Wednesday, 2 September 2009

Summer trip 2: From Lund to Munich

แทบจะเป็นปฐมบทของการเดินทางในซัมเมอร์นี้ของผมทีเดียว หากไม่นับว่าก่อนหน้านี้สักสองวัน ผมเองก็เพิ่งเดินทางมาจากประเทศไทยมายังประเทศสวีเดน อาการเจ็ตแล็กเพิ่งทุเลา การเดินทางครั้งใหม่ก็เริ่มขึ้นครับ

เช้าแรกของการเดินทางผมตื่นขึ้นมาอย่างเร่งรีบ ก็เพราะว่ายังตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะเอากระเป๋าใบไหนไปดี เพราะตอนนี้มีกระเป๋าที่ต้องหอบอุ้มจนแทบจะหนีบแล้วตั้งสี่ใบ ทั้งเป้ใหญ่ เป้เล็ก กระเป๋าสะพาย และกระเป๋าลาก โอ้วมันจะเยอะไปไหน นี่ขนาดพยายามจำกัดจำเขี่ยแล้วแต่พ่อเจ้าพระคุณ ยังถ่อเอามาซะสี่เลย

สายหน่อยก็เลยตกลงปลงใจได้ว่าจะเอาเป้เล็กไปใส่ในกระเป๋าลากเนี่ยะแหละ แค่นี้กระเป๋าสี่ก็เหลือสาม เฮ้อๆๆๆ 555+

การเดินทางครั้งนี้แม้ว่าเป้าหมายหลักแรกจริงๆ จะเป็นซาลบวร์ก แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะบินไปลงที่มิวนิค แทนที่จะบินไปซาลบวร์กก่อน ทั้งที่จริงๆ การบินไปซาลบวร์กเลยมันจะมีราคาค่าเครื่องไม่ได้แตกต่างไปสักเท่าไหร่ ก็คงเพราะเหตุผลหลักๆ สองประการ นั่นก็คือ

ประการแรก ผมอยากไปเที่ยวมิวนิคก่อน อยากไปปราสาทนอยชวานสไตน์ และประการที่สองการนั่งเครื่องไปซาลบวร์กต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ลอนดอนประเทศอังกฤษ และผมต้องนั่งหง่าวอยู่ที่นั่นทั้งคืนก่อนที่สายๆ จะได้นั่งเครื่องจากลอนดอนมาซาลบวร์ก ดังนั้นไปมิวนิคมันเนี่ยะแหละเอาให้มันส์ไปเลย

จากลุนด์ผมต้องอาศัยรถไฟข้ามสะพานเออเรซุนด์ ไปยังโคเปนเฮเกน เพื่อจับเครื่องแซซ (SAS) ไปยังมิวนิค แต่ด้วยความที่ไม่รู้ดูตารางยังไง มาถึงสนามบินก่อนเวลาไปสามชั่วโมงครึ่ง โอ้ววอย่างนี้มิต้องปูเสื่อนอนรอหน้าเกตเลยฤๅ

แต่อย่างแรกภารกิจหลักคือการโหลดกระเป๋า นังเจ้าหน้าที่ก็แสนดีมาถามแล้วบอกว่า กระเป๋าลากยู ไซส์นี้ขึ้นเครื่องได้ แต่ๆๆๆๆๆๆ ของแค่แปดกิโลนะ ดังนั้นมันก็เลยเอามาชั่ง กระเป๋าเป้ใหญ๋ 13 กิโล กระเป๋าลาก มือแม่นมาก 13 กิโลเช่นกัน ดังนั้นเลยต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า แบะกระเป๋าออกซะเลย คว้าเป้เล็ก กล้อง โน้ตบุค และอาหารหารการกินทั้งไส้กรอก และกล้วยออกมา สะระตะแล้วกระเป๋าโหลดไปสองใบน้ำหนักรวม 19 กิโลกรัม เหลือ กระเป๋าสะพายเล็ก และเป้เล็กหิ้วขึ้นเครื่องไป

ต่อมาก็ต้องผ่านตรวจคนออกเมืองของโคเปนเฮเกน ก็ตามสไตล์ยุโรป ต้องถอดมันหมด เหลือเสื้อกะกางเกง เข็มข่งเข็มขัดต็ต้องถอด โน้ตบุคต้องเปิดมาดู (สงสัยกลัวยัดยาในเครื่อง) ผ่านไปได้ต้องมานั่งเรียงสัมภาระให้เข้าที่อีกเป็นรอบที่สาม หลังจากที่ห้อง และที่เคาท์เตอร์เช็คอิน

นั่งจนหายอยากเครื่องบินก็เข้ามา นั่งรอนานจนง่วงมาก (สงสัยยังปรับเวลาไม่ได้) เพราะแค่นั่งบนเครื่องรัดเข็มขัดเสร็จ เครื่องยังไม่ทันแท็กซี่ พ่อก็ผลอยหลับมันเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนลูกเรื่อเดินขายน้ำ ขายกาแฟนี่แหละ

นั่งเครื่องมาชั่วโมงกว่าๆ เครื่องก็ลงจอดที่สนามบินมิวนิค โอ้วมันใหญ่มาก แต่คนน้อยมาก เดินไปมาหากระเป๋าประหนึ่งว่าเดินผิดทาง ด้วยเหตุว่าดันไปเข้าห้องน้ำออกมาเขาเลี้ยวไปไหนกันหมดแล้วก็ไม่รู้ต้องมานั่งงมเต่าอยู่นาน







สักพักก็เดินมาถึงสายพานกระเป๋า พอกระเป๋าครบก็ต้องมาบรรจกแกะเพื่อผนวกเป้น้อยเข้าไปในกระเป๋าลากอีก เพราะว่าเดี๋่ยวต้องนั่งรถไฟเข้าเมืองอีกมันจะลำบากเกินไปกับสัมภาระ สรุปว่าเป็นการแกะกระเป๋าครั้งที่สี่ของการเดินทางของบ่ายวันเดียว


หากใครเคยเดินทางมาสนามบินมิวนิคคงพอนึกภาพออกว่าระหว่าง Terminal 1 กับ Terminal 2 มันจะมีลานอยู่ แต่โดยทั่วไปลานมันคงไม่ได้มีเพื่อสิ่งนี้เป็นแน่แท้ โอ้วแม่เจ้า เขาแข่งวอลเลย์บอลชายหาดกันบนสนามบิน คิดได้ง่ะ






จากนั้นอย่างเร็วรี่ก็รีบเดินลงไปสถานีรถไฟเพื่อเดินทางเข้าไปยังเมือง เพราะตอนนี้อยากเห็นที่พักจะแย่อยู่แล้ว ตั๋วรถไฟที่ซื้อมาเป็นตั๋ววันครับ ใช้เดินทางในมิวนิคได้ทั้งหมดทั้ง S-Bahn, U Bahn, Bus ราคาคนเดียวตั้งสิบยูโร






จากนั้นผมก็นั่งรถไฟเข้ามายังสถานี รถไฟมิวนิค แล้วก็ลากกระเป๋าปุเลงๆ เป๊ะพ่อ ไปหาที่พักที่จองไว้ ชื่อว่า Wombat's Hostel ครับ


หลังจากใช้ความพยายามจากการดูทิศที่ได้ศึกษษมาสมัยเป็นลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ผมก็มาถึงที่พักครับ ซึ่งมันเป็นอย่างไรตอนหน้าจะมาเล่าให้ฟัง

จากนั้นผมก็ใช้เวลาตอนบ่ายเย็นยันค่ำในการเดินเล่นในเมืองมิวนิคที่หลายคนชอบนักชอบหนา แต่สำหรับผม 3 ชั่วโมง พอแล้ว




Align Left


เอาเป็นว่าไปดูรูปมิวนิคกัน ที่นี่ ครับ

No comments: