Sunday 31 August 2008

Law Library i Lund

เมื่อวานได้มีโอกาสเข้าไปดูห้องสมุดที่คณะนิติศาสตร์ ก็เลยได้เห็นว่าห้องสมุดกฎหมายที่ลุนด์นี้ น่าเข้าไปใช้บริการเป็นอย่างยิ่ง








ห้องสมุดมี 3 ชั้น ชั้น 1 และ 2 เป็นชั้นหนังสือ ซึ่งมีหนังสืออยู่หลายปก เพียงแต่แต่ละปกมีจำนวนเล่มไม่มาก เท่านั้น จึงไม่น่าจะเพียงพอกับความต้องการของนักศึกษา










ส่วนในชั้นสาม ชั้นบนสุด เป็นที่อ่านหนังสือ ซึ่งการใช้บริการเราต้องจองล่วงหน้า ซึ่งในภาพรวมแล้วผมว่า โอเคเลย เพราะอย่างน้อยคณะนิติศาสตร์ ก็ยังมีห้องสมุดอีกที่อยู่ที่ Raoul Wallenberg Institute ซึ่งวันหลังจะเอาภาพมาลงให้ชมกันอีกครั้งแล้วกัน

Thai Food

อาการลงแดงอาหารไทยของผมคงจะไม่หายแน่ๆ ถ้าไม้ได้อาหารไทยมาใส้ท้องให้หายอยาก ระบบท้องไส้ผมปั่นป่วนปรับตัวมาเกือบอาทิตย์ก็ยังไม่มีวี่แววจะดีขึ้น


วันนี้เลยตัดสินใจว่าอย่าไรเสียก็คงต้องหาอารไทยใส่ท้องให้ได้


เป้าหมายของผมคือร้านอาหารไทย ชื่อ Royal Thai อยู่ที่ Square บริเวณ Centrum ของ Lund
อาหารไทยมื้อนี้ของผมจบลงด้วย แกงเขียวหวานไก่ชามนึง ก็ข้าวสวยที่เสิร์ฟมาในหม้อ รสชาติของแกงเขียวหวานก็ฝรั้ง ฝรั่ง เป็นอาหารไทยกลายพันธุ์ เลยก็ว่าได้ แต่ก็ยังสามารถแก้ขัดความอยากของผมได้เป็นอย่างดี
สะระตะแล้วอาหารไทยมื้อนี้ที่ช่วยดับความอยากของผม ผมต้องจ่ายไป 79 kr หรือเกือบ 450 บาท ทีเดียว

Saturday 30 August 2008

ปรอทวัดอุณหภูมิ

เมื่อวานนี้ตอนไปที่ปราสาม Trolleholm ไม่น่าชื่อว่ามีการติดตั้งปรอทวัดอุณหภูมิโบราณอยู่ที่ปราสาทด้วย












แต่ที่ตกใจคือว่าทำไมมันใหญ่ขนาดนี้เท่านั้นเอง



แถมปัจจุบันยังคงใช้การได้ด้วยนะ ดูจากตัวหนังสือด้านล่างทำให้รู้ว่าปรอทนี้สร้างขึ้นที่ สต็อกโฮล์ม

Chair Curry

พูดถึงเรื่องข้าวราดแกง ก็คงเป็นอาหารหลักจานเด็ดจานหนึ่งของอาหารไทยเลยก็ว่าได้ครับ







เมื่อตอนก่อนมาที่สวีเดน ผมได้มีโอกาสแวะเวียนไปกินข้าวแกงร้านหนึ่ง ซึ่งผมเคยกินมาเป็นประจำ ก็คือข้าวแกงข้างๆ วักมังกรกมลาวาศนั่นเอง












ข้าวแกงที่นี่ต่างจากที่อื่นก็คือการที่ไม่มีโต๊ะ ผู้ที่ต้องการกินต้องนั่งเพียงเก้าอี้ มือถือจานข้าว แล้วก็กินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสภาพแวดล้อม คืออาคารเก่าที่แออัดรอบข้างแต่กระนั้นก็ดี แขกผู้มาลิ้มรสข้าวแกงร้านนี้ยังคงไหลมาอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลายาวนานแล้ว



วันนี้ผมมาเยือนร้านนี้อีกครั้งก็เลยสั่งเมนูมาสองจานก็คือ ข้าวราดพะแนงไก่กับกุนเชียง และข้าวราดแกงเขียวหวานไก่กับหมูหวาน รสชาติอร่อย











อย่างนี้ซิ "ข้าวแกงเก้าอี้"

แรลลี่

อย่างที่เล่าไปแล้วว่าวันนี้ผมเดินทางไปเที่ยวชมปราสาท พร้อมกับกินอาหารในห้องเลี้ยงสุดหรูในปราสาท Trolleholm


หลังจากกินอิ่ม Anders Coordinator ของหลักสูตร ก็จัดให้พวกเราออกกำลังกายโดยการจัดแรลลี่ขึ้นมา โดยแบ่งเป็นทีมเดินไปหาคำตอบตามฐานต่างๆ จำนวน 12 ฐาน รอบๆ สวนด้านหลังของปราสาท






ทีมผมประกอบด้วยสมาชิก 3 คน คือ ผม และอีกสองคนจากไอร์แลนด์ และตุรกี

ผลการแข่งขันปรากฏว่าทีมผมได้ที่สอง ได้ของขวัญเป็นเยลลี่ คนละถุง


แล้วคนอื่นๆ จะมองไงเนี่ยะ


ว่าแล้วก็ต้องทำเป็นคนดี แจกจ่ายให้ทุกคนกินด้วย แต่เหมือนโชคเข้าข้าง เพราะว่ามันค่อนข้างเปรี้ยว พวกฝรั่งมันว่าไม่อร่อย ก็เลยเข้าทางผม รีบเก็บใส่กระเป๋าโดยไม่รั้งรอ


เอาไว้กินแก้เลี่ยนฝรั่งดีกว่า

Soy Milk

ขึ้นชื่อว่า Soy Milk หรือน้ำนมถั่วเหลือง ดูมันไม่น่าจะเกิดเรื่องขึ้นได้เลย แต่มันก็ดั้นเกิดขึ้นมาได้


ด้วยความที่ผมอยากดื่มนมถั่วเหลืองไง เพราะว่ามาสองวันแล้ว ท้องยังปรับไม่ได้เลย กินอะไรได้ไม่มาก ก็ใช้การกินนมวัวเอา แต่พอกินนมวัวมันก็ถ่ายท้องบ่อย ก็เลยเกิดอยากเปลี่ยนไปเป็นนมถั่วเหลือง หรือ Soy Milk แทน


ปฏิบัติการซื้อนมถั่วเหลืองก็เริ่มขึ้น ผมเดินไปที่ ห้างสรรพสินค้าไอก้า (ICA) ก็ประมาณ Lotus Express บ้านเราแหละ อยู่แถวๆ สถานีรถไปในเมืองลุนด์ เพื่อซื้อนมถั่วเหลือง แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ หาแล้วหาเล่าก็ไม่มีนมถั่วเหลือง


พอดีพนักงานเดินผ่านมา ผมรวบรวมความใจกล้า ถามไปว่าที่มีมี Soy Milk ไหม


พนักงานหันมามองหน้าผม แล้วบอกว่าอยากได้ Soy Milk? เข้าทางแระ ก็เลยตอบว่า yes


แล้วมันก็บอกว่า เดินตรงไป ออกไปหน้า ICA แล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงไป ข้ามถนน แล้วยูก็จะเห็น....งงงงงงงงง อะไรของมันวะ


สรุปแล้วจนวันนี้ผมก็ยังไม่ได้ดื่มนมถั่วเหลืองสวีเดนซะที เพราะสื่อสารกะคนที่นี่ไม่รู้เรื่อง เพราะว่ามันไม่รู้จัก Soy Milk มารู้ทีหลังว่าที่นี่ต้องเรียกว่า “SOYA”


อ้าว แล้วที่พนักงานบอกผม มันให้ผมไปไหนวะ คิดยังไง๊ยังไง ทางที่มันบอก เดินตามไปมันก็รางรถไฟดีๆ นี่เอง


แล้วตกลงว่ามันเข้าใจว่าผมต้องการอะไรกันเนี่ยะ

Friday 29 August 2008

Trolleholm Castle

วันนี้ที่คณะจัดทริปพาไปเที่ยวชมปราสาทเก่า ชื่อว่า Trolleholm Castle อยู่ออกไปจากเมืองลุนด์นั่งรถประมาณครึ่งชั่วโมง คนที่ไปเป็นเพื่อร่วมรุ่น Master in Laws ที่ Lund University ประมาณ 30 คน






ทริปเริ่มสตาร์ทเวลา 10.00 ที่หน้า Cathedral กลาง Lundagard นั่งรถออกนอกเมืองไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงปราสาท











ปราสาทนี้สร้างขึ้นมาในปี 1760 ตั้งแต่สมัยที่บริเวณนี้ยังเป็นของเดนมาร์ก












การมาเยี่ยมชมปราสาทนี้ ผมได้ถ่ายภาพภายในและภายนอกปราสาทไว้มากมาย ตามไปดูได้ ที่ http://kitmarc.multiply.com/photos/album/19/










ที่สำคัญการเยี่ยมชมครั้งนี้ได้กินอาหารในปราสาทสุดหรูรวมกับกาแฟและของว่างอีก 2 มื้อ ฟรี ย้ำๆๆๆๆๆ ฟรี ดูจากรูปแล้วหรูมั๊ยล่ะ นึกว่าอยู่ในวังเสียอีก










ก็เลยถือว่าเป็นทริปที่คุ้มสุดๆ

1st Lonely Lunch

เมื่อวานนี้เป็นวันแรกที่ผมได้กินข้าวกลางวันคนเดียวอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก หลังจากตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็ต้องผิดหวังกับระบบ internet ที่ train แถมพอไปวันมัน เจ้าหน้าที่กลับบอกมาว่าคอมพิวเตอร์ผมและอาจเสีย เลยต่อไม่ได้ .... เอากะมัน คอมผมก็ใช้ได้ปกตินะ





ตกสายๆ เดินไปเปิดบัญชีธนาคารที่ Handelsbanken เพื่อรอรับเงินทุนการศึกษาที่ผมได้ จาก Sida และ Raoul Wallenberg Institute ก่อนที่จะเดินต่อไปที่ Sparta ซึ่งห่างออกไปประมาณ 2.5 กม. เพื่อศึกษาเส้นทางก่อนที่วันจันทร์ผมต้องเดินทางมารับกุญแจห้อง กว่าจะกลับมาได้ก็ง่อยเปลี้ยเสียขากันเลยทีเดียว รวมทั้งหมดประมาณ 7 กม. เห็นจะได้ สงสัยจะผอมมันก็คราวนี้แหละ





ขากลับมาในเมือง ที่ ลุนดากอล ก็เลยต้องหาอาหารกลางวันกินซะหน่อย ก็มาจบที่ ร้าน KEBUB ในเมือง กินไก่ เฟรนด์ฟลาย สลัด แล้วก็น้ำ เป็นเซ็ต สะระตะแล้วก็หมดไป 55 kr ประมาณ 300 บาทเห็นจะได้ เห็นราคาแล้วอยากกลับเมืองไทยด่วน คิดถึงอาหารไทยมาก ทำกับข้าวก็ยังไม่ได้เพราะต้องรอหอก่อน เบื่อสุดๆ กับเรื่องอาหารการกิน

Thursday 28 August 2008

Pizza หน้ากล้วยกระหรี่ @Lund

เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสไปกินพิซซ่า กับน้องๆ เพื่อนๆ ที่ Lund แถวๆ Vildanden ก็เขาบอกว่าอร่อยน่ะ ก็ทานกันประมาณ 8 คนได้


พิซซ่าที่นี่เป็นแป้งบางกรอบ แต่ไอ้หน้าพิซซ่านะสิ มันแตกต่างไปจากที่ประเทศไทยก็หลายหน้า เท่าที่ที่จำได้มันก็อร่อยนะ แม่ว่าบางหน้าจะประหลาดประลี่ ไปหน่อยก็คือ พิซซ่าหน้ากระหรี่กล้วย คิดดูว่าเอากล้วยหอมมาเป็นหน้าผสมกับผงกระหรี่ เอาเป็นว่าไม่เอาแล้วอ่ะ

@Bathroom again and again

โอ๊ย แค่เรื่องห้องอาบน้ำ ห้องน้ำก็มีเรื่องเล่าไม่จบไม่สิ้นเสียที แต่ยังดีที่วันนี้เรื่องที่เล่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่บ้าง (หรือเปล่า)


เหตุเกิดจากเมื่อคืนนี้ผมก็ต้องไปใช้ห้องอาบน้ำตามปกติ ในใจก็เลยคิดว่าทุกวันอาบแต่ห้องเบอร์ 2 มันมีเรื่องให้ต้องปวดหัวเสียทุกทีไป เอาเป็นว่าวันนี้จะอาบห้องเบอร์ 1 ดูซิว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง


วันนี้นอกจากเตรียมตัวมาอาบน้ำแล้ว ยังจะแถมด้วยการซักเสื้อสักตัวด้วย


ปฏิบัติการซื้อน้ำเริ่มต้นขึ้นด้วยการหยอดเหรียญ เหมือนเดิม พอเริ่มกดที่ 1 น้ำก็เริ่มไหลออกมา แต่ว่ามันไม่ค่อยจะอุ่นสักเท่าไหร่ แต่ที่ตกใจคือ ไม่ถึง 7 วินาที น้ำกดแรกก็หยุดเอาดื้อๆ


เอาอีกแล้ว ซวยทั้งปี.........


ผมต้องรีบฟอกสบู่เพื่อให้สามารถล้างให้หมดในกดที่สอง พอกดครั้งที่สอง น้ำก็ไหลมาแค่ 7 วินาทีอีก ซวยแล้วซวยเล่า กดที่สาม สี่ ห้า จึงตามมาเป็นขบวน โดนไม่คิดถึงเรื่องของการซักผ้าอีกต่อไป


ครบห้ากด สิทธิในน้ำก็หมด ไป


ผมตัดสินใจกดอีกทีเผื่อมีแถม แม้ว่าดูเหมือนงี่เง่า แต่มันได้ผล น้ำมันยังคงไหลออกมาให้ต่อไปเรื่อยๆ จนผมล้างตัว ซักผ้า ล้างแล้วล้างเล่า น้ำก็ไม่มีวี่แววจะหยุดไหลไปเสียทุกครั้ง

เบ็ดเสร็จผมกดน้ำไปได้ประมาณ 30 กด โดยที่ยังไม่มีวี่แววจะหยุดจ่ายน้ำให้ผม เรียกว่าอย่างน้อยก็เป็นการถอนทุนคืนจาก Train Hostel ให้ผมบ้าง นิดหน่อยก็ยังดี


เอาเป็นว่าต่อไปผมจะอาบน้ำแต่ห้องเบอร์ 1 เท่านั้น


ป.ล. เมื่อคืนผมได้นอนให้ห้องเพียงคนเดียวแล้ว เพราะแขกของ Hostel น้อย สบายเฉิบๆๆ

Wednesday 27 August 2008

@Bathroom AGAIN!!

เมื่อวานนี้ ผมก็ตัดสินใจที่จะอาบน้ำตั้งแต่เย็น เพราะตากฝนมา กะว่าจะรีบอาบน้ำ กินยา แล้วก็นอนแต่หัวค่ำ


วิกฤตการณ์ห้องอาบน้ำก็วนมาหาอีกครั้งหนึ่งครับ ครั้งนี้ด้วยความตั้งมั่นผมก็จังหวะน้ำเต็มที่ เตรียมอาบให้เสร็จในสองกด


กดแรก ผมล้างตัวด้วยน้ำอุ่นสุดสบาย แต่เนื่องจากอากาศค่อนข้างเย็นเพราะมีฝนตก ผมก็เลยต้องปรับให้อุณหภูมิน้ำสูงขึ้นอีกนิด ก่อนที่จะรีบถูสบู่และสระผมให้เสร็จก่อนจะกดน้ำไปเป็นครั้งที่สอง


กดที่สองน้ำอุ่นยังคงไหลออกจากฝักบัวอย่างต่อเนื่อง


แต่ผ่านไปสักห้าวินาที!!!!!


น้ำเริ่มไหลอ่อยลงเรื่อยๆ ๆ ๆ จนแทบเป็นฉี่มด ตัวผมยังคงเต็มไปด้วยฟองสบู่และยาสระผมอ่ะ จนน้ำกดที่สองหมด ตัวยังมันเลื่อมอยู่เลย


ผมไม่รีรอที่จะกดครั้งที่สาม น้ำก็ยังไหลไหลอ่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จนหมดน้ำกดที่สามฟองสบู่ยังเต็มหัว เต็มตัวอยู่เลย


กดสี่ ผมตัดสินใจที่จะลองปรับอุณหภูมิน้ำดู ปรากฎว่าพอหมุดผ่านจุดน้ำอุ่นสายน้ำก็ไหลทะลักออกมาใส่ผมอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ว่ามันเป็นน้ำใส่น้ำแข็งอีกแล้ว


กดสุดท้าย ที่ห้า ก็ตามคาด จบที่น้ำเย็นอีกครั้ง


จนแล้วจนรอดการอาบน้ำก็ยังคงมีอุปสรรคอีกครา


ป.ล. 1 มันสอนให้ผมรู้ว่า การต้องการน้ำอุ่นทำให้ผมเสียน้ำไปสองกดๆ ละ 20 วินาที
ป.ล. 2 หากสงสัย ผมตอบให้ว่าผมอาบน้ำแค่วันละครังตอนเย็น แค่นี้ก็แย่แล้ว มันหนาวววววอ่ะ

Tuesday 26 August 2008

Bathroom@Train Hostel

อย่างที่ผมเคยบอกเล่าไปแล้ว่าอาทิตย์แรกที่ลุนด์ ผมต้องอาศัย Train Hostel เป็นที่จำศีล ดังนั้นเลยอยากเอาเรื่องของที่พักที่นี่มาเล่าให้ฟัง




Train Hostel เป็นบ้านพักเยาวชนที่มีเอกลักษณ์มากแห่งหนึ่งในโลก เพราะว่าที่นี่เอาโบกี้รถไฟเก่ามาตกแต่งเป็นห้องพัก






ห้องที่ผมพัก อยู่ในโบกี้ M คือมาจากชื่อว่า Mabacka (1888-1940) โบกี้นี้เริ่มวิ่งตั้งแต่ 1888 แล้วมาปลดระวางไปเมื่อ 1940 ผมได้อยู่ห้อง M 4 ในโบกี้นี้



ภายในโบกี้ก็มีการตกแต่งเป็นห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว ห้องพักและที่สำคัญก็คือห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ











ในวันแรกผมเหนื่อยกับการเดนทางมากก็เลยตัดสินใจว่าจะอาบน้ำสักหน่อย ห้องอาบน้ำถูกจัดเป็นห้องล็อกหนึ่งมีสองห้อง ห้องนึงมีม่าน ห้องนึงไม่มีม่าน แต่ที่สำคัญก็คือ น้ำที่จะอาบน่ะต้องเสียเงินด้วยนะ ไม่ใช้ว่าจะใช้กันได้ฟรีๆ





ไอ้เสียเงินก็ไม่ว่า แต่คนที่จะอาบน้ำต้องหยอดเหรียญ 1 โครนสวีเดน ก็ประมาณ 5.3 บาทลงไปในกล่องที่มีเบอร์ห้องอยู่ เช่นจะอาบห้องเบอร์ 1 ก็เอาเหรียญหยอดที่กล่องเบอร์ 1





จากนั้นก็เข้าไปในห้องอาบน้ำ จะมีปุ่มให้เรากด เงินหนึ่งโครนจะกดน้ำได้ประมาณ 5 ครั้ง ครั้งหนึ่งน้ำจะไหลลงมาครั้งละ 20 วินาที




ทีนี้ล่ะ เราก็ต้องกะจังหวะดีๆ ว่าจะเอาตอนไหนให้น้ำไหล




ไอ้ความไม่เคยผมก็เลยกดน้ำล้างตัวไปหนึ่งครั้ง โอ้ย สบาย การอาบน้ำอุ่นท่ามกลางอากาศเย็นๆ



จากนั้นก็ฟอกสบู่ แล้วก็กดล้างอีกครั้ง ก่อนที่จะบรรจงถูสบู่ล้างสิ่งสกปรกอย่างสบายใจอีกครั้ง



แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ กดน้ำครั้งที่สาม น้ำอุ่นสุดสบายกลับกลายเป็นน้ำเย็นอย่างไม่คาดฝัน จะกระโดดหนีก็ไม่ได้ เพราะผมอาบห้องด้านในที่มีผนังบังอยู่สักฟุตนึง เลยจำใจอาบไป 20 วินาที กะว่าคงมือไปปัดโดนปุ่ม ทำให้น้ำกลายเป็นน้ำเย็น




ผมบรรจงกดน้ำใหม่อีกครั้ง น้ำที่ไหลออกมาประหนึ่งน้ำเย็นที่มีน้ำแข็งแช่อยู่ ผมแทบยืนแข็งเลยในห้องอาบน้ำ กลัวว่าคืนนี้ไข้ได้ขึ้นแน่ๆ



แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ผ่านมาได้แล้วคืนนึง อีก 4 คืนที่เหลือจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ




ป.ล. ผมมารู้ว่าฝรั่งมักอาบน้ำ ถูสบู่ครั้งเดียว ดังนั้นกดน้ำสองครั้งก็เสร็จ น้ำที่กดครั้งที่ 3-5 เขามักใช้ซักผ้า ดังนั้นก็เลยไม่ใช่น้ำอุ่น




เฮ้อ!! แล้วตูจะรู้ได้ไงล่ะเนี่ยะ ว่าฝรั่งมันอาบน้ำสองขัน


ตามไปดูรูป Train Hostel ได้ที่นี่ http://kitmarc.multiply.com/photos/album/16/Train_Hostel

Lund Cathedral

วันนี้ช่วงบ่ายมีเวลาว่างนิดหน่อย เพราะไม่ได้ไปเที่ยวมาลเมอร์กับเพื่อนๆ น้องๆ ก็เลยมีโอกาสในการออกเดินสำรวจเส้นทางในเมืองสักเล็กน้อย เพื่อเป็นลู่ทางในการเดินทางในวันรุ่งขึ้น




ลุนด์เป็นเมืองเล็กๆ ดังนั้นการเดินทางด้วยเท้าจึ่งไม่ใช่เรื่องยาก








แต่เมื่อมาลุนด์ทั้งทีก็ต้องแวะเวียนไปเที่ยวที่โบสถ์เก่าแก่สุดๆ ที่ลุนด์ ทีนี่เปรียบเป็นสัญลักษณ์ของลุนด์เลย ไม่ได้มาเท่ากับว่ามาไม่ถึงลุนด์ ผมเลยเอารูปมาฝากครับ ตามไปดูรูปทั้งหมดได้ที่นี่ครับ http://kitmarc.multiply.com/photos/album/18/

Sunday 24 August 2008

K-JAY@Copenhagen

หลังจากการเดินทางระยะทางกว่า 5,000 ไมล์ ล้อของเครื่องบินสายการบินไทย สายการบินแห่งญาติได้แตะรันเวย์ของสนามบินโอเปนเฮเกน ในเวลา 7.00 น. ของวันที่ 24 สิงหาคม 2551

วันนี้เป็นวันแรกของการเดินทางมายังทวีปยุโรปเป็นครั้งแรกของผม บนสายการบินได้เจอเพื่อใหม่อีก 3 หน่อ ซึ่งทั้งสามคนเรียน Information System ที่ลุนด์ทั้งหมด แถมยังเป็นรุ่นน้องผมไปเสียทุกคน ภาวะความจำเป็นในการเป็นพี่ใหญ่ก็เริ่มขึ้นมาโดยปริยาย



สนามบินกรุงโฮเปนเฮเกน ยามนี้ออกจากไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ เพราะว่ากำลังซ่อมแซมและก่อสร้างอะไรต่ออะไรเพิ่มเติม เดินไปมาจึงเหมือนเขาวงกต ต้องคอยเดินตามลูกศรที่บอกไว้



การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของเดนมาร์กก็ผ่านได้อย่างสะดวกสบาย เพียงสักครู่พวกเราก็ออกมารอกระเป๋ากันเรียบร้อยแล้ว


ออกจากสนามบิน เดินทางทางลงมาใต้ดิน ก็เป็นเส้นทางของ Metro สายรถไฟเพื่อเข้าสู่เมืองโคเปนเฮเกน คิดไปคิดมาก็ไม่แน่ใจว่าอีกหน่อยประเทศไทยมี Airport Link แล้ว มันจะสะดวกสบายเหมือนที่นี่หรือเปล่า


จากสถานีรถไปที่สนามบิน ผ่านมาสามสถานี ผมก็มาถึง ฮูเบนกอน (Hovendbangard) หรือ Central Station ของโคเปนเฮเกน เสียค่าโดยสารไป 30 DEK ก็ประมาณเกือบ 200 บาท เพื่อมายังที่พักที่ Scandic Hotel Copenhegen



ตกบ่ายได้ไปเที่ยวในเมืองโคเปนก็เลยอยากเอารูปมาฝากกันน่ะครับ ทั้งไปเที่ยวดู Little Mermade กับชมสถาปัตยกรรมในระแวกนั้น สวยงามมากนะครับ ตามไปดูรูปกันได้ที่นี่ http://kitmarc.multiply.com/photos/album/15

Friday 22 August 2008

It's time to go

และแล้ววันนี้ก็มาถึง


คืนวันนี้ผมก็จะเดินทางไปยังประเทศสวีเดนแล้วครับ ด้วยสายการบินไทยที่ TG 950 จากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ไปยังโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังลุนด์ ประเทศสวีเดน


จึงขออาศัยพื้นที่นี้ เป็นการบอกลาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ว่าผมจะไปวันนี้แล้ว ขอให้เป็นกำลังใจให้ผมบ้างก็แล้วกัน


แอบหวังว่า ที่ลุนด์ คงจะมีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิตผมบ้างไม่มากก็น้อย



K-JAY

Saturday 16 August 2008

ศาลเจ้าแม่ทับทิม วัดเลียบ



เมื่อวานนี้ได้ผ่านไปแถววัดเลียบมาครับ ก็เลยได้โอกาสเข้าไปไหว้เจ้าแม่ทับทิมที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมมา ขอพรเสียหน่อยเพราะว่าจะไปเรียนแล้ว ศาลเจ้าแม่ทับทิมที่นี่สร้างมานานกว่าร้อยปีแล้ว แถมเป็นศาลเจ้าแม่ทับทิมที่ผู้คนมักมาแวะสักการะเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ใครผ่านไปมาแถวนี้ก็แวะกันมาไหว้ด้วยนะครับ
ส่วนถ้าอยากอ่านรายละเอียดประวัติเจ้าแม่ทับทิม ก็ตามไปอ่านกันได้ที่นี่ http://www.tewaracha.com/history-jao-mae-tab-tim.shtml

การรักของ

การปลูกฝังให้เป็นคนที่รักสิ่งของที่อาม้ามักสอนผมตั้งแต่เด็กก็คือ การพยายามให้เราเห็นถึงคุณค่าของสิ่งของทุกสิ่ง อย่าเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์แล้ว แล้วก็ทิ้งมันไปเสีย


วิธีการสอนให้พวกผม (ผมและพี่ๆ) รักของก็คือ อาม้ามักจะให้พวกเราร่วมเป็นเจ้าของสิ่งของนั้นๆด้วยเสมอ ไม่ว่าของนั้นจะเล็กหรือใหญ่ หรือมีราคาค่างวดเพียงใดก็ตาม ตั้งแต่วิทยุยันรถยนต์เลย เช่น ตอนที่พวกเราอยากได้วิทยุ อาม้าอาปาจะออกเงินส่วนใหญ่ให้ ส่วนพวกเราก็ต้องเอาเงินเก็บของพวกเรามาสมทบด้วย แค่นี้ ของชิ้นนั้นๆ ก็เป็นของที่เราเป็นเจ้าของร่วม เพราะร่วมออกเงินซื้อด้วยแล้ว


แค่นี้มันก็เป็นการปลูกฝังนิสัยการรักของให้กับผมโดยไม่รู้ตัวแล้ว

การเปลี่ยนรถใหม่

วันนี้เป็นวันที่ผมได้ส่งมอบรถคู่ใจผมให้กับเจ้าของใหม่ไปแล้วครับ ต่อไปก็คงเหลือแต่ความทรงจำที่ดีของผมกับรถคันนี้ที่จะอยู่ในใจผมตลอดไป


ผมนั่งรถกลับบ้านพร้อมกับอารมณ์เศร้าอยู่พักใหญ่ใจหายน่ะครับ สักพักอาม้าก็โทรมาถามว่า "ใจหายไหม ตอนให้รถเขาไป"

ก็เลยตอบไปว่า "นิดหน่อย"

อาม้าเลยว่า "ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเรียนกลับมาก็ซื้อใหม่แล้วกันนะ"


ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าอาม้าคงเข้าใจความรู้สึกผมเป็นอย่างดี เพราะอาม้าก็เป็นคนที่รักของเช่นกัน


ตลอดระยะเวลาที่นั่งรถกลับผมพยายามทำใจเรื่องนี้อยู่ ความทรงจำก็ผุดขึ้นมาว่า อาปาเคยสอนว่า "การที่เราขายรถน่ะ แน่หละมันใจหายที่ต้องเสียรถของเราไป แต่ให้คิดว่าการเปลี่ยนรถก็เหมือนการเปลี่ยนเสื้อ เมื่อมันเก่ามันขาดเราก็ต้องทิ้ง หรือแปลสภาพมันไป แล้วเอาเสื้อใหม่มาใส่แทน"

ผมจะพยายามคิดเช่นนั้นครับ

Thursday 14 August 2008

ขนมเข่ง

วันพรุ่งนี้แล้วจะเป็นวันสาร์ทจีน หนึ่งในวันสำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีน


พรุ่งนี้ต้องมีการไหว้เจ้าที่ ไหว้บรรพบุรุษ แต่ที่ผมจะเขียนวันนี้ไม่ใช่เรื่องพิธีการไหว้ แต่ที่ผมจะเล่าคือเรื่องของขนมเข่ง


ตั้งแต่เด็ก ที่บ้านผมจะทำขนมเข่งกันทุกปีๆ ละ 2 ครั้ง คือช่วงตรุษจีน กับสาร์ทจีน เมื่อวานนี้ ที่บ้านผมก็นึ่งขนมเข่งเช่นกัน ก็เลยอยากเอามาเขียนไว้เพื่อเป็นความทรงจำที่ดีอีกอย่างหนึ่ง


การทำขนมเข่งต้องเริ่มจากการแช่ข้าวเหนียวเพื่อนำไปโม่ แล้วนำแป้งที่โม่มานวดใส่น้ำตาลและน้ำ จนเป็นแป้งเหลวที่พร้อมที่จะนึ่ง






ก่อนจะนึ่งเราก็ต้องนำกระทงใบตองมาเตรียมพร้อมใส่ไว้ในเข่งสำหรับนึ่ง แล้วจึงเรียงใส่ซึ้งให้เต็มเพื่อพร้อมในการนึ่ง










เมื่อนึ่งเสร็จ (ใช้เวลาราวๆ สองก้านธูป) ขนมเข่งก็สุก นำออกมาผึ่งแล้วแต้มสีแดงให้สวยงาม












เป็นอันเสร็จสรรพแล้วครับ ขนมเข่ง

การเตรียมตัว

ห่างหายหน้าไปนานหลายวัน ผมไม่ได้หายไปไหน แต่ว่ากลับไปอ่างทองมาครับ กลับไปอยู่กับอาปา อาม้ามา ก่อนที่จะต้องเดินทางไกลในอีกอาทิตย์กว่าๆ ข้างหน้า


ช่วงเวลาที่ผ่านมา 4-5 วัน ผมมีเรื่องต้องติดต่อจำนวนมาก เนื่องจากผมได้ที่พักที่สวีเดนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันจันทร์ ทำสัญญากันแล้ว เหลือเพียงต้องรีบดำเนินการจ่ายเงินให้แล้วเสร็จในไม่ช้านี้


แต่ว่าไปไอ้ที่พักที่ได้เนี่ยะ มันเข้าอยู่ได้วันที่ 1 กันยายน ดังนั้นผมยังคงต้องอาศัยแผนเดิม คือการอยู่ที่ Train Hostel ไปก่อนเป็นเวลาเกือบอาทิตย์ ถึงค่อยย้ายเข้าไปที่หอที่เช่าได้


เอาเป็นว่าผลจะสรุปเป็นอย่างไรผมจะมาเล่าให้ฟังกันอีกครั้งนะครับ

Error

ช่วงนี้ weblog ของผมเกิดความผิดพลาดขึ้นครับ อ่านไม่เป็นภาษาเลย ดังนั้น ถ้าอยากอ่านข้อมูลอัพเดทกันก็ไปที่นี่ครับ


K-JAY's ERA: Preamble: http://kitmarc.multiply.com

Sunday 10 August 2008

อุปัทวเหตุบนท้องถนน

ในชีวิตของผม ประสบอุปัทวเหตุบนท้องถนนมาหลายครั้ง แต่ยังโชคดีที่แต่ละครั้ง ไม่มีการถึงกับเลือดตกยางออก




  • ครั้งนึงตอนผมอยู่ชั้น ป. 5 รถยนต์ที่ผมนั่ง พ่อผมเป็นคนขับประสบอุปัทวเหตุบริเวณถนนสายเอเซีย ก่อนเข้าจังหวัดอยุธยา มีคนเสียชีวิตด้วย แต่ผมไม่เป็นไร

  • ครั้งต่อมาช่วงผมอยู่ ม. 3 ขณะรถบัสที่นั่งเพื่อไปออกค่ายลูกเสือที่ค่ายวชิราวุธ ประสบอุปัทวเหตุ หักหลบตกลงคูข้างทาง พวกผมต้องอยู่นิ่งๆ และค่อยๆย่องมาออกทางท้ายรถ ครั้งนี้ก็ไม่มีใครบาดเจ็บ

  • ครั้งต่อมาตอนจบ ม.6 ขณะที่ผมกับเพื่อนนั่งรถตู้กลับจากหาดใหญ่มาที่ตรัง มีรถขับย้อนศรมา รถตู้หักหลบลงข้างทาง ดีนะที่ไม่พลิกคว่ำ ครั้งนี้ก็โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

ดังนั้น การขับรถบนท้องถนน เราต้องมีสติ และมีสมาธิจดจ่อกับการขับรถด้วยเสมอ ดังที่พ่อผมสอนนั่นแหละ ว่า "คนขับรถเก่งน่ะ ไม่มีหรอก เพราะว่าไม่ว่าจะเรียกตนว่าเก่งขนาดใหญ่ ถ้าประมาทอุปัทวเหตุก็เกิดขึ้นได้เสมอ"

ป.ล. อาจมีคนสงสัยว่าทำไม่ผมใช้อุปัทวเหตุ ก็เพราะคำที่ถูกต้องของ accident ก็คือ อุปัทวเหตุ ส่วนอุบัติเหตุนั้น ตรงกับภาษาอังกฤษว่า incident ก็เลยอยากเลือกใช้คำนี้ หาได้มีเหตุผลอื่นหรอก

My Altis

เนื่องด้วยเร็วๆ นี้ผมจะเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศสวีเดน เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องนำรถของผมออกขาย ซึ่งตอนนี้ก็ได้ตกลงขายไปแล้วแหละครับ


รถของผมเป็นรถอัสติส สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน วก 3108 เป็นรถคันแรกในชีวิตที่ผมมีไว้เป็นส่วนตัว รถคันนี้ออกมาเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2001 รวมแล้วรถคันนี้อยู่กับผมมาเกือบ 7 ปีเต็ม ประสบการณ์มากมายที่เกิดขึ้นกับผม พร้อมๆ กับรถคันนี้ที่ผมยังจดจำได้ดี


  • ราวๆ ปี พ.ศ. 2546 (2003) ล้อรถคันนี้ถูกตะปูตำ ยางแบน ขณะที่ผมไปจอดเพื่อทำบุญที่วัดญาณเวศกวัน จังหวัดนครปฐม ทำให้ผมมีชะตาต้องกับวัดนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้มาเยือน และต่อมาผมก็ได้เข้าอุปสมบทที่วัดแห่งนี้ ในปีต่อมา (2004) และพี่ผมก็ได้เข้าอุปสมบทในวัดนี้ในปีถัดมา (2005) โดยมีท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือพระธรรมปิฎก ในขณะนั้นเป็นพระอุปัชฌาย์ และต่อมาท่านเจ้าคุณก็ได้ตั้งนามสกุลให้กับครอบครัวเราว่า "ชยางคกุล"
  • ราวๆ เดือนเมษายน 2548 (2005) ผมขับรถไปยังอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เพื่อออกค่ายอาสาที่บ้านห้วยน้ำหนัก ขากลับผมกลับขับรถหลง แทนที่จะเดินทางกลับที่ตัวเมืองราชบุรีผมพร้อมอัลติสคันนี้กลับเดินทางมุ่งออกไปยังชายแดนพม่า ผ่านทั้งเขาแล้วเขาเล่าทั้งห้วยแล้วห้วยเล่า จนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์จนเสียวสันหลังวาบ กลับตัวแทบไม่ทัน กลับรถแทบหลังหักก็อีตอนเห็นป้ายชายแดนไทย-พม่า
  • หลายครั้งที่ผมห้อรถอัลติสไปพักผ่อนทั้งหัวหิน ชะอำ พัทยา ระยอง นครราชสีมา นครปฐม เพื่อชาร์ตแบตเตอร์รี่ ครั้งนึงราวๆ ปี 2545 (2002) ห้อเร็วเสียจนโดนจับความเร็วที่เส้นทางชลบุรี-พัทยา และไม่นับการโดนจับเพราะขับรถผิดกฎจราจรอีกหลายครั้ง เช่น ที่หน้าห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่แยกถนนสุรวงศ์

เพราะรถคันนี้ที่ทำให้ผมมีความสะดวกสบายในการเดินทางมาเกือบ 7 ปี ทั้งการทำงานและพักผ่อน

แม้ว่าที่จริงแล้วผมไม่เคยคิดอยากจะขายรถคันนี้เลย แต่ถ้าเก็บไว้แล้วไม่ได้ใช้ ผลเสียที่ตามมาคงจะมีมากกว่าจริงๆ ต่อไปก็คงขอเก็บความทรงจำที่ดีของรถอัสติสคันนี้ไว้กับตัวเองตลอดไป

การบริหารสมอง

วันนี้ได้รับ forward mail มา เรื่องเกี่ยวกับวิธีในการฟิตสมอง หรือการบริหารสมองนั่นเอง เห็นว่าน่าสนใจก็เลยขอเอามาโพสไว้ที่นี่ละกัน เพื่อเป็นการเผยแพร่ต่อๆ กันไปนะครับ

8 ทางลัดฟิตสมอง
  1. เที่ยวพิพิธภัณฑ์
    โดยต้องเอาใจจดจ่อและใส่ใจกับโบราณวัตถุหรือสิ่งที่จัดแสดงที่แปลกใหม่ วิธีนี้เป็นการฝึกการระลึกได้และความจำของสมองในระดับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการรับข้อมูลที่เห็น การจดจำ และการคิดไปในคราวเดียว ช่วยให้สมองทำงานดีขึ้นและป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง
  2. เล่นลูกบอล
    ผลัดกันขว้างและรับลูกบอลใบใหญ่ จาก 1 ลูกก็ลองเพิ่มเป็น 2 ลูก ถ้าสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวและการรับส่งได้ดี จะช่วยสมองในเรื่องของการมองเห็น ระบบประสาทสัมผัส และการทำงานประสานกันระหว่างมือและสายตา
  3. ลดเสียงโทรทัศน์ลง
    เมื่อฟังอย่างตั้งใจก็จะพบว่าสามารถฟังได้รู้เรื่องเหมือนตอนที่เสียงดังก่อนหน้านี้ วิธีนี้เป็นการฝึกสมองให้จับใจความสิ่งที่ได้ยินได้ฟังได้อย่างรวดเร็ว
  4. ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด
    เริ่มกันแต่เช้า ด้วยการหัดแปรงฟัน จากนั้นลองทำกิจกรรมที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ใช้ช้อนตักข้าว ฝึกกิจกรรมแบบเดียวกันนี้ทุกวัน ทำบ่อย ๆ ช่วยให้เซลล์ประสาทหลายล้านเซลล์ได้เรียนรู้กลเม็ดใหม่ ๆ
  5. หัดเล่นเครื่องดนตรีใหม่ๆ
    การฟัง การควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างมีสติ ตลอดจนการแปลความโน้ตดนตรีต่าง ๆ ช่วยให้การทำงานของสมองหลายด้านได้สัมพันธ์กัน
  6. จดจำเนื้อเพลง
    เลือกฟังเพลงที่ชอบและดูเนื้อเพลงไปด้วย รอบแรกฟังโดยไม่ต้องจำเนื้อเพลง รอบสองเขียนเนื้อเพลงและร้องตามไปด้วย การฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นการเพิ่มศักยภาพในการทำความเข้าใจ การคิด และความสามารถในการจดจำให้เฉียบคมยิ่งขึ้น
  7. ฝึกโฟกัสสายตา
    ลองนั่งในสวนสาธารณะ แล้วมองจ้องตรงไปข้างหน้าโดยไม่กลอกตา มุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เราเห็น มองทุกสิ่งรอบ ๆ อาจจดบันทึกด้วยก็ได้ว่าเห็นอะไรบ้าง วิธีนี้ช่วยเพิ่มพลังให้สารสื่อ-ประสาททำงานในเรื่องความจำและโฟกัสสายตาได้อย่างดีเลิศ
  8. ทำกิจกรรมเงียบๆคนเดียว
    หากิจกรรมที่ดีต่อสมองทำเมื่ออยู่คนเดียว เช่น การเล่นปริศนาอักษรไขว้ การถักนิตติ้ง การจดจ่อกับกิจกรรมช่วยพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของสมอง

แหล่งที่มา : นิตยสารชีวจิต ปีที่ 10 ฉบับที่ 229

Thursday 7 August 2008

สโลแกน

ด้วยเหตุเกิดจากความเหงา ผมก็เลยต้องนั่งท่อง internet ไป วันๆ หาโน่นนี่ทำ


วันนี้นึกได้ขึ้นมาเลยจะมาแนะนำให้ทุกคนสร้างสโลแกนประจำตัวขึ้นมาน่ะสิ


ผมไปเจอ web นี้มาเกือบปีแล้ว เป็นเว็บที่ช่วยเราสร้างสโลแกนประจำตัว เพียงแต่กรอกชื่อเราลงไป ระบบก็จะหาสโลแกนให้กับเราน่ะ ง่ายนิดเดียว ลองไปดูกันที่นี่ http://www.slogan4u.com/


ส่วนสโลแกนเหล่านี้ ก็คือที่ผมเลือกไว้ใช้
Get your daily dose of KJ.
KJ to play it safe.
KJ = the best.
KJ, what else?
KJ - reinventing the wheel.
KJ is always the one.
KJ the only way to go.
No finer KJ can be found.
Saved by KJ
I found me KJ.
KJ, a radical new idea
It's nothing but KJ

ทัศนคติที่ดี ตอนที่ 3 (ตอนสุดท้าย)

ประการที่ 4 การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นทัศนคติที่มองว่าคนเราควรมีอิสระ เสรีภาพทางด้านความคิด ไม่จำเป็นต้องเดินตามกรอบที่ตีไว้หากแต่บ่อยครั้งที่เราพบว่าผู้คนมักกล่าวอ้างว่าเป็นการคิดนอกกรอบ แต่ที่จริงแล้ว การคิดนอกกรอบตามนัยที่แท้แล้วอาจมิใช่เพียงการใช้เสรีภาพทางการคิดให้แตกต่างออกไปโดยไม่พิจารณาถึงเหตุที่กรอบนั้นถูกตีขึ้นมาทำให้ความคิดที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างหรือสวนกระแสกับกรอบดังกล่าวไปโดยสิ้นเชิงที่อาจเรียกว่า ขบถทางความคิด หากแต่ที่จริงแล้วการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ต้องเป็นการใช้อิสระ เสรีภาพทางด้านความคิดที่มีพื้นฐานอยู่ที่ความรู้ ความเข้าใจตามสภาพความเป็นจริงที่ปรากฎ โดยไม่ลืมที่จะพิจารณากรอบที่ถูกขีดขึ้นมานั้นด้วย


ประการที่ 5 การประเมินและความคาดหวังต่อศักยภาพของคนอื่น

ความคาดหวังต่อศักยภาพของตนเอง เป็นทัศนคติที่มีฐานมาจากการประเมินถึงศักยภาพของตนเองโดยมีพื้นฐานถึงความเข้าใจ หรือรู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองหากเราสามารถประเมินศักยภาพของตนเองว่ามีเพียงพอแล้ว ก็ต้องไม่ลืมในการพัฒนาศักยภาพของเราให้สูงขึ้น หรือแม้ว่าเราประเมินได้ว่าศักยภาพของเราไม่เพียงพอ ก็ต้องพยายามในการพัฒนาศักยภาพของเราให้สูงขึ้นเช่นกัน แต่บ่อยครั้งคนเราหาได้ทำเช่นนั้นไม่ หากแต่เมื่อประเมินศักยภาพของตนเองแล้ว แทนที่จะมีการพัฒนาตนเอง กลับไปประเมินศักยภาพของคนอื่น โดยมุ่งหวังที่จะอาศัยศักยภาพของคนอื่นในการเข้ามาจัดการงานของตน ซึ่งเป็นการที่เรานำเอาความสำเร็จของงานไปขึ้นอยู่กับคนอื่น การมีทัศนคติต่อศักยภาพของคนอื่นที่ถูกต้อง จึงควรเป็นไปในแนวทางที่เราจะต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองให้สูงพอที่จะทำการของตนให้ลุล่วง จนอาจเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ด้วย หรือไม่ก็เป็นกรณีที่ตนเองมีศักยภาพ แต่กลับผลักภาระให้ความสำเร็จของงานไปขึ้นกับศักยภาพของบุคคลอื่น โดยลืมไปว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำให้บุคคลอื่นพัฒนาศักยภาพมากขึ้นในขณะที่ตนเองกลับถูกทิ้งให้เดินตาหลังผู้อื่นแต่อย่างเดียว


ประการที่ 6 ทัศนคติด้านตรรกะ ในการแก้ปัญหา

ทัศนคติด้านตรรกะในการแก้ปัญหา เป็นทัศนคติซึ่งคนส่วนใหญ่มี และใช้อยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่มีปัญหาเข้ามาในชีวิต โดยตรรกะในการทัศนคติที่ดีในการแก้ปัญหาในที่นี้ คือ การที่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วเราสามารถแก้ได้เพียงใด การสาวหาเหตุปัจจัยที่เป็นที่มาของปัญหา บ่อยครั้งที่คนเรามักมองสาเหตุแห่งปัญหาผิดจุด คือ การมองสาเหตุของปัญหาจากจุดไกลมายังจุดใกล้ มองจากภายนอกเข้ามาภายใน ซึ่งที่จริงแล้วการหาเหตุแห่งปัญหาที่ง่ายและเป็นแนวคิดที่ดี ควรเริ่มจากการมองดูที่ตัวเองก่อนว่าเป็นส่วนหนึ่งในการก่อให้เกิดปัญหานั้นขึ้นหรือไม่ แทนที่พยามหาว่าอะไร หรือใครเป็นสาเหตุแห่งปัญหานั้น อีกทั้งในบางครั้งเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าตนเองเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาหรือ ความผิดพลาดนั้นๆขึ้น แต่ก็กลับไม่ยอมรับความจริง ว่าตนผิดพลาดและควรเร่งพัฒนาศักยภาพของตน แต่กลับครุ่นคิดวกวนความผิดพลาดนั้นจนท้อแท้ และไม่เดินต่อไปยังจุดหมายที่ตั้งใจ


ทัศนคติดังกล่าวข้างต้น ทั้ง 6 ประการ ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของทัศนคติที่ดี หรือแนวคิดเชิงบวกพื้นฐานต่อตนเอง และต่อสังคมรอบข้างที่อย่างน้อยทุกคนควรต้องมีและต้องพร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้มีทัศนคติที่ดีด้านอื่นๆ ให้มีมากขึ้นตามลำดับต่อไป

ทัศนคติที่ดี ตอนที่ 2

ทัศนคติหรือแนวความคิดเห็นในทั้งสามด้านนี้ อาจปรากฎออกมาในรูปแบบต่างๆโดยการผสานกันอยู่อย่างแยกออกจากกันแทบไม่ได้ หรืออาจอยู่แยกเป็นเอกเทศ จากกันเลยก็ได้ ในบางกรณี


แต่หากเราจะพิจารณากันให้ดีแล้วทัศนคติทั้งสามด้านของคนเรานั้น อาจแบ่งแยกโดยเอาตัวเราเป็นที่ตั้งได้อยู่ 2 ประการเท่านั้น คือ ทัศนคติต่อตนเอง และ ทัศนคติต่อคนอื่น สิ่งอื่นรอบข้าง ซึ่งทัศนคติทั้ง 2 ประการดังกล่าวของคนเรานั้นเป็นตัวขับเคลื่อนที่ก่อให้เกิดกระบวนการคิด การกระทำต่างๆตามมา ทั้งด้านที่ดีและไม่ดี ดังนั้นการที่เราจะสามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้นส่วนสำคัญประการหนึ่งก็คือ ทัศนคติของตัวเราเอง นั่นเอง ที่เป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญประการหนึ่ง ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การมีทัศนคติที่ดี ก็เป็นปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดความสำเร็จในทางที่ดีเช่นกัน แต่การที่เรามีทัศนคติที่ดี หรือมีการพัฒนาไปสู่การมีทัศนคติที่ดีนั้น จะดำเนินไปอย่างไรเป็นอีกประการหนึ่งที่ทุกคนควรต้องมาพิจารณากัน ทัศนคติที่ดี หรือการคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ทั้งในด้านตนเอง และในด้านบุคคลอื่นที่สำคัญนั้นมีอยู่หลายประการดังนี้


ประการที่1 การมีความเชื่อมั่นในตัวเอง

การมีความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นทัศนคติด้านบวกต่อตนเองว่า ตนเองมีศักยภาพในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ มากน้อยเพียงใด การมีความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นกรณีที่เราทุกคนควรมั่นใจว่าเรามีศักยภาพเพียงพอในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย แต่ในความเป็นจริงคนเราทุกคนไม่สามารถที่จะรู้และเข้าใจดีในทุกเรื่อง แต่ถึงแม้ว่าสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำนั้นตนเองไม่มีความสามารถเฉพาะด้านนั้นเพียงพอ ก็ต้องมีควาเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถฝึกฝน จนสามารถทำงานนั้นได้ดังนั้น ความเชื่อมั่นในตนเองในที่นี้จึงเป็นความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง และอีกทางหนึ่งก็คือ การเชื่อมั่นในการพัฒนาศักยภาพของตนเองด้วย


ประการที่ 2 การประเมินศักยภาพตัวเอง

การประเมินศักยภาพตัวเอง เป็นทัศนคติต่อตนเองในความคาดหวังถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยความคาดหวังในที่นี้ต้องเป็นความคาดหวังที่มีพื้นฐานบนความรู้และความเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง บางครั้งผู้คนอาจคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่สูงโดยขาดการพิจารณาถึงพื้นฐานของความเป็นจริง ทำให้เกิดความผิดหวังขึ้นได้ แต่ในทางกลับกันการคาดหวังต่ำโดยไม่พิจารณาถึงพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ว่าเกิดจากการขาดความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง การประเมินคุณค่าถึงศักยภาพของตนที่ต่ำ หรืออาจเกิดจากการที่ไม่อยากเผชิญกับความผิดหวัง ก็อาจทำให้ขาดแรงผลักดันที่จะทำงานนั้นให้เสร็จ และอาจทำให้ผลงานที่ออกมานั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ดังนั้นทุกคนควรตระหนักไว้เสมอว่าคนเรามีศักยภาพในการพัฒนาตนเองเสมอ


ประการที่ 3 การยอมรับตนเอง และการให้เกียรติตัวเอง

การให้เกียรติตัวเอง หรือการยอมรับตัวเอง เป็นทัศนคติต่อตัวเองที่มีพื้นฐานร่วมมากับการมีความเชื่อมั่นในตนเอง และการประเมินศักยภาพของตนเอง คือคนเราเมื่อมีความเชื่อมั่นในตนเอง และสามารถประเมินศักยภาพของตนเองได้ ก็ต้องยอมรับผลที่ออกมาให้ได้ ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะเป็นที่พอใจหรือไม่ก็ตาม เพราะอย่างไรก็ดีแม้ว่าผลที่ออกมาจะดี เราก็ไม่ควรยึดติดหรือหยุดอยู่กับที่ เพราะคนเราพัฒนากันได้ตลอดเวลา การหยุดอยู่กับที่ในขณะที่คนอื่นเดินไปข้างหน้านั้น ก็ไม่ต่างจากกับการเดินถอยหลัง แต่หากผลลัพธ์ที่ออกมาไม่น่าพอใจ เราก็ไม่ควรดูถูกตัวเอง หากแต่ต้องให้เกียรติตัวเอง และพร้อมที่จะพัฒนาตนต่อไปให้มีศักยภาพให้สูงขึ้น

ทัศนคติที่ดี ตอนที่ 1

ความทรงจำต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ผมขีดเขียนขึ้นเพื่อให้นักศึกษาได้อ่านครับ ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2548 ผมเลยอยากจดจำเรื่องราวนี้ไว้เพื่อเตือนตัวเองครับ หวังว่ามันอาจช่วยเตือนคนที่อ่านทุกคนได้บ้างนะครับ (อาจมีหลายตอนไปหน่อยก็ ค่อยๆ อ่านนะครับ)


บ่อยครั้งที่เราได้ยินผู้คนมักพูดว่ามีทัศนคติที่ดี หากมีใครกล่าวเช่นนี้ว่าเรามีทัศนคติที่ดี ประการแรกที่สามารถรู้สึกได้คือ เราได้รับคำชมเชยมากกว่าที่จะถูกตำหนิ การมีทัศนคติที่ดี โดยนัยของมันเองก็คงเป็นคนละด้านกับการมีทัศนคติที่แย่ หรือมีทัศนคติที่ไม่ดี ในการที่เราจะทำความเข้าใจ กับการมีทัศนคติที่ดี ซึ่งโดยลักษณะของตัวมันเอง เป็นนามธรรมที่จับต้องได้ยาก และอาจจะหาคำนิยามที่สามารถสรุปความหมายทุกนัยของการมีทัศนคติที่ดีได้


ดังนั้นในเบื้องต้นเราคงต้องมาพิจารณาถึงนิยามของคำว่า ทัศนคติ ว่าคืออะไร ส่วนที่ว่าทัศนคติที่ดีเป็นเช่นใดนั้น ค่อยพิจารณาในลำดับต่อไป


ในขั้นแรกของการทำความเข้าใจถึงทัศนคติที่ดีนั้น เราคงต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทัศนคติคืออะไร ทัศนคติ เป็นคำสนธิระหว่าง ทัศน,ทัศน์ หรือ ทัสสนะ ซึ่งหมายความว่า ความเห็น ความเห็นด้วยปัญญา ส่วนคติ หมายความว่า แนวทาง


ดังนั้นคำว่า ทัศนคติ จึงน่าจะรวมความได้ว่า คือ แนวความคิดเห็นที่ประกอบด้วยปัญญาเป็นที่ตั้ง เป็นความคิดเห็นซึ่งมีพื้นมาจากปัญญา กล่าวคือ ใช้ปัญญาในการพิจารณาการเห็นนั้นเมื่อเราทราบว่า ทัศนคติ คือ แนวความคิดเห็น


หากจะพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนแล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนแต่ต้องมีทัศนคติ ตลอดเวลา ก่อนอื่นที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า ทัศนคติที่เรามีนั้นในที่นี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะสิ่งที่เราเรียกว่า ความเห็น หรือความคิดเห็นเท่านั้น หากแต่ความเห็น หรือความคิดเห็นตามที่เข้าใจในความหมายทั่วไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเห็นซึ่งเิกิดขึ้นแล้ว ผ่านกระบวนการแสดงออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ ว่าเราเห็นอย่างไร ไม่ว่าจะโดยผ่านกระบวนการของการพูด (วาจา) เขียน (ลายลักษณ์อักษร) หรือโดยอากัปกริยาอื่นใดเท่านั้น หากแต่การเห็นในที่นี้หมายถึง ไปทั้งกระบวนการคิดโดยไม่พิจารณาว่าสิ่งที่คิดนั้นจะได้แสดงออกมาภายนอก และ หรือมีผู้ใดรับรู้ถึงความเห็นดังกล่าว หรือไม่ ดังนั้น ความเห็นจึงเป็นเพียงผลพวงที่ออกมาจากการคิดเท่านั้น


ทีนี้เมื่อเราเข้าใจกันแล้วว่า ทัศนคติที่ดี คือ แนวความคิดเห็นที่ดี คือ แนวความคิดเห็นที่ดี ต่อมาจึงพิจารณากันต่อไปว่า แล้วทัศนคติของมนุษย์ที่ว่าทุกคนมีอยู่ตลอดเวลา โดยอาจแยกสิ่งที่มนุษย์มีทัศนคติออกได้ 3 ด้านดังนี้


ด้านที่1 มนุษย์ทุกคนมีัทัศนคติต่อบุคลิกภาพและการดำเนินไปของสังคม ทั้งตนเองและบุคคลอื่นเสมอ ทุกคนมีทัศนคติในการดำเนินชีวิต ทุกช่วงและทุกขั้นตอนของการดำเนินชีวิตของตน เช่น การเดิน การวิ่ง การโดยสารรถ การนอน การกิน การเสพบริโภควัตถุ


ด้านที่2 มนุษย์มีทัศนคติต่อการพิจารณา และควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกของตนเอง ทั้งโดยเหตุปัจจัยที่มาจากตนเอง และสังคมรอบข้างเสมอเช่น การโมโห การโกรธ ดีใจ เสียใจ ทุกข์ระทมใจ ปีติ ปราโมทย์ ทุกข์ใจ เหนื่อยใจ


ด้านที่3 มนุษย์มีทัศนคติต่อการคิดเห็น แสดงความคิดโดยผ่านกระบวนการคิดอย่างแยบคาย ทั้งในเรื่องของตนเอง และ เรื่องของสังคมรอบข้าง เช่น การแก้ปัญหา การแสดงความคิดเหตุ การคิดหาเหตุผล การตัดสินใจ การยอมแพ้ การปล่อยวาง


ทัศนคติหรือแนวความคิดเห็นในทั้งสามด้านนี้ อาจปรากฎออกมาในรูปแบบต่างๆโดยการผสานกันอยู่อย่างแยกออกจากกันแทบไม่ได้ หรืออาจอยู่แยกเป็นเอกเทศ จากกันเลยก็ได้ ในบางกรณี

คิดถึงบ้าน

ถ้าจะพูดกันถึงเรื่องของการ "คิดถึงบ้าน" หรือโฮมซิค ที่หลายคนเคยเจอดดยตรง เมื่อต้องห่างไปจากบ้านที่เคยอยู่ ว่าการคิดถึงบ้านคืออะไร และเราจะรับมือกับมันอย่างไร


ผมกำลังจะเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสวีเดน เป็นเวลา 2 ปี


ผมเคยถามตัวเองหลายครั้งว่าผมจะเกิดอาการคิดถึงบ้านไหม คำตอบผมตอบไม่ได้ว่าจะคิดถึงบ้านหรือปล่าว แต่ผมตอบได้แน่นอนว่าผมคงคิดถึงทุกคนที่บ้าน หมาของผม มากกว่าบ้านของผม


ผมคิดว่าการคิดถึงบ้านในที่นี้ น่าจะหมายถึงการคิดถึง หรือโหยหาความรัก ความห่วงหา อาทรของคนที่เรารัก และคนที่รักเรา รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงด้วยมากกว่า จากการที่เราได้รับโดยตรงจากทุกคนที่รักเรา แต่เราต้องห่างจากสิ่งเหล่านี้ไปโดยระยะทาง ย่อมคิดถึงหรืออยากได้รับสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน


ดังนั้นเมื่อมีคนบอกผมว่า "เนี่ยะไปอยู่เมืองนอกแล้วจะรู้สึก ต้องคงคิดถึงบ้านแน่ๆ" ในใจผมก็เห็นด้วยครับ แต่ทำอย่างไรได้ คนเราทุกคนต้องจากกันทุกวันอยู่แล้ว เผลอๆ พรุ่งนี้เช้าขึ้นมาผมเกิดขี้เกียจไม่ยอมลุกขึ้นมาอีกดื้อๆ ก็จากกันเช่นกันโดยที่ยังไม่ได้ไปสวีเดนเลย


ดังนั้น คนเราน่ะต้องจากกันอยู่แล้ว หากแต่เพียงจะจากเป็นหรือจากตายเท่านั้น


มาถึงคำถามว่า แล้วเราจะรักษาอาการคิดถึงบ้านนี้อย่างไรล่ะ ผมตอบได้เลยนะครับว่าสิ่งที่จะรักษาความรู้สึกนี้ได้ก็มีอยู่สองอย่าง คือ ยอมรับ และปรับตัว


การยอมรับ คือเราต้องยอมรับการจากที่เกิดขึ้นนั้น ว่าคนเราทุกคนต้องจากสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบเสมอ แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า การจากนั้นหาใช่ทำให้เราสูญเสียความรัก ความชอบนั้นไป เสียเมื่อไหร่ ความรัก ความชอบ ความเอาใจใส่ ความห่วงหาอาทร ความหวังดี เหล่านี้ยังคงอยู่เสมอไป ไม่ได้หายไปเพราะการจากกันโดยระยะทาง


การปรับตัว ตามความคิดผมก็คือ การจากนั้นทำให้เราต้องไปผจญหรือทำความคุ้นเคยกับสิ่งที่เราไม่เคยพบ ไม่เคยรู้ เพราะคนเราทุกคนชอบที่จะทำในสิ่งที่คุ้น พูดคุยกับคนที่คุ้นเคย เราทำกิจวัตรทุกอย่างเป็นประจำจนคุ้นเคย เมื่อสถานที่เปลี่ยน เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ความไม่คุ้นเคยเข้ามาแทนที่ การโหยหาถึงสิ่งที่คุ้นเคยเลยบังเกิด ดังนั้น เราจึงต้องจำเป็นสร้างความคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ สร้างและปฏิบัติกิจวัตรใหม่ จนเคยชิน เราก็จะไม่เกิดความแปลกแยกอีกต่อไป


ดังนั้น คงพอจะตอบได้ว่า เมื่อมีพบก็ต้องมีพราก เมื่อมีจากก็ต้องมีเจอครับ

ในที่สุด ผมก็ได้แล้ว "วีซ่า"

และแล้วการรอคอยอันแสนยาวนานก็มาถึงจุดสิ้นสุดเสียที วันนี้วันที่ 7 สิงหาคม 2551 วีซ่าของผมก็ออกเสียที หลังจากการรอคอยมากว่า 71 วัน หรือสิบอาทิตย์พอดิบพอดี


หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมที่สวีเดนการออกวีซ่าจึงยากเย็นเสียนี่กระไร ผมจะสาธยายให้ฟัง


วีซ่าถาวรสำหรับนักเรียนที่สวีเดนทั้งหมดไม่ว่าจะเรียนที่ไหนในสวีเดน ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหนทั่วโลก ใบสมัครทั้งหมดจะถูกส่งไปพิจารณาที่ Norrköping เพียงที่เดียว เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องมาหลายปีซึ่งมันช้ามากๆ



แต่ต่อมาก็มีการปรับปรุงใหม่โดยการเพิ่มจุดที่สำหรับพิจารณาอนุมติวีซ่าขึ้นมาอีกหลายที่ อย่างที่เห็นในภาพ เช่นผม จะไปเรียนที่ Lund ซึ่งอยู่ข้างๆ Malmö ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของสวีเดนน่ะ



แต่แทนที่ใบสมัครวีซ่าจะส่งไปที่ Malmö เลย แต่ทั้งหมดกลับส่งไปที่ Norrköping ก่อน จากนั้นค่อยส่งต่อ แต่จนแล้วจนรอดวีซ่าของผมไม่ได้เดินทางลงมาทางใต้เพื่อพิจารณาที่ Malmö แต่อย่างใด หากแต่ถูกส่งไปเที่ยวที่ภาคเหนือที่ Umeå (แอบงงอย่างแรงว่าพาใบสมัครผมไปเที่ยวทางเหนือเพื่อ??) มันก็เลยแอบช้าไปหน่อย เพราะโดยทั่วไปจะเสร็จภายใน 6-8 สัปดาห์



แต่ของผมล่อไป 10 สัปดาห์ งานนี้ก็เลยเหนื่อยนะสิครับ เพราะที่เมืองไทยก็ไม่สามารถทำอะไรให้ได้นอกจากเขียนอีเมลไปแจ้งให้ ดังนั้น "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" นะสิ เพราะผมต้องทั้งเขียนเมลไปเร้าหรือ อ้อนวอน ขอความเห็นใจว่าทำไมมันช้าอย่างนี้ ต้องโทรไปสวีเดนเพื่อกดดันทั้งที่ Norrköping (เพราะเป็นส่วนกลาง ซึ่งก็บอกให้โทรไปที่ Umeå ดู) และผมก็ต้องโทรไปที่ Umeå แต่ที่นี่แอบไม่ยอมรับโทรศัพท์ เล่นเอาผมเซ็งๆๆ สุดๆๆๆ


เอาเป็นว่า อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ผมก็ได้วีซ่าแล้ว การขับเคลื่อนเพื่อการเดินทางการดำเนินการต่อได้แล้วครับ

Sunday 3 August 2008

เชือกรองเท้า

ช่วงนี้ผมมีเวลาในการท่องอินเตอร์เน็ตบ่อยมาก เนื่องจากมีเวลาว่างมาก แถมที่บ้านก็มีระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตพื้นฐานบริการผม อิอิ (แอบดึงสัญญาณข้างบ้านมาใช้น่ะ พี่ผมเรียกว่าเป็นอินเตอร์เน็ตแพ็คเกจ "ฟ้าประทาน")



ท่องไปท่องมาไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับการผูกเชือกรองเท้าผ้าใบมาหลายแบบเลยเอามาโพสไว้ที่นี่ ถือเป็นการเผื่อแผ่กันเน้อ เก๋ดี



Friday 1 August 2008

Night Life

ชีวิตคนเรานั้นย่อมมีทั้งด้านที่เป็นมุมมืดและมุมสว่าง


ในชีวิตผมก็เช่นกันผมได้เรียนรู้ชีวิตคนทั้งด้านที่เป็นมุมสว่างและมุมมืด


การเติบโตขึ้นมาในเมือง อยู่ใจกลางเมืองหลวงทำให้ผมได้รู้จักชีวิตในด้านสว่างและด้านมืดของคนมากมาย โนเฉพาะในช่วงเวลาที่ผมมีและใช้ชีวิตในยามกลางคืนอย่างคุ้มค่าเป็นเวลากว่า 4 ปี ผมได้ไปผับ และสถานบันเทิงมากมายในสมัยนั้น


  • ยุคดอกตูม ผมรู้จักชีวิตกลางคืนครั้งแรกจากการการไปเที่ยวผับดังเมื่อสมัยปี 2537 ชื่อว่า The Capital อยู่แถวรัชดา หลังงานอำลาอาลัย เมื่อตอนจบมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ในสมัยนั้น Capital เป็นผับที่มี live band มาบรรเลงสด ผมไปครั้งแรกนั้นมีการแสดงคอนเสิร์ตของหนุ่ย อำพล ลำพูน ในอัลบั้มชุด ม้าเหล็ก

  • ยุคแรกแย้ม ที่ผมมักแวะเวียนไปเสมอๆ เริ่มต้นเมื่อผมเข้าศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มธ. แรกเริ่มตั้งแต่ปี 1 Sharky และ Taurus ที่ตีคู่กันมา เป็นแหล่งอโคจร ของวัยรุ่นในสมัยนั้น

  • ยุคเบ่งบาน คือเมื่อผมขึ้นชั้นปีที่ 2 ต่อเนื่อง ปีที่ 3 เป็นยุคเฟื่องฟูของผับสำหรับวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นแหล่งใหญ่ๆ อย่างสีสมซอยสี่ พัฒน์พงษ์ สุริวงศ์ ลานเบียร์ทุกที่ หรือสุทธิสาร หรือแหล่งเที่ยวของวัยรุ่นแห่งใหม่อย่าง RCA หรือ Royal City Avenue กลายเป็นสถานที่กบดานยามค่ำคืนของผมเสียรำไป

  • ยุคโรยรา ด้วยเหตุแห่งการรู้ว่า พอแล้ว ผมจึงตัดสินใจที่จะหักดิบ การดื่ม การเที่ยว และชีวิตยามค่ำคืน โดยการตัดสินใจชั่วขณะ แต่ส่งผลในทางที่ดีแก่ชีวิตผม กระทั่งปัจจุบัน

กว่าสิบปีที่ผ่านมา ชีวิตของผมไม่ค่อยจะได้วนเวียนไปบรรจบกับถนนสายนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็มีบางครั้งที่วนเวียนไปบ้าง ทั้ง Link 71 รัชดาซอยสี่ ระแวงเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ หรือผับแถวๆ รัชดา แต่ก็แค่การผ่านเข้าไป แล้วก็ต้องมาอย่างมีสติ รับรู้เท่านั้น

กระทั่งวันนี้ ผมก็ภูมิใจการการตัดสินใจหักดิบชีวิตกลางคืนในคืนนั้นของผมเสมอ เรื่อยมา

First Trip

สิ่งที่วันนี้ผมอยากเขียนก็คือ การท่องเที่ยว


จากที่ผมเคยบอกไว้นะครับว่า ด้วยเหตุที่ผมโตขึ้นมาโดยการอาศัยการดูแลระหว่างพี่ๆ น้องๆ ที่มาเรียนด้วยกันที่กรุงเทพฯ แต่อย่างไรก็ดี หลายคนอาจคิดว่าผมคงมีอิสระในการดำเนินชีวิต เพราะว่าไม่มีผู้ใหญ่มาควบคุม


แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้นหรอกครับ ตลอดเวลาที่ผมเดินทางมาศึกษาที่กรุงเทพฯ นั้น อาปากับอาม้า ไม่เคยปล่อยให้ผมเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ เลย


สมัยที่เรียนมัธยม ที่เทพศิริทร์ ทุกภาคฤดูร้อนตอนปิดเทอมใหญ่ เพื่อนๆ มักชวนกันไปเที่ยวต่างจังหวัด แต่ผมไม่เคยได้ไปกับเขาหรอก เพราะผมต้องกลับบ้านไปช่วยเฝ้าร้าน ทำให้ไม่มีโอกาสไปเที่ยวกับเพื่อนๆ และอาปาอาม้าก็ไม่ค่อยปล่อยผมไปเที่ยวลำพังกับเพื่อนๆ หรอก เพราะว่าผมยังเด็กเกินไป


การเที่ยวกับเพื่อนๆ ครั้งแรกของผมคือ กรเดินทางลงใต้ หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อเดินทางไปยังที่เกาะไหง จังหวัดตรัง และหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2537 ถึง วันที่ 3 พฤษภาคม 2537


และหลังจากผมจบมัธยม อาปา อาม้าก็ให้อิสระในการเดินทางแก่ผมอย่างเต็มที่ แต่ท่านทั้งสองก็ยังคงห่วงผมอยู่ตลอดเวลานั่นเอง


ที่แหละครับที่เขาว่ากันว่า "ไม่ว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่ อายุมากสักเท่าใด แต่เราก็ยังคงเป็นเด็กในสายตาของพ่อแม่เราเสมอ"

คนไร้งาน

วันนี้เป็นวันแรกของการไม่ต้องทำงาน หลังจากการทำงานอย่างต่อเนื่องนับจากเรียนจบ เป็นเวลา 5 ปี 11 เดือน พอดิบพอดี


ความรู้สึก ก็มีหวิวๆ บ้าง ว่าทุกวันต้องตื่นแต่เช้าทำกิจวัตรประจำวันแล้วก็ออกไปทำงาน มีแอบโดดบ้าง สายบ้างก็เป็นรสชาติของชีวิตการทำงาน แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าแต่ละวันมีงานรออยู่เพื่อให้ผมไปสะสาง


ดังนั้นวันนี้จึงรู้สึกเบาหวิวๆ ยังไงก็ไม่รู้


แต่ก็อย่างว่าแหละนะ เราต้องทำความเคยชินประปรับกิจวัตรประจำวันของเราเสียใหม่ เพราะเหตุผลหนึ่งก็คือ เราเคยชินกับสิ่งเดิมๆ มากเกินไป การลองหากิจกรรมใหม่ๆ ทำบ้าง คงจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น


แถมนี่ยังคงมีการรอคอย และอุปสรรคอีกหลายอย่างรออยู่ ทั้งวีซ่า ตั๋ว ที่พัก และการเดินทางครั้งใหม่ที่ใกล้ถึงเวลาแห่งการเริ่มต้นแล้ว อีกไม่เกิน 24 วัน สิ่งใหม่ๆ ที่คอยให้ผมได้รับรู้และสัมผัส



อีกไม่นานแล้วครับ ร่วมเอาใจช่วยผมด้วยนะครับทุกคน