การเดินทางกลับไปประเทศไทยครั้งนี้ของผมค่อนข้างจะแตกต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา มีเรื่องดีมากมายที่เกิดขึ้นในการเดินทางกลับไปครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการไปร่วมงานแต่งงานของพี่สาวเพียงคนเดียวของผม และการได้ไปใช้เวลากับครอบครัวที่ผมไม่ค่อยได้ทำมากนักในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ เพราะต้องอยู่ห่างไกลกัน
อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในหลายครั้งแล้วว่า ข้อดีของการต้องห่างกัน ก็คือการเข้าใจความสำคัญของคำว่า"คิดถึง"
หลายครั้งที่เราใกล้ชิดกัน จนเคยชินกับการห่วงหาอาทรที่มีให้กัน จนบางครั้งอาจมองข้ามความสำคัญของสิ่งเหล่านั้นไป เพียงเพราะว่าเราคุ้นชินกับมันจนไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ซึ่งหากเคยได้ยินกันมาบ้าง เขาว่าคนเราจะเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นก็ต่อเมื่อได้สูญเสียมันไปแล้ว
แต่สำหรับผม
ผมไม่ต้องการมาเว้าวอน เรียกร้องสิ่งมีค่าทั้งหลายในชีวิต เมื่อถึงเวลาที่ต้องสูญเสียไป ดังนั้น ผมจึงพยายามให้ให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กน้อยทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา ซึ่งมีคุณค่าในความรู้สึกของผมและคนรอบข้างเสมอ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หนึ่งเดือนที่เมืองไทย ผมพบรอยยิ้มมากมายจากคนรอบข้าง ผมได้ยินถ้อยคำที่ดีงามมากมายจากผู้คนรอบตัว สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะเป็นกำลังใจ และส่วนสำคัญในการผลักดันให้ผมเดินไปข้างหน้าต่อไป
วันนี้ เวลานี้ ที่นี่ เมืองลุนด์ ประเทศสวีเดน
ความหนาวยังคงปกคลุมไปทั่ว แม้ว่าจะเป็นปลายฤดูหนาวแล้วก็ตาม หิมะที่ปกคลุมไปทั่วเมือง ผสานกับสายลมที่พัดความหนาวเย็นมากระทบผิว ทำให้ผมได้ฉุกคิดว่า ผมควรจดจำภาพและบรรยากาศนี้ไว้ให้ชัดเจนในความทรงจำของผม เพราะไม่รู้ว่าภายหน้าผมจะมีโอกาสได้สัมผัสมันอีกหรือไม่
ความหนาวกายนั้น เสื้อผ้าหนาวๆ คงจะช่วยให้ทุเลาลงไปได้บ้าง แต่จิตใจที่เหงานี้ ไม่เพียงแต่หนาวเท่านั้น แต่มันยังมืดไปเสียทุกทิศทาง.....คงต้องรอให้แสงแดดผ่านลอดออกมาเป็นแสงที่นำให้ผมเดินผ่านพ้นจากจุดนี้ออกไปให้ได้ในเร็ววัน
ไออุ่นของแสงแดดในไม่ช้านี้ คงจะช่วยทุเลาความหนาวกายและใจของผมไปได้ในคราเดียวเสียเป็นแน่
No comments:
Post a Comment