวม 4.5 กิโลเมตรทีเดียว แค่เดินเสร็จก็นั่งง่อยเปลี้ยเสียขากันเลยทีเดียว





จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะไปเที่ยวน้ำตกแสงจันทร์ หรือน้ำตกลงรู หนึ่งใน Unseen Thailand ของจังหวัดอุบลราชธานี ที่บ้านนาโพธ์ใต้ แล้วตกเย็นมาแวะกินปลาจากแม่น้ำโขงให้เปรมอุรา






วันที่สามของการเดินทางเป็นการเดินทางที่ทรหดมาก ผมเดินจากไปยังด่านช่องเม็กเพื่อเข้าสู่เมืองปากเซในแขวงจำปาสักของลาว การเดินทางหฤหรรษ์ เริ่มจากการเดินทางเข้าสู่ปากเซ มุ่งหน้าสู่ปราสาทหินวัดพู ซึ่งเป็นมรดกโลกของ สปป.ลาวการเดินทางสู่วัดพูต้องนั่งรถ เอารถลงแพขนานยนต์ แล้ววิ่งต่อไปอีก แค่รอข้ามแพไปกลับก็เกือบ 3 ชั่วโมงแล้วจากนั้นก็ไปนำตกหลี่ผี ต้องนั่งเรือไปในมหานทีสี่พันดอน แล้วต่อรถ ก่อนจะปิดท้ายโปรแกรมทัวร์วันนี้ด้วยนำตกคอนพะเพ็ง หรือ ไนแองการ่าแห่งเอเชีย


เย็นนี้ผมมานอนอยู่ที่เมืองปากเซ


วันที่สี่ วันสุดท้ายของการเดินทางการเดินตลาด และเก็บภาพวิถีชีวิตของคนในเมืองปากเซยังคงเป็นจุดหมายสำคัญในการมาเที่ยวที่นี้ ตลาดดาวเรือง รวมไปถึง โรงแรมจำปาสักพาเลซ ซึ่งเป็นวังเก่าของเจ้าบุญอุ้ม เจ้าผู้ครองนครจำปาสักองค์สุดท้ายก็น่าดึงดูดอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะกลับเข้าฝั่งไทย ไปและน้ำตกตาดโตน แวะดูแม่น้ำสองสี และแวะแก่งสะพือ ที่พิบูลมังสาหาร


แต่ก่อนออกจากอุบลราชธานี พวกผมคงมาไม่ถึงอุบลราชธานีหากไม่ได้ไปแวะสักการะหลวงปู่ชา ที่วัดหนองป่าพง


ก่อนจะหาซื้อของติดมือกลับบ้านโดยสายการบินนกแอร์กลับสู่กรุงเทพเรื่องราวและรูปภาพมากมายแล้วผมจะทยอยเล่าให้ฟังเป็นตอนๆ ไปคอยติดตามอ่านแล้วกัน


K-JAY

No comments: